ซูเจ๋อพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงกระซิบเบาบาง : “นับตั้งแต่องค์จักรพรรดิของสมัยโบราณ อำนาจและตำแหน่งที่สูงส่ง ครึ่งหนึ่งถูกนำมาใช้เพื่อปกครองราชอาณาจักร ส่วนอีกครึ่งใช้เพื่อตอบสนองความปรารถนาของตัวเอง ความปรารถนาส่วนตัวของข้าไม่ใช่การครอบครองผืนใต้หล้านี้ แต่ขอแค่เพียงได้ปกป้องคุ้มครองท่านก็พอแล้ว หากทั้งใต้หล้านี้เป็นของข้าผู้เดียว จะมีประโยชน์อันใดกันเล่า”
เฉินเสียนอึ้งไปเล็กน้อย ดวงตาของเธอสั่นไหวภายใต้แสงเปลวไฟนั่น เธอหรี่ตาลงช้าๆ ยิ้มขึ้นเล็กน้อยที่มุมปาก
ซูเจ๋อพูดขึ้นว่า : “หากวันข้างหน้าท่านได้ขึ้นไปอยู่บนตำแหน่งสูงๆ ข้าก็จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงว่าใครจะมารังแกพวกท่านแม่ลูกได้อีก อาเสียน ท่านมีความปรารถนาส่วนตัวหรือเปล่า?”
เธอยิ้มจนรู้สึกแสบตาเหมือนจะร้องไห้
ไม่รู้ว่าควรดีใจหรือควรปวดใจ
เฉินเสียนถอนลมหายใจเฮือกใหญ่ เธอเงยหน้าขึ้นมามองออกไปยังท้องฟ้านอกชายคา พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ข้าจะมีความปรารถนาส่วนตัวได้ยังไงกัน ความปรารถนาหนึ่งเดียวของข้าก็คือการได้เคียงคู่กับท่านตลอดไปไง”
ซูเจ๋อหัวเราะเบาๆ ด้วยเสียงที่น่าหลงใหล : “ยังดี ความปรารถนาส่วนตัวนี้ยังไม่สั่นคลอนไปถึงตำแหน่งและอำนาจขององค์จักรพรรดิ ท่านสามารถใช้สองสิ่งนี้เพื่อสร้างความผาสุกให้กับอาณาจักรต้าฉู่ สักวันอาณาจักรจะมั่งคั่งและราษฎรจะเข้มแข็ง จะต้องเป็นจริงอย่างแน่นอน อาเสียน น้ำเดือดแล้ว”
ไม่รอให้เฉินเสียนได้ตอบกลับ ซูเจ๋อก็จัดการเทน้ำร้อนลงในถังไม้ แล้วเติมน้ำเย็นเข้าไปเพื่อตั้งไฟใหม่ เฉินเสียนเติมฟืนเพิ่มเพื่อต้มน้ำต่อ
ซูเจ๋อยกถังน้ำพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ไปเถอะ ข้าจะช่วยท่านยกน้ำร้อนไปที่ห้อง”
เฉินเสียนที่กะจะยกเอง จึงพูดขึ้นว่า : “ให้ข้ายกดีกว่า อาการบาดเจ็บของท่านยังไม่หายดี แล้วยังจะยกของหนักอีก”
“เป็นเรื่องปกติมาก ไม่เป็นปัญหาหรอก”
ซูเจ๋อไม่ได้เปิดโอกาสให้เฉินเสียนได้ยกน้ำเอง เขาหมุนตัวแล้วเดินไปข้างหน้าทันที เฉินเสียนจึงทำได้แค่เดินตามหลังไป
เมื่อเข้าห้องไปแล้ว ซูเจ๋อก็ถามขึ้นว่า : “น้ำพอรึเปล่า ถ้าไม่พอข้าจะไปต้มใหม่มาอีกหนึ่งถัง”
เฉินเสียนจึงพูดขึ้นว่า : “พอแล้ว ข้าใช้ประหยัดๆ หน่อยก็พอแล้ว”
เมื่อช่วยเฉินเสียนยกน้ำเสร็จแล้ว ซูเจ๋อจึงค่อยกลับไปต้มน้ำต่อ เพื่อนำกลับไปอาบน้ำที่ห้องของตัวเอง
ดึกมากแล้ว
ในที่สุดคืนนี้ฝนก็หยุดตกจนได้ ไฟตะเกียงทั้งเมืองของเมืองอวิ๋น ค่อยๆ ดับลงช้าๆ
จะว่าไปแล้ว ตอนที่ซูเจ๋อและเฮ่อโยวออกจากเมืองหลวงไป ติดตามการเดินทางของกองเกียรติยศ ถึงแม้มักจะถูกทิ้งไว้ข้างหลังเสมอ แต่ในท้ายที่สุดก็สามารถกลับมาถึงที่อาณาเขตโดยสวัสดิภาพ
กองเกียรติยศคือกองทหารที่องค์จักรพรรดิทรงรับสั่งให้มาประกบเฝ้าระวังโดยเฉพาะ แม่ทัพโฮ้วไม่กล้าชักช้า ดังนั้นเขาจึงดูแลและคอยเฝ้าระวังเป็นพิเศษ
พวกเขารีบเดินทางจากเมืองเสวียนไปยังเมืองอวิ๋น ถือเป็นการพบปะกับกองเกียรติยศ กองเกียรติยศได้จัดเตรียมที่พักในจวนให้พวกเขา
ในกองเกียรติยศนี้เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่มีสายขององค์จักรพรรดิ ที่แม่ทัพโฮ้วพาพวกเขาเข้าไปในจวน ก็เพื่อที่จะสอดส่องได้สะดวกขึ้น
ข้างนอกนั่น ราษฎรตื่นตระหนกทหารวุ่นวาย เพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างปัญหาเพิ่ม แม่ทัพโฮ้วออกคำสั่งให้ทหารในกองเกียรติยศทุกคนเฝ้าจวนให้ดี ห้ามทิ้งจวนไว้ตามอำเภอใจ
พอดีกับวันนี้ที่ฝนหยุดตก หัวหน้าของกองเกียรติยศก็ได้แอบออกมาจากลาน ไปยังข้างกำแพงของลานที่ที่ไม่มีคนพบเห็น
ที่ข้างกำแพงมีนกพิราบอยู่ตัวหนึ่ง กำลังร้องเสียง “กูรู กูรู” อยู่พอดี
หัวหน้าผู้นั้นโบกมือเบาๆ นกพิราบก็บินมาเกาะอยู่ที่ข้อมือของเขา
เขายื่นมือเข้าไปล้วงจดหมายออกจากคอเสื้อ เตรียมจะสอดจดหมายเข้าไปไว้ในกระบอกจดหมาย
เวลานั้นเอง จู่ๆ ข้างๆ ก็มีเสียงพูดน้ำเสียงเรียบเฉยดังขึ้น : “เจ้ากำลังจะทำอะไร?”
หัวหน้าผู้นั้นสะดุ้งตกใจ หันหน้าไปดูทันที เห็นซูเจ๋อที่กำลังเดินมาที่ด้านหลังของเขาเงียบๆ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเบาว่า : “ที่ ที่แท้แล้วเป็นใต้เท้าซูนี่เอง”
เขาได้ระวังตัวอย่างดีแล้ว แต่ซูเจ๋อมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาเองไม่รู้ตัวเลยแม้แต่นิดเดียว
ซูเจ๋อที่สวมชุดดำทั้งชุด บนชุดที่เขาสวมใส่ไม่มีคราบดินโคลนเลยสักนิด ลมหายใจของเขาค่อนข้างชื้น นัยน์ตาคู่เรียวยาว เขาทอดสายตามองมายังหัวหน้ากองเกียรติยศ แววตาของเขาเรียบเฉยและไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ของเขาได้เลย พลอยทำให้หัวหน้าผู้นั้นรู้สึกกลัวจนตัวเย็นชืด
ซูเจ๋อมองดูนกพิราบสื่อสารในมือของเขาและจดหมายที่ยังไม่ทันได้ใส่ลงไปในกระบอกอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “เจ้าจะส่งจดหมาย ทำไมถึงต้องหลบๆ ซ่อนๆ อย่างนี้ พรุ่งนี้ให้ผู้ส่งสารช่วยเจ้าส่งไปยังจุดพักม้า แล้วค่อยส่งกลับเมืองหลวงไปก็ได้”
หัวหน้าจึงพูดขึ้นว่า : “ใต้เท้าซูพูดถูก ข้าน้อยเพียงแค่เห็นว่าวันนี้ฝนหยุดตก ไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้ฝนอาจจะตกอีกก็ได้ ยังต้องไหว้วานผู้อื่น ขอใต้เท้าซูอย่าได้ประหลาดใจ ข้าน้อยเพียงแค่ปฏิบัติหน้าที่ขอรับ”
“ในจดหมายนั่นเขียนอะไรไว้?” ซูเจ๋อที่จู่ๆ ก็ถามขึ้น
หัวหน้าอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “ได้โปรดให้อภัยด้วย ข้าน้อยไม่สามารถรายงานได้ขอรับ”
เฮ่อโยวเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เบาโล่งสบายตัว แต่เขากลับรู้สึกหิวจนนอนไม่หลับ พลิกตัวไปมาบนเตียงอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจออกมาหาอะไรกิน
แต่นึกไม่ถึงเลยว่าในขณะที่กำลังเดินผ่านทางเดินที่คดเคี้ยว ก็เห็นมีคนอยู่ที่กำแพงของลาน
เมื่อเฮ่อโยวเพ่งมองดีๆ ก็เห็นว่าเป็นซูเจ๋อกับคนคนหนึ่งของกองเกียรติยศ เขาจึงตัดสินใจจะเดินเข้าไปถามว่าพวกเขากำลังทำอะไรลับๆ ล่อๆ ในที่แบบนี้
แต่ยังไม่ทันที่เฮ่อโยวจะได้พูดอะไร จู่ๆ ซูเจ๋อก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วหันหน้ามองมาทางเขาทันที
แววตาของซูเจ๋อดำสนิท สงบนิ่งไร้คลื่นความเคลื่อนไหว
เวลานี้เอง ซูเจ๋อก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงประหลาดใจว่า : “องค์หญิงจิ้งเสียนมาได้อย่างไร?”
เฉินเสียน? เฮ่อโยวหันไปมองรอบๆ ที่ตรงนี้นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีผู้อื่นอีก
หัวหน้ากองเกียรติยศเห็นซูเจ๋อหันหน้ามองไปทางด้านหลังของเขา เขาเลยนึกว่าองค์หญิงจิ้งเสียนมาจริงๆ จึงรีบหันกลับไปดู
แต่วินาทีนั้น เฮ่อโยวอกสั่นขวัญแขวนไปหมด เมื่อเห็นซูเจ๋อยื่นมือไปจับคอของหัวหน้าคนนั้นแล้วยกขึ้นมา ตามมาด้วยเสียงกระดูกเคลื่อนที่ดังขึ้นกรุบกรับ จากนั้นหัวของหัวหน้าก็ทิ้งตัวเอียงลงบนมือของซูเจ๋อ
หัวหน้าไม่ทันได้ร้องอุทานออกมาด้วยซ้ำ พอซูเจ๋อปล่อยมือ เขาก็ล้มตัวนอนลงบนพื้นทันที
นกพิราบสื่อสารที่ตกใจกำลังจะบินหนี ซูเจ๋อเอื้อมมือไปจับขาของมันไว้ มันพยายามดิ้นรนบินหนีสุดแรงเกิด แต่ไม่ว่ายังไงก็ไม่สามารถบินหลุดไปได้
ซูเจ๋อดึงจดหมายออกจากมือของหัวหน้าคนนั้น แล้วคลี่ออกมาดูอยู่ครู่หนึ่ง
คนที่ดูเหมือนอ่อนโยนและไม่เป็นอันตรายตรงหน้านี้ แค่เพียงพริบตาเดียว ก็ได้จัดการปลิดชีวิตของคนคนหนึ่งไปอย่างง่ายดายต่อหน้าต่อตาเขา
เฮ่อโยวรู้ดีว่าซูเจ๋อเป็นคนแบบไหน ก่อนหน้านี้ก็เคยเห็นเขาฆ่าคนโดยไม่กะพริบตามาแล้ว วันนี้พอได้เห็นกับตาอีกรอบ ก็ยังรู้สึกขนพองสยองเกล้าอยู่ดี
เฮ่อโยวยืนอึ้งอยู่กับที่ ไม่ขยับอยู่พักใหญ่
ซูเจ๋อกวาดตาอ่านจดหมายผ่านๆ พลางถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า : “ดึกขนาดนี้ เจ้าออกมาทำไม?”
เฮ่อโยวรู้สึกเสียวต้นคอตัวเองขึ้นมาทันที กลัวว่าซูเจ๋อจะอารมณ์ไม่ดี แล้วจับเขาฆ่าปิดปากด้วย
เฮ่อโยวจึงรีบตอบกลับไปว่า : “ข้าหิว เลยออกมาหาอะไรกิน เมื่อครู่นี้ข้าไม่ได้เห็นอะไรทั้งนั้น”
“อืม” ซูเจ๋อตอบกลับผ่านๆ
เฮ่อโยวเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงถามขึ้นว่า : “ในจดหมายเขียนว่าอะไรหรือ?”
ซูเจ๋อม้วนจดหมายเก็บ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “จะเป็นอะไรได้อีก นอกเสียจากเรื่องอาเสียนออกไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยในวันนี้ ได้เป็นที่รักของราษฎรและทหารที่ประจำการอยู่ที่อาณาเขตชายแดน
เฮ่อโยวพูดขึ้นว่า : “หากว่าฝ่าบาททรงเห็นจดหมายนี้แล้ว ก็คงจะไม่ปล่อยเฉินเสียนไว้แน่”
“จะว่าไปเจ้าไม่ได้ส่งจดหมายเข้าเมืองหลวงนานแล้วไม่ใช่หรือ” ซูเจ๋อพูดขึ้น : “พรุ่งนี้เจ้าเขียนจดหมายแล้วนำไปให้ผู้ส่งสาร ให้พวกเขาส่งจดหมายเข้าเมืองหลวงไป”
เฮ่อโยวจับจมูกอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “ตั้งแต่พวกท่านไปยังอาณาจักรเย่เหลียง เมืองเสวียนก็ไม่ได้สร้างปัญหาอะไรอีกเลย ก็เลยไม่ได้เขียนจดหมายมานานมากแล้ว แล้วตอนนี้จะให้ข้าไปเขียนอะไรล่ะ?”
“เกิดอะไรขึ้นบ้างก็เขียนลงไปให้หมด ฝ่าบาทสนใจเรื่องการเจรจาสันติภาพของทั้งสองอาณาจักรเป็นพิเศษ”
เฮ่อโยวตอบกลับไปว่า : “ได้ พรุ่งนี้ข้าจะเขียนทันที” จากนั้นเขาก็หันไปมองคนที่นอนอยู่บนพื้น แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “แล้วเขาล่ะ จะทำยังไง?”
“ไปเรียกอาจารย์ของเจ้ามา เขารู้ว่าจะต้องจัดการยังไง”