ข้าคือหงส์พันปี – ตอนที่ 302 แม่ทัพใหญ่อย่างเขา ไปเรียนทักษะการทำอาหาร?

ซูเจ๋อสะบัดแขนเสื้อก้าวขึ้นไปบนทางเดิน แล้วยื่นนกพิราบสื่อสารในมือให้กับเฮ่อโยว พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ระวังหน่อย อย่าปล่อยมันบินหนีล่ะ”

เฮ่อโยวอุ้มนกพิราบสื่อสารไว้ แล้วหันไปมองซูเจ๋อที่กำลังเดินผ่านเขาไป จึงรีบถามขึ้นว่า : “แล้วนกพิราบสื่อสารล่ะ ข้าจะจัดการยังไง?”

“เก็บไว้ก่อน พรุ่งนี้ค่อยฆ่าแล้วนำมาตุ๋นซุปให้อาเสียนดื่ม”

“อืม”

เมื่อซูเจ๋อเดินจากไปแล้ว เฮ่อโยวจึงค่อยลงจากขั้นบันได เดินตรงไปที่หัวหน้ากองเกียรติยศ แล้วเตะเขาไปสองสามครั้ง

เขาไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง แน่นอนว่าคงตายสนิทแล้ว ถึงมือของซูเจ๋อทั้งที จะปล่อยให้เขาได้มีโอกาสหลงเหลือลมหายใจไปได้อย่างไรกัน

เฮ่อโยวที่เห็นคนตายจนชิน ตอนนี้เขาได้สติจากการลงมือฆ่าของซูเจ๋อแล้ว จึงไม่ได้อกสั่นขวัญแขวนขนาดนั้นแล้ว

เฮ่อโยวค่อยๆ เตะศพของหัวหน้า กองเกียรติยศเข้าไปยังโพรงหญ้า พยายามปกปิดให้มิดชิด ไม่อย่างนั้นจะถูกพบเห็นได้ง่าย

จากนั้นเขาก็ไปหาแม่ทัพโฮ้วอาจารย์ของเขา

แม่ทัพโฮ้วได้รีบจัดการโดยที่ไม่พูดอะไรออกมา มองปราดเดียวก็เข้าใจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด

เฮ่อโยวจึงพูดขึ้นว่า : “อาจารย์ ท่านกับซูเจ๋อ อยู่ฝ่ายเดียวกันตั้งแต่แรกแล้วหรือ?”

แม่ทัพโฮ้วมองเฮ่อโยวด้วยสายตาที่ซ่อนความลับไว้อย่างหนาแน่น แววตาหนักหน่วง แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “กลางวันของวันนี้เขายอมให้องค์หญิงจิ้งเสียนช่วยเจ้าหนึ่งครั้ง ตอนนี้ยังให้เจ้ามาเห็นเรื่องพวกนี้อีก แสดงว่าเขาไม่ได้มองเจ้าเป็นคนนอก เรื่องในค่ำคืนนี้ เจ้าอย่าได้แพร่งพรายให้ผู้อื่นรู้อย่างเด็ดขาด”

“แม้แต่เฉินเสียนก็บอกไม่ได้หรือ?” เฮ่อโยวถามขึ้น

แม่ทัพโฮ้วจึงพูดขึ้นว่า : “หากเจ้าบอกไป นอกเสียจากจะทำให้องค์หญิงจิ้งเสียนไม่สบายใจแล้ว ยังมีประโยชน์อะไรอีก?”

เฮ่อโยวใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงรู้สึกว่าก็ถูกเหมือนกัน

วันรุ่งขึ้น เฮ่อโยวที่กำลังจะถอนขนนกพิราบ ก็ถูกฉินหรูเหลียงที่กำลังเดินผ่านมองเห็นเข้า เขาขมวดคิ้วแล้วถามขึ้นว่า : “ไปเอานกพิราบสื่อสารมาจากไหน?”

เฮ่อโยวจึงถามขึ้นด้วยความประหลาดใจว่า : “ทำไมท่านมองแค่ปราดเดียวก็รู้แล้วว่านี่คือนกพิราบสื่อสาร?”

“ตรงขาของมันมีรอยแผลที่เกิดจากการเสียดสีของกระบอกจดหมาย”

เฮ่อโยวจึงพูดขึ้นว่า : “สายตาของท่านดีจริงๆ นกพิราบตัวนี้ข้าเจอมันเมื่อคืน ไม่รู้ว่ามันบินมาจากไหน มาเกาะอยู่ที่บนกำแพง แล้วจึงถูกข้าจับมา คงเป็นเพราะหลายวันมานี้ฝนตกหนักไม่หยุด ตกหนักจนหัวมันมีปัญหา แม้แต่ทิศทางมันก็แยกแยะไม่ถูกมั้ง”

ถอนขนอยู่พักหนึ่ง เฮ่อโยวที่รู้สึกว่ามันค่อนข้างกินแรง เขาพูดต่อว่า : “ท่านบัณฑิตก็เลยบอกว่าพอดีเลย นกพิราบตัวนี้สามารถนำมาตุ๋นซุปให้เฉินเสียนดื่มได้ แม่เจ้า ถอนขนนกทำไมถึงได้ลำบากขนาดนี้กันนะ!”

ฉินหรูเหลียงเงียบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “เจ้าไม่รู้หรือ ว่าต้องใช้น้ำร้อนลวกก่อนแล้วจึงค่อยถอนขน?”

“มีขั้นตอนนี้ด้วยหรือ?”

“เวลาที่บ้านของเจ้าฆ่าไก่ ก็จับมันถอนขนทั้งเป็นแบบนี้น่ะหรือ?”

“ข้าเคยกินแต่ไก่ ไม่เคยเห็นไก่ถูกฆ่า”

ฉินหรูเหลียงจึงเดินเข้ามาเอานกพิราบ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “เอามาให้ข้าทำเถอะ”

จากนั้นเขาก็ต้มน้ำหม้อหนึ่ง แล้วจึงวางนกพิราบลงไปในน้ำร้อนจัดลวกหนึ่งรอบ เฮ่อโยวพูดขึ้นอย่างไม่เชื่อสายตา : “นึกไม่ถึงเลยว่าท่านแม่ทัพใหญ่จะทำเรื่องพวกนี้เป็นด้วย”

“ไม่มีใครเป็นมาตั้งแต่เกิดหรอก สิ่งที่ไม่เป็นก็สามารถเรียนรู้และฝึกฝนได้”

เมืองอวิ๋นเงื่อนไขค่อนข้างดีกว่าหน่อย ยังพอมีอาหารบ้าง ฉินหรูเหลียงที่ไม่สามารถช่วยเหลือด้านอื่นๆ และเขาเองเคยได้เห็นพ่อครัวทำอาหารอยู่บ้าง

ถึงแม้ว่าแขนของเขาจะไม่สามารถใช้งานได้เต็มที่ แต่แค่การทำอาหารก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร

ตกบ่าย เฉินเสียนก็ได้ดื่มซุปรสชาติดี

ฉินหรูเหลียงเป็นคนมอบซุปให้กับเฮ่อโยวด้วยตัวเขาเอง ให้เฮ่อโยวยกมาให้เฉินเสียนดื่ม

เฮ่อโยวจึงพูดพึมพำว่า : “ท่านเหนื่อยมาครึ่งค่อนวัน จึงค่อยตุ๋นซุปออกมาได้ ทำไมท่านไม่ไปส่งด้วยตัวเองล่ะ?”

ฉินหรูเหลียงไม่ได้ตอบกลับ เขาเพียงแค่พูดว่า : “จะไปส่งหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้า ข้ายังมีเรื่องอื่นที่ต้องทำ”

พูดจบฉินหรูเหลียงก็เดินจากไป

เฮ่อโยวรีบวิ่งตามหลังเขาไป พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ท่านยังมีเรื่องอะไรให้ต้องทำอีก บรรดาผู้คนทั้งหมด ท่านเป็นคนที่ว่างที่สุดแล้ว”

ฉินหรูเหลียงหยุดชะงักไปทันที เฮ่อโยวจึงรู้สึกว่าตัวเองพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกมา แต่ฉินหรูเหลียงก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก เขาจึงสาวเท้าก้าวออกไป

เฉินเสียนนั่งอยู่ที่ทางเดิน ลิ้มลองชิมอย่างตั้งใจ ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้ดื่มซุปเนื้อสัตว์แบบนี้ เธอหรี่ตาลงพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “นกที่ไหน? เจ้าคงไม่ได้ว่างจนมีเวลาไปยิงนกหรอกนะ?”

เฮ่อโยวจึงพูดขึ้นว่า : “นกที่ไหนน่ะหรือ นกตัวนี้มันตาบอด บินมาหาข้าเองต่างหาก”

เฉินเสียนหัวเราะเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ซุปนี่เจ้าเป็นคนตุ๋นหรือ? รสชาติไม่เลวนี่”

“ข้าไม่ได้เป็นคนตุ๋น ท่านแม่ทัพฉินเป็นคนตุ๋น” เฮ่อโยวพูดขึ้น : “รู้สึกว่าช่วงนี้เขากำลังฝึกฝีมือการทำอาหาร เขาอยากจะทำอาหารให้ท่านกิน”

เฉินเสียนยิ้มขึ้นบางเบา : “เป็นถึงท่านแม่ทัพใหญ่ แต่เข้าครัวไปฝึกทำอาหารหรือ?”

รู้สึกว่าฉินหรูเหลียงให้เฮ่อโยวเป็นคนยกซุปมา แต่ไม่ได้ให้เฮ่อโยวบอกว่าเขาเป็นคนตุ๋น

เฮ่อโยวนึกในใจ ไม่ควรให้ซูเจ๋อทำดีกับเฉินเสียนเพียงคนเดียว ฉินหรูเหลียงเองก็ควรจะแสดงออกบ้างเป็นครั้งคราว

ไม่อย่างนั้นเฉินเสียนคงจะถูกซูเจ๋อแย่งไปอย่างหมดจดแน่นอน

เฮ่อโยวเองก็ไม่ได้จะลำเอียงเข้าข้างฉินหรูเหลียงแล้วกำจัดซูเจ๋อ เขาแค่รู้สึกว่าคนอย่างซูเจ๋อนั้นรับมือยาก ถึงแม้ว่าซูเจ๋อจะเคยช่วยชีวิตเขามาหลายครั้ง เขาเองมั่นใจโดยไม่รู้ตัว

การปฏิบัติเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ส่วนความรู้สึกก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

หากว่าวันข้างหน้าซูเจ๋อนำวิธีการปฏิบัติของเขามาใช้กับความรู้สึกแล้วล่ะก็ จะต้องทำร้ายเฉินเสียนอย่างแน่นอน

เฮ่อโยวพูดความจริงต่อไปว่า : “ซุปถ้วยนี้เขาเป็นคนตุ๋น ตั้งแต่ช่วงเช้าจนถึงตอนนี้ รสชาติจะไม่ดีได้ยังไงกันล่ะ”

เฉินเสียนพูดขึ้นเบาๆ ว่า : “ใครเป็นคนให้เขามาทำเรื่องพวกนี้กัน”

ฉินหรูเหลียงลองฝึกควงดาบใหม่อีกครั้ง

ที่ลานมีอาวุธมากมายเรียงรายเต็มไปหมด บนชั้นวางเต็มไปด้วยอาวุธต่างๆ นานาหลายประเภท

เขาหยิบดาบออกมาเล่มหนึ่ง แต่ไม่ว่าเขาจะออกแรงแค่ไหน ก็ไม่สามารถจับดาบให้แน่นได้

ฉินหรูเหลียงใช้แรงทั้งหมดที่มี ยกดาบขึ้นมาฟันไปยังเสาไม้ที่อยู่ข้างๆ ที่เสาไม้เกิดรอยดาบฟัน แต่มือทั้งคู่ของเขาบังคับไม่ไหว ดาบจึงหล่นลงสู่พื้น

หากเป็นเมื่อก่อน เขาไม่จำเป็นต้องพยายามอะไรมากมาย ก็สามารถฟันเสาไม้ให้หักเป็นสองท่อนได้อย่างง่ายดาย

ฉินหรูเหลียงรู้สึกไม่แล้วใจ จึงก้มลงเก็บดาบขึ้นมา ฟันลงไปอีกครั้ง

ซูเจ๋อกำลังเดินผ่านมาพอดี จึงพูดขึ้นว่า : “ท่านใช้แรงฟาดฟันแบบนี้ มีแต่จะทำให้อาการบาดเจ็บของท่านรุนแรงยิ่งขึ้น”

ฉินหรูเหลียงเหลือบมองเขาด้วยสายตาที่เย็นชา พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับท่าน”

จากนั้นทางฝั่งของเฉินเสียนก็เริ่มทำงานอีกครั้ง ตรงไปยังบริเวณรอบๆ ของเมืองอวิ๋นเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย

เมื่อใดก็ตามที่มีคนติดฝนและน้ำท่วม เฉินเสียนมักเป็นคนแรกที่เข้าไปปฏิบัติหน้าที่ให้ความช่วยเหลือโดยไม่เคยปฏิเสธมาก่อน

เธอไม่อยากเห็นเหตุการณ์เหมือนวันนั้นอีก ที่ต้องขุดศพจากกองโคลนทีละศพ ขอเพียงแค่มันไม่เกินความสามารถของเธอ เธอจะเข้าช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ

ในขณะที่เฉินเสียนพาเฮ่อโยวและกองกำลังทหารออกไปช่วยเหลือผู้คนด้วยตัวเองนั้น ซูเจ๋อก็ได้ประจำการอยู่ที่ต้นแม่น้ำเพื่อแก้ไขปัญหา

ฝนหยุดตกแล้ว เมืองอวิ๋นต้องรีบขยายและขุดลอกแม่น้ำโดยทันที เพื่อระบายน้ำออก มิฉะนั้นจะเกิดภัยพิบัติและอุบัติเหตุมากขึ้น

แต่เมื่อเชื่อมเมืองอวิ๋นและเมืองจิงทางตอนเหนือเข้าด้วยกันแล้ว ก็จะมีแม่น้ำเซียงหนึ่งสาย ต้นแม่น้ำเซียงเริ่มไหลจากเมืองอวิ๋น แล้วจึงไหลผ่านเมืองจิง และในลุ่มน้ำส่วนนี้เมืองอวิ๋นอยู่ทางต้นน้ำ

หากแม่น้ำต้นน้ำถูกขุดลอก น้ำในแม่น้ำจะถูกระบายไปยังเมืองจิงที่อยู่ปลายน้ำทั้งหมด เกรงว่าสถานการณ์ของเมืองจิงจะรุนแรงเพิ่มขึ้นมากกว่าเก่า

ซูเจ๋อยืนอยู่หน้ากระบะทราย บนกระบะทรายได้วาดลักษณะของแม่น้ำไว้

เขาที่กำลังใช้ความคิดอยู่ พูดขึ้นว่า : “แยกแม่น้ำเซียงออกเป็นหลายสาย ให้น้ำไปท่วมพื้นที่บริเวณใกล้เคียงที่ไม่มีผู้คนแทน”

แม่ทัพโฮ้วรีบนำกำลังคนออกไปจัดการทันที

ทหารและผู้ประสบภัยพิบัติในเมืองอวิ๋นต่างได้รับโรคระบาดจากลมหนาว เฉินเสียนไม่เพียงแต่จะต้องรักษาความสงบเรียบร้อยในเมือง แต่ยังต้องควบคุมและดูแลโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ อีกด้วย

หากโรคแพร่กระจายออกไป สุดท้ายก็จะพัฒนากลายเป็นโรคระบาด จึงจะเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด

บางครั้งเฉินเสียนที่ไม่ทันได้กินข้าว พอตกค่ำ ฉินหรูเหลียงก็มาส่งอาหารให้เธอ

อาหารยังร้อนอยู่

เฉินเสียนอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “ท่านไปเรียนทำอาหารตอนไหนกัน?”

ข้าคือหงส์พันปี

ข้าคือหงส์พันปี

องค์หญิงเฉินเสียนผู้โง่เขลา ถูกไล่ออกจากจวน ถูกทำให้เสียโฉม และยังมีทารกอยู่ในท้องของเธอ! ในวันที่สามีของเธอแต่งงานกับอนุภรรยา เธอมาแสดงความยินดี จัดการกับอนุคนใหม่อย่างรุนแรง และทำให้แขกในงานต่างตกใจ อนุคนใหม่ที่คิดว่าเธอเป็นเช่นไก่ที่อ่อนแอ? แต่ไม่คิดว่าจะสามารถต่อกรกับเธอได้?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset