ข้าคือหงส์พันปี – ตอนที่ 316 ทั้งที่เขาวางแผนอย่างละเอียดถี่ถ้วนไว้แล้ว

สตรีเจ้าบ้านชี้ไปยังห้องพักของพวกเขา สับเปลี่ยนผ้าห่มใหม่เอี่ยมไว้ในห้องเรียบร้อย หมู่บ้านนี้แร้งแค้นพวกเขาจัดสรรให้ได้เพียงเท่านี้

หลังสตรีเจ้าบ้านกล่าวจบก็ออกไป

เฉินเสียนเอาถ้วยเปล่าเทสุราให้ตัวเอง จากนั้นก็ดื่มหนึ่งอึก

สุรานี้แม้จะธรรมดาทั่วไป หากแต่ให้รสชาติหวานกลมกล่อมไม่เบา

เธอกล่าว “กินเถอะ ข้าหิวแล้ว”

ซูเจ๋อเป็นคนกินน้อย ส่วนมากจะนั่งมองเฉินเสียนกิน

เฉินเสียนอยากเมินเฉยใส่สายตาคู่นั้นเหลือเกิน หากแต่หัวใจกลับไม่รักดีมีแต่ภาพของเขาเต็มไปหมด ไล่เท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จเสียที

ซูเจ๋อเอ่ยเสียงแผ่วเบา “อาเสียน ท่านชิงชังข้าหรือ?”

เฉินเสียนวางตะเกียบ รู้สึกคอแห้ง จึงดื่มสุราไปหนึ่งถ้วย เอ่ยด้วยเสียงหัวเราะเย้ยหยัน “ข้าชิงชังท่านได้อย่างไร? ถึงแม้จะเกลียดท่านก็ต้องมีเหตุผลไม่ใช่หรือ?”

เธอฝืนหัวเราะต่อไม่ได้แล้ว ไม่อาจแกล้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกต่อไป

แววตาเงียบงันของเฉินเสียนยกขึ้นมาหยุดอยู่ตรงใบหน้าซูเจ๋ออย่างสงบจิตสงบใจ เอ่ยว่า “ซูเจ๋อ ท่านไม่คิดอธิบายกับข้าหรือ?”

ซูเจ๋อกล่าว “ท่านไม่ได้ถามกระไร ข้าควรจะอธิบายเยี่ยงใดเล่า”

“ได้ งั้นข้าถามท่าน” เฉินเสียนจ้องเขา พลางเอ่ยทีละถ้อยคำอย่างแจ่มชัด “กองเกียรติยศที่ล้มตายด้วยโรคระบาดกันเป็นแถว เกี่ยวข้องกับท่านหรือไม่?”

ซูเจ๋อใคร่ครวญแล้วตอบว่า “ครั้งนี้พวกเขาไม่ตาย ครั้งหน้าก็ต้องตายเช่นกัน”

คลับคล้ายคลับคลาว่าเฉินเสียนจะรู้คำตอบแล้ว ทว่าเธอไม่เต็มใจ

คงเป็นเพราะเธอใช้วิธีถามไม่ถูก คนพวกนั้นสมควรตาย ตายไปเธอก็ไม่เสียใจ เธอถามเรื่องเป็นตายร้ายดีที่ไม่สำคัญทำไม?

เฉินเสียนกล่าวเสียงแผ่วเบา “แล้วราษฎรในเมืองจิงล่ะ พวกเขาก็สมควรตายหรอกหรือ ชาวบ้านที่นี่อีก พวกเขาก็ควรตายกันหมดหรือ?”

แววตาเย็นยะเยือกของเธอจ้องมองเขาอยู่อย่างนั้น มุมปากยกขึ้นหัวเราะเย้ยหยัน “หากพวกเขารู้ความจริง พวกเขาจะให้อาหารสุราดีแก่พวกเราหรือไม่?”

ซูเจ๋อกล่าว “อะไรคือความจริง”

เฉินเสียนกล่าว “ข้าไม่อยากรู้ว่าอะไรคือความจริง”

“ในเมื่อไม่อยากรู้ งั้นก็ไม่ต้องรู้ ไยท่านถึงถามอีก?”

เฉินเสียนเค้นเสียงลอดผ่านไรฟันของเธอทีละคำ “เพราะท่านคือซูเจ๋อ”

ซูเจ๋อเงยหน้ามองเธอกะทันหัน

เธอกลับไม่มองเขาต่อ

เธอรู้สึกคอแห้ง ดื่มสุราเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ ยาที่ซูเจ๋อมาคว้าถ้วยสุราของเธอ ถูกเธอจ้องเขม็งกลับไป “ท่านจุ้นจ้านเรื่องของข้าทุกอย่าง แม้แต่เรื่องกินดื่มของข้า ท่านก็จะจุ้นจ้านด้วยหรือ?”

“อาเสียน ท่านเมาแล้ว”

เฉินเสียนกล่าวเสียงลากยาวว่า “เมาหรือไม่ ข้าย่อมรู้ดีกว่าท่าน ข้าอยากเมาให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย แต่ยามนี้ข้ากลับมีสติกว่าตอนไหนๆ”

เธอคอแห้ง หัวใจก็ห่อเหี่ยว พอไม่อาจเทสุราออกจากไหได้แม้แต่หยดเดียว เฉินเสียนถึงรู้ว่าตัวเองดื่มจนหมดเกลี้ยงเสียแล้ว

เธอวางไหลงเบาๆ ใช้มือดันโต๊ะพาตัวเองลุกขึ้น แล้วหันหลังเดินเข้าห้องนอน เอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าเพลียแล้ว ท่านค่อยๆกิน”

เฉินเสียนฝืนบังคับตัวเองไม่ให้ไปมองเขา ตอนหันหลังเธอกะพริบตาที่เริ่มแดงขึ้นมา

ซูเจ๋อหน้าซูบผอมซีดเซียว ความเหนื่อยล้าจากหลายๆวันติดต่อกันทำให้สีหน้าเขายิ่งดูโดดเดี่ยวอ้างว้าง

เฉินเสียนเริ่มยืนไม่มั่นคง ต้องจับผนังพยุงตัวเองเดินไปยังห้องนอนทีละก้าว ในที่สุดก็ถึงห้องจนได้ เธอผลักประตูก็เห็นแสงสว่างจากตะเกียงที่จุดไว้ตลอด

เท้าของเธอไม่ทันได้ก้าวเข้าไป ร่างกายก็ชิงก้าวไปยังวงกบประตูก่อนหนึ่ง

ถึงกระนั้นซูเจ๋อก็ไวก่อนเธอหนึ่งก้าว นาทีเธอจะล้มลงไป เขาก็รีบเข้ามาโอบเอวของเธอไว้ทันท่วงที

เขาก้าวเข้าประตูธรณี รีบอุ้มเฉินเสียนเข้าไป

เมื่อปลายเท้าเฉินเสียนหล่นสู้พื้นก็รีบผลักเขาออกจากตัว

อ้อนแขนซูเจ๋อว่างเปล่าทันที แต่ก็ไม่ได้ไปแตะเธออีก กล่าวว่า “ท่านพักผ่อนเถอะ ถึงรุ่งเช้าก็ลืมแล้ว”

เฉินเสียนหย่อนกายลงนั่งที่โต๊ะ เส้นผมตกลงมาปิดบังใบหน้าของเธอ ปิดบังอารมณ์ความรู้สึกของเธอ

เธอถาม “ถึงรุ่งเช้าก็ลืมแล้ว ท่านให้ข้าลืมอันใด?”

“ลืมทุกอย่างที่ท่านต้องการลืม”

ซูเจ๋อก้าวไปถึงหน้าประตูเตรียมจะออกไป เสียงอันเศร้าสร้อยของเฉินเสียนก็ส่งมาจากด้านหลัง “ซูเจ๋อ ข้าอุตส่าห์ถามแล้ว ไยท่านยังไม่อธิบาย?”

ซูเจ๋อหยุดก้าวเดินหน้าประตู

เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พูดอย่างหดหู่ว่า “ข้าเดาถูกหมดเลยใช่ไหม? เพียงท่านอธิบายสักคำ คำเดียวก็พอ ท่านบอกข้าว่าท่านไม่ได้ทำเรื่องพวกนี้ เพราะข้าไม่เชื่อความจริง ข้าเชื่อท่าน”

เฉินเสียนเงยหน้า มองแผ่นหลังซูเจ๋อด้วยความสับสนมึนงง พลางทอดถอนหายใจ “ซูเจ๋อ ท่านบอกข้าสิ”

ซูเจ๋อจับประตูแล้วปิดเบาๆ ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ท่านสังเกตเห็นตอนไหน วันที่เห็นหนูตายหรอกหรือ?”

เฉินเสียนเม้มปาก หัวเราะเสียงเย็น “ท่านไม่ได้เห็นกับตา วันนั้นศพหนูลอยเน่าเปื่อยอยู่บนผิวน้ำนับไม่ถ้วน ซึ่งประชาชนในเมืองใช้น้ำสกปรกนี้ดื่มล้าง แค่คิดก็คลื่นไส้แล้ว”

เธอทิ้งกายลงมานั่งที่พื้น เงยหน้าขึ้นมาพิงเสาโต๊ะนิดๆ พูดกับแผ่นหลังของซูเจ๋อว่า

“ยามที่งมเก็บซากศพหนูพวกนั้น เฮ่อโยวบอกว่าข้ากลัวหนูให้ข้าหลบไป ข้าก็รู้สึกฉงนใจ ไยข้าถึงไม่รู้ว่าตัวเองกลัวหนู

เฮ่อโยวบอกว่า ท่านเล่าให้เขาฟังในราตรีที่เขาเห็นท่านจับหนูในเมืองอวิ๋นคืนนี้ แต่ข้าไม่เคยตกใจเพราะหนูมาก่อนและไม่ได้กลัวถึงขั้นให้ท่านช่วยข้าจับหนู”

ซูเจ๋อกล่าวเสียงทุ้มต่ำ “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง แม้นว่าข้าคิดหน้าคิดหลังจนนึกว่าแผนการแยบยลแล้ว แต่ก็ยังลืมเฮ่อโยวอยู่ดี หากรู้ตอนนั้น งั้นเขาก็อาจเป็นตัวยุ่งยาก”

เขารู้ว่าเฉินเสียนเป็นผู้ฉลาดปราดเปรื่อง ขอเพียงเฮ่อโยวพูดผิดสักคำเดียวก็จะทำให้เธอคลางแคลงใจ

“ท่านเคยคิดจะฆ่าเขาไหม?”

ซูเจ๋อตอบ “ไม่เคยคิด หาไม่ ท่านคงเกลียดชังข้ากว่ายามนี้”

“ท่านมองข้าแล้วตอบได้หรือไม่ หนูในเมืองอวิ๋นกับหนูที่ตายนอกเมืองจิงเกี่ยวพันกับท่านหรือไม่?”

ซูเจ๋อหันมามองเธอ เห็นแววตาสว่างเจิดจ้าของเธอจ้องมาที่เขา

เขาพูดว่า “ท่านรู้สึกเช่นไรล่ะ?”

เฉินเสียนรู้สึกเหนื่อยล้าอ่อนแรง “ท่านรู้หรือไม่เล่า ข้าอยากฟังท่านเอ่ยคำว่า ไม่ เพียงใด”

“ถึงกระนั้นก็คงหลอกท่านไม่ได้”

เฉินเสียนกุมขมับ “ใช่ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับท่าน ข้าอ่อนไหวเสมอ

ยากมาที่ข้าจะไม่นำสองเรื่องนี้มาเชื่อมโยงต่อกัน เพิ่งเข้าเมืองจิง ท่านก็เลือกเรือนที่มีบ่อน้ำ

นั้นเป็นเพราะท่านรู้ว่าน้ำจากแม่น้ำเซี่ยดื่มไม่ได้แต่แรกแล้ว ท่านรู้แต่แรก แต่กลับแสร้งทำเหมือนไม่รู้ ไปหาสมุนไพรกับข้า ให้ข้าเสาะหาสาเหตุพบเองว่าต้นน้ำมีปัญหา

การล้มป่วยตายของกองเกียรติยศทุกคน เป็นความบังเอิญจริงๆหรือ?”

ยิ่งไปกว่านั้น ท่านมั่นอกมั่นใจแต่แรกแล้วว่า ถึงข้าจะรู้ว่าเมืองจิงเกิดโรคระบาด ข้าก็จะไป

ท่านวางแผนทุกเรื่องอย่างละเอียดรอบคอบ ทุกคนตกอยู่ในแผนการของท่าน รวมทั้งข้าด้วย”

เธอหัวเราะอย่างเย้ยหยันด้วยดวงตาแดงก่ำ แววตาเรือนแสงของหยาดน้ำตาอย่างเด่นชัด “ซูเจ๋อ ท่านทำให้ข้าปั่นป่วนไปหมดแล้ว”

ข้าคือหงส์พันปี

ข้าคือหงส์พันปี

องค์หญิงเฉินเสียนผู้โง่เขลา ถูกไล่ออกจากจวน ถูกทำให้เสียโฉม และยังมีทารกอยู่ในท้องของเธอ! ในวันที่สามีของเธอแต่งงานกับอนุภรรยา เธอมาแสดงความยินดี จัดการกับอนุคนใหม่อย่างรุนแรง และทำให้แขกในงานต่างตกใจ อนุคนใหม่ที่คิดว่าเธอเป็นเช่นไก่ที่อ่อนแอ? แต่ไม่คิดว่าจะสามารถต่อกรกับเธอได้?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset