เฉินเสียนกำมือแน่น ปลายนิ้วใช้แรงกดเข้าไปกลางฝ่ามือ เธอหายใจเข้าลึกๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น:“ไม่ ข้ากลัวหนูมาก”
เฮ่อโยวถอนหายใจอย่างประหลาด
ครั้งที่แล้วซูเจ๋อจับหนูได้ไม่กี่ตัว แต่ตอนนี้หนูที่จมน้ำตายกลับมากมายขนาดนี้ เฮ่อโยวคิดในใจ ทั้งสองเรื่องนี้คงไม่ได้เกี่ยวกันหรอกกระมัง
ต่อมาเรื่องที่หนูตายถูกเก็บเป็นความลับ ห้ามเผยแพร่ไปด้านนอก เพื่อเลี่ยงที่จะทำให้ราษฎรตื่นกลัว
หลังจากนั้นก็ทำความสะอาดแหล่งน้ำ ในช่วงเวลานี้ หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำออกคำสั่งราษฎรทุกคนห้ามดื่มห้ามใช้น้ำจากแม่น้ำเซียง
แม่น้ำเซียงมีความสามารถในการชะล้างด้วยตัวเอง ผ่านไปไม่กี่วันกลิ่นผิดปกติพวกนั้นก็หายไปเอง เฉินเสียนให้หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำเปิดประตูระบายน้ำอีกครั้ง เพื่อให้น้ำไหลออกไปอย่างเร่งรีบ
ขอแค่น้ำผลัดออกไปอย่างต่อเนื่อง ไม่นานก็จะใสสะอาดขึ้น
ในขณะเดียวกันหน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำก็พาคนไปตรวจสอบตามทางและสภาพของแม่น้ำเซียง ดูว่ายังมีหนูตายถูกซัดไหลเข้ามาหรือไม่
ต่อมาก็ไม่มีอีกแล้ว
โรคระบาดในเมืองคืออหิวาตกโรค ในส่วนนี้ได้ยืนยันแล้ว
เฉินเสียนก็ยุ่งอยู่กับการเรียกรวมตัวหมอทุกคน เพื่อปรุงยารักษาอหิวาตกโรค
ยานี้จำเป็นต้องปรุงและทดลองหลายครั้งถึงจะสามารถได้ผลการรักษาที่ดีที่สุดออกมา
ที่ทำให้ผู้คนปลื้มใจก็คือ ต่อมาในเมืองมีจำนวนคนตายเพราะโรคระบาดลดน้อยลง
ทุกอย่างกำลังพัฒนาไปในทางที่ดี
แต่เฉินเสียนนั้นยุ่งจนไม่มีเวลา ไม่ยอมพักผ่อน ใบหน้าของเธอไม่มีความรู้สึกใดๆ นัยน์ตาที่เหมือนเคลือบสีมันเงานั้นดูแล้วก็ไม่มีอารมณ์ใดๆ แต่แท้จริงแล้วเหมือนว่าแฝงไปด้วยอารมณ์นับหมื่น
เฉินเสียนไม่ลืมยกยาไปให้ฉินหรูเหลียง นี่เป็นยาที่ปรุงมาใหม่ ประสิทธิผลดีกว่าก่อนหน้านี้ แต่กลับไม่สามารถรักษาโรคระบาดให้หายขาดได้
ซูเจ๋อ:“ให้ข้าจัดการเถอะ”
เฉินเสียนหยุดอยู่ที่หน้าประตู มองซูเจ๋อยกยาเข้าไปให้ฉินหรูเหลียงดื่ม
หลังจากที่รอให้ฉินหรูเหลียงดื่มยาเข้าไป เสียงของเฉินเสียนแหบเล็กน้อย:”ซูเจ๋อ ท่านออกมาหน่อย ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่าน“
”ได้“
เฉินเสียนยืนอยู่ตรงทางเดินสักพัก หันกลับมาก็เห็นว่าซูเจ๋อเดินออกมาจากห้องแล้ว
เธอมองออกว่าเขาเองก็เหนื่อย เขาพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะรักษาชีวิตของฉินหรูเหลียงไว้ ไม่ให้อาการเขาทรุดในช่วงเวลานี้ ไม่เช่นนั้นต่อให้มียา ก็อาจจะไม่สามารถช่วยกลับมาได้
เฉินเสียนกระแอมเล็กน้อย มีบางคำพูดที่ไม่สามารถพูดออกไปได้ในตอนนี้ เลยพูดแค่:”ข้าหาสาเหตุเจอแล้ว ในแม่น้ำนอกเมืองมีหนูจมน้ำตายลอยอยู่เป็นจำนวนมาก โรคระบาดที่แพร่กระจายในเมือง คืออหิวาตกโรค“
เธอมองหน้าซูเจ๋ออย่างแน่วแน่ จับตาดูสีหน้าที่เปลี่ยนไปบนใบหน้าเขา
เธอคิดว่าอาจจะเจออะไรบ้าง แต่กลับกลัวสิ่งที่จะเจอ
แค่ปฏิกิริยาของซูเจ๋อเหมือนกับที่เธอคาดการณ์ไว้ สีหน้าไม่ได้เปลี่ยนไปมาก
เดาว่าบนโลกนี้อย่างน้อยก็มีสักเรื่องที่สามารถทำให้ในใจเขาเหมือนมีคลื่นลูกใหญ่ถาโถมหรือทำให้เขากลัวขึ้นมาได้
นี่แหละ ซูเจ๋อ
เขาหรี่ตา แล้วไตร่ตรองสักพัก:”ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เกรงว่าคงเพราะฝนตกหนักจนถล่มรังของหนูที่ไหนสักที่ ในเมื่อรู้สาเหตุแล้ว ก็ปรุงยารักษาง่ายแล้วล่ะ“
เฉินเสียนเชื่อคำพูดของซูเจ๋อมาตลอด
จากคำพูดของเขา ฟังไม่ออกเลยว่าเขามีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
แน่นอนว่าเฉินเสียนคาดหวังว่าเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวกับเขา ในเมื่อตอนนี้ซูเจ๋อพูดเช่นนี้แล้ว เธอก็จะบังคับให้ตัวเองไม่ไปคิดอะไรมาก
แต่แค่ไม่รู้ว่าเธอควบคุมให้ตัวเองไม่ไปคิดมากเช่นนี้แล้วจะยังสามารถควบคุมไปได้นานเท่าไร
เฉินเสียนพยักหน้า แล้วพูด:“ดังนั้นข้าก็เลยคิดว่าอยากจะคุยเรื่องใบสั่งยากับท่านสักหน่อย”
ซูเจ๋อถาม:“หายารักษาเจอแล้ว?”
เฉินเสียนเลยเล่าเรื่องยาที่เธอกับหมอในเมืองปรุงผสมให้ฟังหนึ่งรอบ เพราะไม่สามารถกำจัดโรคระบาดให้หายขาดได้ แน่นอนว่ายังมีส่วนที่ต้องแก้ไขให้ดี
เธอก็อยากรู้ความเห็นของซูเจ๋อเช่นกัน
เพราะยังไงวิชาการแพทย์ของซูเจ๋อล้ำเลิศ นี่เป็นการลองที่สมเหตุสมผล
ต่อมาซูเจ๋อไตร่ตรองสักพัก ไปที่ใบสั่งยาแล้วเพิ่มยาสองสามตัว ให้เฉินเสียนเอาไปลอง
เฉินเสียนได้รับแล้ว ก็รีบออกไป
ซูเจ๋อถามไล่หลังมา:“อาเสียน อยากให้ข้าช่วยหรือไม่ ข้าสามารถไปลองและปรุงยาที่ดีที่สุดด้วยกันกับท่านได้นะ”
เฉินเสียนหยุดเดิน ไม่ได้หันกลับไป:“ไม่ต้องหรอก ท่านช่วยข้าดูแลฉินหรูเหลียงก็พอแล้ว ถ้าหากอาการของเขาดีขึ้นแล้ว มีเวลาท่านก็กลับห้องไปพักผ่อนล่ะ สองวันมานี้ลำบากท่านแล้ว”
“คนที่ลำบากจริงๆ คืออาเสียนต่างหากเล่า” เสียงของเขายังคงอบอุ่น แต่ก็มีความเหน็ดเหนื่อยแฝงด้วยเล็กน้อย เพิ่มเติมคือความไพเราะ
“ข้าเชื่อใจท่าน ว่าท่านสามารถรักษาพวกเขาให้หายดีได้ ถ้าหากต้มยาใหม่เสร็จแล้ว ลองเอามาให้แม่ทัพฉินลองก่อนสิ ใบสั่งยานี้ค่อนข้างจะสมบูรณ์ อย่างไรก็ตามสำหรับเขาแล้วมีแต่ได้ไม่มีเสีย”
เฉินเสียนรับปาก แล้วรีบเดินออกไป
ซูเจ๋อยืนอยู่ตรงทางเดิน นัยน์ตาสีดำหมึกมองไปยังทิศทางที่เธอเดินออกไปนานพอสมควร
ลมพัดชายเสื้อของเขาพลิ้วไหว เขาเบนสายตากลับ หมุนกลับช้าๆในร่างชุดดำสูงชะลูดด้วยท่าทางน่าเคารพ
ที่ระเบียงทางเดินหลงเหลือเพียงลมและทิวทัศน์อันงดงาม ชั่วพริบตาก็จางหายไปในทันที
หลังจากที่ซูเจ๋อเพิ่มตัวยาสองสามตัวไปในใบสั่งยาแล้ว ประสิทธิผลของยาคงดีกว่าครั้งก่อน
ฉินหรูเหลียงอาการดีขึ้นทุกวัน ราษฎรในเมืองก็ค่อยๆดิ้นหลุดออกมาจากโรคระบาด
เวลาส่วนมากของฉินหรูเหลียงคือได้สติแล้ว ซูเจ๋อก็ไม่จำเป็นต้องดูแลแล้ว
เขายังอ่อนเพลียเล็กน้อย เฉินเสียนยกยาเข้ามาให้เขาดื่ม ชำเลืองมองสีหน้าที่ซีดเซียวของเขาที่พิงเตียงอยู่:“ตัวท่านเองถูกแพร่เชื้อแล้วยังไม่รู้ตัวอีก ท่านควรจะรู้ว่าตัวท่านมีไข้ จำเป็นต้องไปหาหมอ”
ฉินหรูเหลียง:“ตอนนั้นไม่ทันได้ระวัง” เขาก็คิดไม่ถึงเช่นกัน เขาไม่ได้เรื่องมากกว่าที่ตัวเขาเองคิดเสียอีก
พอดื่มยาหมดแล้ว เฉินเสียนก็เก็บถ้วยยาแล้วเดินออกไป ฉินหรูเหลียงก็ถามขึ้นมา:“สถานการณ์ด้านนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”
เฉินเสียนกดสีหน้าเอาไว้ เหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น:“เรื่องนี้ท่านไม่ต้องเป็นกังวลหรอก ควบคุมโรคระบาดไว้ได้แล้ว ส่วนคนที่ป่วยนั้นก็เหมือนกับท่าน ร่างกายกำลังค่อยๆฟื้นฟู”
“เช่นนั้นก็ดี” ฉินหรูเหลียงพูด “ตอนที่ท่านออกไป ช่วยข้าเรียกเขาเข้ามาได้หรือไม่?”
เฉินเสียนรู้ได้ในทันทีว่าเขาหมายถึงใคร:“ได้”
ตอนออกมาเจอกับซูเจ๋อ ซูเจ๋อเพียงแค่มองเธออย่างลึกซึ้ง นัยน์ตาอ้างว้างอย่างไม่มีสาเหตุ เฉินเสียนไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่า:“ฉินหรูเหลียงต้องการเจอท่าน”
ซูเจ๋อพยักหน้า
ทั้งสองต่างก็เป็นคนที่อ่อนไหวง่าย ต่างคนต่างซ่อนความในใจไว้
มองเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่กลับรู้ดีกันทั้งสองฝ่าย
ครั้งนี้เฉินเสียนหาวิธีกำจัดโรคระบาดเจอ เธอช่วยเหลือราษฎร ดูแลคนไข้ด้วยตัวเอง ได้รับคำชื่นชมและเคารพรักจากราษฎรทั้งเมือง
ส่วนราษฎรที่ช่วยชีวิตกลับมานั้น พร้อมใจกันคุกเข่าก้มศีรษะขอบคุณเธอหน้าประตูที่ทำการปกครองเมือง
ไม่ว่าเฉินเสียนจะเรียกพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ไม่ลุกขึ้นมา
ในใจเธอไม่ใช่คนดีอะไรเลย มันซับซ้อนมาก ถึงขนาดรู้สึกเยาะเย้ยเล็กน้อย
จิตใจของราษฎรนั้นล้ำค่า เธอเข้าใจมาตลอด เธอก็หวังเช่นกันว่าจะได้รับการสนับสนุนจากราษฎรโดยพึ่งความพยายามของตัวเอง
แต่ถ้าหากความทุกข์ยากลำบากและคำชื่นชมทุกอย่างนี้ เป็นเพราะมีคนตั้งใจวางแผนให้เป็นเช่นนี้ พวกเขายังจะชื่นชมเธอ ขอบคุณเธอเหมือนดั่งขอบคุณพระโพธิสัตว์อยู่หรือไม่?
คงจะรีบพากันเกลียดชังเธอ
ในขณะที่ทุกคนต่างก็กำลังซาบซึ้งใจนั้น มีราษฎรคนหนึ่งที่ทหารคุ้มกันเมืองพามา เขารีบมาตรงนี้ด้วยความรีบร้อน
ยังไม่ทันถึงข้างหน้าเธอ ราษฎรคนนั้นก็คุกเข่าลงที่พื้น ร้องไห้สะอื้น:“องค์หญิงโพธิสัตว์โปรดช่วยหมู่บ้านของพวกเราด้วยพ่ะย่ะค่ะ!คนในหมู่บ้านของพวกเราใกล้จะตายกันแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”