“ซุปอร่อย แต่รสชาติกับข้าวไม่ค่อยเท่าไหร่” เฉินเสียนพูดขึ้นว่า : “เขาไม่มีพรสวรรค์ในด้านการทำอาหาร แต่ก็ยังดันทุรังทำ”
ซูเจ๋อหัวเราะอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “ขอแค่เขายินยอมที่จะฝึกฝน ความเคยชินคือบ่อเกิดของความชำนาญ หากภายภาคหน้าเขาเข้าครัวจริงจังขึ้นมา มีคนคอยทำอาหารร้อนๆ มาให้ท่านทาน ก็ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายเสียหน่อย”
เฉินเสียนจึงพูดขึ้นว่า : “เกรงว่าข้าต้องทนทานอาหารรสจัดไปพักใหญ่ๆ น่ะสิ ข้ารู้สึกไม่ชินกับการที่ฉินหรูเหลียงทำอาหารให้ข้าทาน มือคู่นั้นเหมาะกับดาบมากกว่า ไม่เหมาะกับการจับตะหลิวเลย”
“เพราะเขาไม่ยอมเอง ไม่มีใครมาตัดสินใจแทนเขาได้หรอก”
“ซูเจ๋อ ท่านไม่สามารถบังคับเขาให้มารักษาแขนได้หรือ?”
ซูเจ๋อนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เงยหน้าขึ้นมาสบตากับเธอด้วยสายตาที่ลุ่มลึก พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “หากว่าข้าสามารถรักษามือคู่นั้นของเขาให้หายดี ให้เขาสามารถกลับไปเป็นแม่ทัพใหญ่ดังเดิมได้ มันก็เท่ากับการต้องผลักเขาให้ไปอยู่อีกฝั่ง ที่วันข้างหน้าก็จะกลายมาเป็นศัตรูของท่าน ท่านต้องการแบบนั้นหรือ?”
เฉินเสียนใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “ที่แท้แล้วท่านรอให้เขาคิดพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อน มันคือเรื่องนี้หรอกหรือ มิน่าล่ะเขาถึงบอกว่าท่านเป็นคนซับซ้อนซ่อนเงื่อน”
“ข้าจะไม่ซ่อมแซมรอยแตกร้าวบนคมดาบนั่น แล้วยังยื่นดาบที่คมกริบนั่นให้กับมือผู้อื่น” ซูเจ๋อพูดขึ้น : “หากวันข้างหน้าเขาและท่านต้องกลายมาเป็นศัตรูต่อกัน สู้ให้เขาเป็นแบบเดิมอย่างที่เคยเป็นไม่ดีกว่าหรือ”
เรื่องราวที่ผ่านมาเป็นเหมือนดั่งสายลม เมื่อใดที่พัดผ่านมาทุกอย่างก็จะสลายหายไป
ในช่วงนี้ ฉินหรูเหลียงทำให้เธอรู้สึกว่าเวลาเขาอยู่ใกล้ๆ เขาเองก็มีด้านที่อบอุ่นอยู่เหมือนกัน
สำหรับเฉินเสียนแล้ว เธอไม่ได้รักหรือเกลียดฉินหรูเหลียง และก็ไม่อยากให้การพบเจอกันคราวหน้า จะต้องกลายมาเป็นศัตรูต่อกัน
เธอไม่อาจจะตัดสินว่าสิ่งที่ซูเจ๋อทำนั้นผิด เพราะไม่ว่ายังไงฉินหรูเหลียงก็เคยเป็นแม่ทัพใหญ่ที่องค์จักรพรรดิพึ่งพา และในวันนี้สถานการณ์ไม่เหมือนกันแล้ว แน่นอนว่าจะต้องวางแผนคิดเผื่อระยะยาว
เฉินเสียนพยักหน้า พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ให้เขาได้คิดพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนก็ดี ไม่ได้บอกให้เขามายืนอยู่ฝั่งเดียวกันกับข้า อย่างน้อยๆ วันข้างหน้าอย่ามาเป็นศัตรูกับข้าก็พอ การต่อสู้กับเย่เหลียงในครั้งนี้ก็ฉวยโอกาสจากตอนที่เขาไม่ทันได้วางแผนเตรียมตัวดี คราวหน้าคงจะระวังมากกว่านี้อย่างแน่นอน บางทีการวางแผนในครั้งนี้อาจจะไม่ได้ง่ายขนาดนั้น”
เขาพูดขึ้นว่า : “ข้าไม่ร้องขอให้เขามายืนอยู่ฝ่ายเดียวกันกับเรา แต่ขอเพียงแค่เขายืนอยู่ฝั่งเดียวกับอาเสียนก็พอ” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แววตาลุ่มลึก แล้วจึงพูดต่อว่า : “ครั้งหนึ่งเคยเห็นเขาเป็นถึงท่านแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ แต่มาวันนี้เขายอมเข้าครัวฝึกทำอาหารเพื่อท่าน แสดงว่าเหลืออีกไม่ไกลแล้ว ที่เขาจะสามารถบรรลุแจ่มแจ้ง”
เฉินเสียนวางมือบนโต๊ะแล้วเท้าคาง เธอเอียงคอยิ้มให้กับซูเจ๋อ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ท่านรู้หรือเปล่า ว่าฉินหรูเหลียงไม่ชอบที่ท่านมองทุกอย่างเป็นเรื่องง่ายไปหมด ทุกอย่างที่เป็นไปโดยธรรมชาติแบบนี้”
“สิ่งที่ข้าพูดเป็นข้อเท็จจริง ดูเหมือนว่าจะไม่มีตรงไหนที่ไม่เหมาะสม” ซูเจ๋อเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น : “นอกจากลึกลับซับซ้อนและเห็นทุกอย่างเป็นเรื่องง่าย เขายังได้พูดอะไรกับท่านอีก?”
“ทำไม ท่านกลัวว่าเขาจะยุให้รำตำให้รั่วหรือไงกัน?”
“ข้าจะดูว่าเขาได้พูดจามั่วซั่วหรือเปล่า”
เฉินเสียนทำเป็นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอหรี่ตาลงพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “เขาบอกว่าท่านเป็นคนลึกลับซ่อนเงื่อน แผนการเยอะ ทั้งเจ้าเล่ห์และตระหนี่ถี่เหนียว แล้วยังอยากจะมาควบคุมเขาด้วย เป็นคนที่น่ากลัวที่สุด เขาไม่อยากที่จะจำนนต่อความต้องการของท่าน แล้วบอกให้ข้าอย่าไปขอบค้าสมาคมกับท่าน”
ซูเจ๋อยิ้มขึ้นบางๆ : “อันนี้เขาเป็นคนพูด หรือท่านเป็นคนพูดกันแน่?”
เฉินเสียนเลิกคิ้วขึ้นสูง พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ยังไงเสียความหมายโดยรวมก็ประมาณนี้ ข้าก็แค่เพียงแต่แสดงออกให้เข้าใจได้ง่ายมากขึ้นก็เท่านั้น”
“แล้วท่านได้หวั่นไหวกับคำพูดของเขาหรือเปล่า?”
“มีอะไรให้น่าแปลกใจกันเชียว สิ่งที่เขาพูดมาทั้งหมด มีเรื่องไหนที่ข้าไม่รู้บ้าง” เฉินเสียนจ้องมองเขา พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “แต่ข้ารักของข้า คนอื่นเข้ามายุ่งไม่ได้”
“แล้วเขาไม่ได้บอกว่าข้าเป็นคนจิตใจคับแคบหรือ? ท่านรักชอบข้าคนเดียวก็พอ เขาทำดีกับท่านได้ แต่หากท่านจะทำดีตอบก็ควรระวังตัวไว้ให้ดี”
ใบหน้าเฉินเสียนเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ เธอพูดขึ้นว่า : “หากว่าข้าไม่ระวังตัว ท่านจะขวางกั้นประตูไม่ให้ข้าเข้าห้องหรือ?”
ซูเจ๋อพูดขึ้นว่า : “ไม่ ครั้งหน้าข้าจะให้ท่านออกจากประตูห้องไม่ได้เลย”
เฉินเสียน : “……”
ทันใดนั้นไส้เทียนก็ส่งเสียงขึ้นเล็กน้อย แสงเทียนสั่นไหวริบหรี่
แววตาของเฉินเสียนเต็มไปด้วยแสงประกาย ที่จู่ๆ ก็พูดอะไรไม่ออก
ช่วงนี้มัวยุ่งกับการระบายน้ำขังและการบรรเทาภัยพิบัติ ด้านหน้าด้านหลังล้วนแต่มีดวงตาคอยจับจ้องมองอยู่ตลอด จึงไม่สามารถสนิทชิดใกล้เกินควรได้
แต่ในใจของเธอชอบที่จะใกล้ชิดกับเขา ขอเพียงแค่ได้นั่งทานอาหารร่วมโต๊ะ ได้พูดคุยบ้าง ก็ถือว่าดีมากสำหรับเธอแล้ว
หลายวันมานี้ทั้งซูเจ๋อและแม่ทัพโฮ้วต่างก็ยุ่งอยู่กับงาน จะเอาเวลาที่ไหนมาพลอดรักกับเธอกัน
เมื่อหัวข้อพูดคุยถูกเบี่ยงเบนไปจากหัวข้อหลัก จึงเกิดความรู้สึกคลุมเครือเล็กน้อยที่พลอยทำให้หัวใจสั่นไหว
เฉินเสียนลืมที่จะถอนสายตาออกจากซูเจ๋อ เขาดึงความสนใจทั้งหมดของเธอไปชั่วขณะ
แม้แต่ซูเจ๋อที่ยกนิ้วมือเรียวยาวขาวสะอาดของเขาคลายออกจากกันเล็กน้อย เธอก็ยังรู้สึกว่าท่วงท่าอิริยาบถของเขาช่างดูสง่างามและมีเสน่ห์เหลือเกิน
ซูเจ๋อพูดขึ้นเสียงเบา : “อาเสียน ท่านมองข้าแบบนี้ ข้ารู้สึกค่อนข้างปากแห้งคอแห้งขึ้นมา”
เฉินเสียนรู้สึกแน่นไปทั้งใจ แต่เธอเองก็รู้สึกเช่นเดียวกันกับเขา
ดวงตาของเธอสั่นไหว พูดขึ้นว่า : “สงสัยท่านจะร้อนใน”
ซูเจ๋อยิ้มขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “คงงั้นกระมัง”
เพื่อความปลอดภัยขององค์หญิง ในเวลาค่ำคืนทหารหน่วยลาดตระเวนยังคงเดินผ่านบริเวณใกล้เคียงเป็นระยะ รับผิดชอบการลาดตระเวนในยามวิกาล การเฝ้าระวังอยู่ภายใต้สายตาเสมอ
เฉินเสียนและซูเจ๋อทานอาหารเสร็จแล้ว ต่างก็ต้องพากันแยกย้ายไปพักผ่อน
แต่ในขณะที่กำลังเดินผ่านตรงหัวมุม กลุ่มทหารลาดตระเวนยามค่ำคืนที่ถือคบเพลิงเดินผ่าน
เฉินเสียนกำลังจะก้าวเดินออกไป ทันใดนั้นจู่ๆ ก็ถูกซูเจ๋อดึงไว้ เขาดึงเธอเข้าไปในช่องว่างรอยร้าวของกำแพงระหว่างหินก้อนใหญ่ทั้งสองก้อนที่ลาน
ช่องของรอยร้าวค่อนข้างแคบ เพียงพอที่จะยึดร่างของทั้งสองไว้ใกล้กันโดยไม่มีช่องว่างเหลือ
จู่ๆ ซูเจ๋อก็โน้มตัวลงมา หายใจแผ่วเบาข้างใบหูของเธอ พลอยทำให้เฉินเสียนรู้สึกแทบหายใจไม่ออก
แต่เฉินเสียนก็ยังพยายามจะมีสติ จ้องมองซูเจ๋อที่อยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ พูดขึ้นน้ำเสียงจริงจังว่า : “หน่วยลาดตระเวนนั่นมีปัญหาอะไรหรือ?”
เพราะเคยมีประสบการณ์ที่นักฆ่าแฝงตัวเข้ามาเป็นทหารของเย่เหลียงเมื่อครั้งก่อน เมื่อเจอกับสถานการณ์แบบนี้ เฉินเสียนเองก็ไม่กล้าที่จะชะล่าใจ
หากมีคนที่เล็ดลอดสายตาเข้ามาปะปนกับทหารเหล่านี้จริง ก็ควรต้องรีบจัดการให้หมดจดเป็นอันดับแรก
แต่แล้วจู่ๆ ซูเจ๋อก็พูดขึ้นข้างหูของเธอเบาๆ ว่า : “ข้าไม่รู้ ตอนนี้ยังไม่เห็นอะไรที่ผิดสังเกต”
เฉินเสียนกระซิบตอบไปว่า : “ท่านไม่รู้แล้วดึงข้ามาหลบตรงนี้ทำไมกัน?”
เสียงฝีเท้าของรองเท้าเหล็กที่ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทั้งเสียงที่เป็นระเบียบและเสียงที่วุ่นวาย แสงและเงาค่อยๆ สาดส่องแสงที่สั่นไหวริบหรี่ลงบนผนัง
ซูเจ๋อโอบรัดเอวของเฉินเสียน กอดเธอแนบแน่น พูดขึ้นพึมพำว่า : “ข้าเพียงแค่อยากจะจูบท่านก็เท่านั้น”
ในขณะที่ทหารหน่วยลาดตระเวนกำลังเดินผ่านรอยร้าวที่กำแพงนี้ทีละคนนั้น ซูเจ๋อก็กดเฉินเสียนชิดผนัง เขาประคองท้ายทอยของเธอไว้ แล้วโน้มตัวลงมาจูบเธอ
เฉินเสียนที่กลัวว่าทหารหน่วยลาดตระเวนจะสังเกตเห็นเข้า หากเป็นแบบนี้ ถึงแม้ว่าทั้งเธอและซูเจ๋อจะกระโดดลงในแม่น้ำแห่งความตาย ก็ไม่สามารถชำระล้างมลทินให้สะอาดได้
เธอรู้ดีว่า หากทหารนายหนึ่งหันคบเพลิงมาทางนี้ ก็จะต้องสังเกตเห็นอย่างแน่นอน
“แบบนี้เดี๋ยวก็ถูกเห็นเข้า……”
ซูเจ๋อได้กลืนกินเสียงพึมพำของเธอเข้าไปจนหมดสิ้น
สติสัมปชัญญะบอกกับเฉินเสียนว่าไม่ควรทำแบบนี้ แต่เธอก็ยังยอมให้ถูกครอบงำ ยื่นแขนออกไปคล้องคอของเขาอย่างไม่รู้ตัว ให้ซูเจ๋อได้ลิ้มรสการตอบสนองกลับของเธอ
ทหารหน่วยลาดตระเวนได้เดินจากไปไกลแล้ว ทั้งคู่ยังคงดูดดื่มกับจูบที่ลึกซึ้ง เคล้าคลอนัวเนียไม่อาจทำใจแยกจากกันได้
ยิ่งลึกล้ำเข้าไปเฉินเสียนก็ยิ่งค้นพบว่า แท้จริงแล้วชายชาตรีก็สามารถใช้คำว่างดงามมาเปรียบเปรยได้
เธอได้ลิ้มรสสัมผัสความงดงามของซูเจ๋อ คนผู้นี้เป็นของเธอคนเดียวเท่านั้น
ผ่านไปเนิ่นนาน เฉินเสียนที่ยังไม่สามารถออกห่างจากริมฝีปากของเขาได้ เธอพูดขึ้นน้ำเสียงแผ่วเบา : “ซูเจ๋อ ท่านหอมจังเลย”
ลมหายใจและกลิ่นหอมของเขา มันช่างน่าหลงใหลเสียจริง