โรคระบาดร้ายแรงยิ่งไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์สามารถควบคุมได้ ไม่เช่นนั้นจะมีคนติดเชื้อมากขนาดนี้หรือ ดังนั้นนอกจากสถานการณ์ของตนเองแล้ว ใครติดเชื้อใครไม่ติดเชื้อ ก็คงขึ้นอยู่กับฟ้าลิขิตไว้ไม่มากก็น้อย
เฉินเสียนก็เลยรู้สึกว่ามันแปลกไปจากปกติมาก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
ซูเจ๋อ:”ถ้าอยากรักษาพวกเขาให้หายล่ะก็ จำเป็นต้องรู้สาเหตุ มีเพียงแค่หาต้นตอของโรคระบาดเจอ ถึงจะสามารถควบคุมโรคระบาดนี้ให้อยู่หมัดได้”
“แต่จะทำอย่างไรถึงจะหาต้นตอเจอ?”
ซูเจ๋อไม่ได้อธิบายละเอียด
กลับมาถึงหน้าประตูที่ทำการปกครองเมือง ฉินหรูเหลียงต้มยาแล้วส่งออกไปเสร็จพอดี เขาเดินเข้ามาในเรือนแล้วพูด:“ถ้ายังต้มยาทุกวันต่อไปล่ะก็ ไม่นานเครื่องปรุงยาในเมืองก็จะหมดไป ตอนนี้เหลือไม่……”
จากนั้น คำพูดของฉินหรูเหลียงยังไม่ทันพูดจบ ร่างสูงใหญ่ก็ล้มลง
“ฉินหรูเหลียง!”
มีคนสองสามคนรีบเข้าไปพยุงเขาขึ้นมา เฉินเสียนแตะที่หน้าผากเขา แล้วพูดกับเฮ่อโยว:“เขามีไข้ขนาดนี้ทำไมเจ้าถึงไม่รู้ให้เร็วกว่านี้?”
เฮ่อโยว:“ข้ายุ่งอยู่กับการส่งยา ไม่ทันได้สนใจ”
ในเวลาที่ยุ่งอยู่นั้น เฮ่อโยวมีเวลาไปสนใจสถานการณ์ของฉินหรูเหลียงที่ไหนกัน อีกอย่างในทุกๆวันทั้งสองต่างก็ดื่มยาป้องกันทั้งคู่ คิดว่าคงไม่ติดเชื้อเสียอีก
ใครจะไปคิดว่าจู่ๆฉินหรูเหลียงจะล้มลง เฮ่อโยวก็รู้สึกว่ามันกะทันหันเกินไป
หลังจากที่พยุงฉินหรูเหลียงกลับไปที่ห้องแล้ว เฉินเสียนก็รีบฉีดยาและป้อนยาให้ฉินหรูเหลียง ไม่ง่ายเลยกว่าจะทำให้ไข้ของเขาลดลง แต่ไม่นานเขาก็ไข้กลับอีก
ตอนที่ฉินหรูเหลียงได้สติฟื้นขึ้นมาก็อดไม่ได้ที่จะไอ เขาไอรุนแรงมากถึงกับหยุดไม่ได้ และมีเลือดปนออกมาเล็กน้อย
เฉินเสียนหนักใจ อาการของฉินหรูเหลียงเหมือนกับอาการของคนอื่นๆที่ติดเชื้อเลย
เขาติดเชื้อแล้ว
ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ในช่วงระยะเริ่มแรกของโรคก็ตาม แต่โรคระบาดนี้กำลังลุกลาม ไม่นานอาการป่วยของเขาก็จะรุนแรงขึ้น
ของใช้ในชีวิตประจำวันของฉินหรูเหลียงทั้งหมดใช้แยกกับคนอื่นๆ เขาพักอยู่ในเรือนคนเดียว คนอื่นๆไม่สามารถเข้าออกได้
เรื่องที่จะไปดูแลฉินหรูเหลียง เฉินเสียนเป็นคนเสนอขึ้นมาเอง
เพราะไม่ว่าจะเป็นใครที่มาดูแลเขา ต่างก็มีโอกาสที่จะถูกแพร่เชื้อ เป็นเรื่องที่มีความเสี่ยง
ในตอนแรกเฮ่อโยวคัดค้านอย่างมาก
แต่ถ้าข้างกายฉินหรูเหลียงไม่มีคนที่รู้วิชาแพทย์ดูแลล่ะก็ อาการป่วยของเขาจะแย่ลงถึงขั้นรุนแรง
ในตอนที่เฮ่อโยวคัดค้าน ซูเจ๋อไม่ได้ร่วมด้วยแต่อย่างใด
เฮ่อโยวพูดอย่างร้อนใจ:“บัณฑิตท่านพูดอะไรสักอย่างสิ!ปกติท่านมักจะสนใจที่เฉินเสียนทำดีกับแม่ทัพฉินมิใช่หรือ ตอนนี้พระองค์จะไปดูแลแม่ทัพฉิน ท่านรีบห้ามสิ!”
ในเวลาเดียวกันเฉินเสียนก็พูดขึ้นมา:“ซูเจ๋อ ข้าไปดูแลอาการของฉินหรูเหลียง ท่านไปหาสาเหตุของโรคระบาด ท่านว่าอย่างไร?”
เธอรู้ว่าเธอต้องโน้มน้าวซูเจ๋อ ถึงจะวางใจเรื่องนี้
“ข้าไม่ว่าอย่างไร”
เฉินเสียนกระตุกมุมปาก:“ความจริงดูแลฉินหรูเหลียงยังง่ายกว่า ไปหาสาเหตุของโรคระบาดนั้นงานค่อนข้างหนัก ท่านก็คิดเสียว่าข้าอู้งานดีหรือไม่? ข้าจะระวัง ไม่ให้ตัวข้าติดเชื้อ”
ซูเจ๋อ:“แผลข้าพึ่งหายดีได้ไม่นาน ไม่สมควรที่จะแบกรับงานหนัก เหมือนว่าคนที่ควรอู้งานควรจะเป็นข้าถึงจะถูก”
เฉินเสียนเงยหน้ามองเขา เขาก้มลงมามองตาเธอพอดี:“ข้าจะรักษาแม่ทัพฉินเอง ท่านไปดูแลราษฎรในเมือง”
เฮ่อโยวเห็นด้วยอย่างยิ่ง:“ข้าว่าแบบนี้ดีที่สุดแล้ว!”
เฉินเสียนกลับพูด:“ไม่ได้ ที่ฉินหรูเหลียงล้มลง อาจจะด้วยเหตุที่บาดแผลของเขาพึ่งจะฟื้นฟู ภูมิต้านทานยังอ่อนแอ บาดแผลของท่านพึ่งดีขึ้นได้ไม่นาน ห้ามเสี่ยงเด็ดขาด”
“อาเสียน ราษฎรในเมืองจิงจำนวนมากรอท่านอยู่ ท่านคือความหวังของพวกเขา” ซูเจ๋อพูด
“ส่วนข้ากับแม่ทัพฉิน ขอแค่ท่านหาวิธีได้เร็ว เขาถึงจะดีขึ้นได้ และข้าก็คงไม่ถึงกับถูกแพร่เชื้อหรอก”
เฉินเสียนส่ายหน้า “วิชาการแพทย์ของท่านสูงกว่าข้า ท่านไปหาสาเหตุ……”
ซูเจ๋อพูดเสียงต่ำ:“ท่านก็รู้ ข้าไม่มีทางให้โอกาสท่านได้อยู่กับฉินหรูเหลียงตามลำพัง ท่านวางใจเถอะ ข้าจะดูแลเขาให้ดีเอง”
พูดจบ ซูเจ๋อก็มองไปทางเฮ่อโยว:“เฮ่อโยว พาองค์หญิงออกไป”
เฮ่อโยวดึงองค์หญิงไป แล้วพูด:“ทำตามที่เขาบอกเถอะ ท่านคือองค์หญิงจิ้งเสียน ราษฎรในเมืองจิงต้องการท่านมากกว่าเสียอีก มีเพียงแค่ท่านช่วยชีวิตพวกเขาให้รอดพ้นถึงจะเหมาะสม”
เฮ่อโยวเดินไปพูดไป:“บัณฑิตเป็นคนที่รู้แจ้ง วิชาแพทย์ของเขาก็ดีมาก ท่านไม่ต้องเป็นกังวล แม่ทัพฉินอยู่ในมือเขาไม่มีทางเป็นอะไรแน่นอน”
เฉินเสียนหันกลับมาก็เห็นว่าซูเจ๋อเดินเข้าไปห้องของฉินหรูเหลียงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ซูเจ๋อ” เธอเรียกเขา
ซูเจ๋อยืนอยู่ตรงวงกบประตู หมุนร่างกลับมาอย่างสง่า แล้วยิ้มมุมปาก “พ่ะย่ะค่ะ?”
เฉินเสียน:“เพื่อที่จะไม่ถูกแพร่เชื้อ ข้าว่าท่านอยู่ห่างเขาหน่อยก็ดีนะ”
ในสายตาเฉินเสียน ไม่มีใครสำคัญมากไปกว่าซูเจ๋อ เธอรู้ดีว่าตัวเธอเองจะเลือกอย่างไร
“ข้ารู้แล้ว”
เฉินเสียนพูดอย่างแน่วแน่:“ข้าจะหาสาเหตุให้เจอโดยเร็ว”
ต่อมาเฉินเสียนไปตรวจสอบสถานที่กับเฮ่อโยว จากสิ่งของที่สัมผัสที่ใช้ในชีวิตประจำวันไปจนถึงอาหารที่รับประทาน
ในจำนวนนั้นเฉินเสียนก็พบความบังเอิญเข้า
ในบ้านของราษฎรที่ไม่ได้ติดเชื้อ ต่างก็มีบ่อน้ำ ในวันปกติน้ำที่ใช้ที่ดื่มต่างก็เอามาจากในบ่อ
และเรือนที่เฉินเสียนพักอยู่ก็มีบ่อน้ำเช่นกัน น้ำที่ใช้ก็เป็นน้ำจากบ่อ
ส่วนราษฎรที่ติดเชื้อ นอกจากคนที่ถูกแพร่เชื้อแล้ว บ้านหลังที่เหลือต่างก็ไม่มีบ่อน้ำ พวกเขาใช้น้ำจากแม่น้ำเซียงที่ไหลผ่านเมืองจิง
ถ้าหากไม่ได้เผชิญกับช่วงน้ำท่วม น้ำในแม่น้ำเซียงจะใสสะอาดมาก
เมืองอวิ๋นอยู่ที่แม่น้ำตอนบนของเมืองจิง ทั้งสองเมืองต่างก็พึ่งพาน้ำในแม่น้ำเซียงเป็นแหล่งน้ำหลักมาตลอด
ตอนที่อยู่ในเมืองอวิ๋น แม่น้ำเซียงผ่านทางระบายน้ำ ในตอนที่ไหลมายังเมืองจิงนั้นตะกอนดินทรายในแม่น้ำได้ตกตะกอนไปแล้ว บวกกับฝนที่ตกไม่หนักมาก ด้วยเหตุนี้น้ำในแม่น้ำค่อนข้างใสสะอาดพอสมควร
ราษฎรในเมืองจิงตักน้ำมาใช้จากแม่น้ำสายนั้น อาจจะเป็นไปได้ว่าแหล่งน้ำไม่สะอาด ดังนั้นทำให้ผู้คนล้มป่วย นี่เลยเป็นสาเหตุของโรคระบาด
หลังจากที่คิดแบบนี้แล้ว เฉินเสียนก็รีบส่งคนไปสอบถาม บ้านที่มีคนติดเชื้อว่าใช้น้ำกันอย่างไร
ผลสรุปที่ได้พวกเขาส่วนใหญ่ต่างก็ตักน้ำจากในแม่น้ำมาใช้ บ้างก็เคยดื่มเคยใช้น้ำดิบ บ้างก็กินผักผลไม้ที่ผ่านการล้างน้ำดิบ
เวลาล่วงเลยไปสองวัน
ในสองวันนี้ฉินหรูเหลียงมีไข้สูงต่อเนื่อง สติเลอะเลือนและมีอาการไอ
ซูเจ๋อใช้เข็มเงินเพื่อบังคับให้ไข้ของเขาลดลง แต่ก็ประคองอาการได้ไม่นาน
ตอนที่เฉินเสียนมา ซูเจ๋อออกมาจากห้อง ยืนอยู่ใต้ชายคา แต่กลับไม่ให้เธอเดินเข้ามา
บนใบหน้าของซูเจ๋อซีดเซียวและเห็นถึงอาการอ่อนเพลียเล็กน้อย:“อาเสียน อย่าเข้ามา ในห้องมีเชื้อปะปนอยู่ในอากาศหนักมาก ถ้าท่านติดเชื้อจะแย่เอา”
เฉินเสียนหยุดเดิน ขมวดคิ้วแล้วถาม:“แล้วท่านล่ะ?”
ซูเจ๋อ:“ข้ายังสบายดี”
“ข้าหาสาเหตุของโรคระบาดเจอแล้ว เพราะน้ำที่ใช้ในเมืองไม่สะอาด ท่านห้ามใช้น้ำดิบเด็ดขาด บางทีน้ำที่เอามาจากบ่ออาจจะสะอาดกว่า แต่ต้องหลังจากที่ผ่านการต้มสุกแล้วถึงจะดื่มได้”
ซูเจ๋อยิ้ม:“ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านต้องทำได้ ท่านไม่ต้องกังวล ข้าใช้น้ำที่ไปเอามาจากหลังเรือนมาโดยตลอด”