ไม่มีใครอยากปล่อย ประหนึ่งตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะรักใคร่อย่างสุดซึ้งแบบแยกจากกันไม่ได้
เฉินเสียนร้องคราง นิ้วมือเสมือนคบเพลิงกำลังลูบไล้ตามแนวกระดูกสันหลังของซูเจ๋อ หากสัมผัสถึงที่ใด ที่นั่นมีอันต้องร้อนรุ่มทันที
ยามนี้เธอคล้ายจะได้ยินเสียงหอบเบาๆของซูเจ๋ออยู่ในลำคอที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่
เขาเปรียบเสมือนสุนัขหมาป่า กลีบปากที่ไล่จูบตามหูแล้วลงมาบริเวณซอกคออันขาวนวล ก่อนจะทิ้งรอยจูบไว้มากมาย
ทว่าสุดท้าย ซูเจ๋อไม่ได้รุกล้ำเข้าในเขตอุโมงค์ เขาต้องใช้ความพยายามขนาดไหนที่จะต้องบังคับให้ตัวเองหยุด
“ซูเจ๋อ……”
ซูเจ๋อก้มหน้าอยู่ในซอกคอเธอด้วยเสียงหายใจหอบเร็ว พยายามให้สงบลง แล้วกล่าวเสียงแหบว่า “ทำไม่ได้”
เฉินเสียนถูไถกับใบหูของเขา เอ่ยด้วยความมึนงง “ทำไมถึงทำไม่ได้? ท่านไม่กล้า?”
ซูเจ๋อกัดหูเธอแล้วพูดว่า “หากข้าคำนวณไม่ผิดประจำเดือนท่านใกล้จะมาแล้ว หากเป็นเช่นนี้จะท้องได้ง่าย”
เฉินเสียนฟังเสียงหัวใจตัวเองเต้น คล้ายกับมีกวางน้อยกระโดดโลดเต้นไปมาจนเกือบกระดอนออกมาจากอก
ซูเจ๋อกล่าวว่า “พวกเรามีเจ้าน่องน้อยคนเดียวก็พอแล้ว”
ที่แท้ซูเจ๋อสังเกตเธอถึงขั้นนี้ รู้กระทั่งประจำเดือนว่าจะมาเมื่อไหร่
ร่างกายเธอถือว่าแข็งร่าง ดังนั้นประจำเดือนจึงมาอย่างสม่ำเสมอ
เฉินเสียนมองซูเจ๋อตาละห้อย เอ่ยว่า “งั้นซูเจ๋อ ท่านจูบข้าเยอะๆได้หรือไม่?”
ซูเจ๋ออยากจูบเธอถึงฟ้าสว่าง
เพียงแต่เฉินเสียนต้านทานความเหนื่อยล้าไม่ไหว บวกกับดื่มสุราไปด้วย จึงไม่รู้ว่าหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่
พอซูเจ๋อปล่อยริมฝีปากเธอออกก็พบว่าเธอหลับลึกเสียแล้ว
ซูเจ๋อวางคางบนหน้าผากเธอ เอ่ยเสียงบางเบาว่า “เหนื่อยจนไม่รู้ว่าตัวเองเป็นไข้ อาเสียน พักผ่อนเยอะๆ หวังว่าพรุ่งนี้ท่านจะลืมเรื่องไม่ดี จำได้แต่เรื่องดีๆ”
วันรุ่งขึ้นเฉินเสียนตื่นจากการปลุกของเสียงไก่เสียงสุนัข
เมื่อคืนซูเจ๋อช่วยเธอลดไข้แล้ว เพียงแต่ดื่มหนักไปหน่อยทำให้เธอรู้สึกหัวหนักเท้าเบา
เฉินเสียนนั่งจับหน้าผากอยู่บนเตียง รู้สึกสมองหนักอึ้งและคอแห้งมาก
ข้างเตียงมีซุปสร่างเมาวางไว้หนึ่งถ้วย
เฉินเสียนเห็นแล้วก็ชะงัก ขมวดคิ้วพยายามหวนคิดอะไรบางอย่าง สุดท้ายก็ยกซุปสร่างเมามาดื่มจนหมดเกลี้ยง
เธอใช้น้ำจากนาที่ผ่านการกรองเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็ไปยังจุดต้มยาของหมู่บ้าน
เดิมทีคิดว่าชาวบ้านจะรอเธอมาต้มยา
ผลปรากฏว่าชาวบ้านต่างแบ่งภาระหน้าที่อย่างเป็นระบบแบบแผนเองแล้ว
หน้าเตาย่อมมีคนดูแลส่วนผสมของยาแล้วนำมาต้มเป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วยเช่นกัน
เฉินเสียนเห็นแผ่นหลังซูเจ๋อก็รู้สึกตะลึงเล็กน้อย หยุดย่างเท้าอยู่กับที่
หากไม่ใช่เห็นเขาอย่างชัดเจน เฉินเสียนยังคงคิดว่าการปรากฏตัวของเขาในยามพลบค่ำของเมื่อวานเป็นเพียงภาพหลอนเท่านั้น
เขาเข้ากับคนได้ง่าย ชาวบ้านไม่สบายก็จะมาหาเขา แล้วเขาก็จะทำการตรวจรักษาอย่างละเอียดลออ
เฉินเสียนเหมือนจะจำได้เลือนรางว่า ตอนเขาเข้ามาในหมู่บ้านยามพลบค่ำของเมื่อวาน เขายังทำตัวห่างเหินกับคนแปลกหน้าอยู่เลย ไม่พูดอะไรที่ไม่จำเป็นเลยสักคำ แต่ยามนี้กลับเข้ากับชาวบ้านได้ดี
ชาวบ้านต่างเรียกเขาติดปากว่า “ท่านหมอซู” ขานเรียกอย่างอบอุ่นและขยันขันแข็ง
บุคคลประเภทนี้ สามารถเป็นจอมมาร ทว่าก็กลายเป็นพระโพธิสัตว์ได้ในพริบตา
ยังมีแม่บ้านสองสามคนช่วยซูเจ๋อต้มยาด้วย หาไม่แล้ว ซูเจ๋อคนเดียวมีอันต้องยุ่งไม่หวาดไม่ไหวเป็นแน่
แม่บ้านคงรู้สึกว่าเขาหน้าตาดีมากและไม่ถือตัว จึงเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยได้อย่างรวดเร็ว
แม่บ้านยังถามเขาว่า “ท่านหมอซู องค์หญิงจิ้งเสียนล่ะเจ้าคะ ทำไมไม่เห็นนาง?”
ซูเจ๋อตอบ “เมื่อวานเหนื่อยเกินไป นางยังพักผ่อนอยู่”
“ออ ยามนี้มีท่านหมอซูอยู่ องค์หญิงจิ้งเสียนควรพักผ่อนมากๆ”
แม่บ้านอีกคนถามอย่างสอดรู้ “ท่านหมอซู ท่านกับองค์หญิงจิ้งเสียนเป็นอะไรกันเจ้าคะ?”
แม่บ้านอีกสองคนก็อยากรู้มากเช่นกัน แต่ก็หัวเราะด่าคนถามหนึ่งประโยคอย่างไม่จริงจัง “ไยเจ้าปากมากเสียจริง”
ซูเจ๋อใคร่ครวญดูแล้วก็ตอบว่า “ข้าคลั่งไคล้ในตัวนาง”
คำตอบของซูเจ๋อเพียงพอกับความอยากรู้อยากเห็นของกลุ่มแม่บ้านแล้ว
มีแม่บ้านถามอีกว่า “แล้วเหตุใดเมื่อวานถึงเห็นท่านหมอซูกับองค์หญิงไม่พูดคุยกันเลย ทะเลาะกันหรือไม่เจ้าคะ?”
“อืม ช่วงนี้นางกำลังโกรธข้าอยู่” ซูเจ๋อกล่าวอย่างอบอุ่นราวสายลม
“ท่านหมอซูดีเยี่ยงนี้ องค์หญิงจิ้งเสียนจะโกรธลงหรือเจ้าคะ ท่านหมอซูต้องปลอบใจองค์หญิงเยอะๆนะเจ้าคะ ทำเรื่องที่องค์หญิงชอบ องค์หญิงก็จะหายโกรธในไม่ช้าเจ้าคะ”
จากนั้นก็มีเสียงเซ็งแซ่ที่แม่เรือนเล่าประสบการณ์ปลอบผู้หญิงให้แก่ซูเจ๋อฟัง
ซูเจ๋อคล้ายกับตั้งใจไม่ตั้งใจ พยักหน้าตอบว่า “ข้ารับรู้แล้ว”
สุดท้ายมีแม่เรือนผู้หนึ่งเงยหน้าเห็นเฉินเสียนโดยบังเอิญ รีบดึงพรรคพวกตัวเองพร้อมกับกล่าวว่า “ไม่ต้องพูดแล้ว องค์หญิงจิ้งเสียนมาแล้ว”
ฟืนในเตามีความชื่นด้วยสภาพอากาศ ทำให้ก่อไฟยาก จึงมีควันหนาลอยออกมาจากเตาจนทำให้มีคนสำลักควัน
ซูเจ๋อหันหน้าไปมองผ่านกลุ่มหมอกควันด้วยแววตาไร้ความรู้สึกของเขา แล้วจดจ่ออยู่ที่ตัวเฉินเสียนคนเดียว
เฉินเสียนอดนึกถึงซุปสร่างเมาที่เห็นวางไว้ข้างเตียงตอนตื่นนอน คิดว่าน่าจะเป็นเขาที่เตรียมไว้ให้
เขามักจะเป็นคนดูแลเอาใจใส่อย่างทั่วถึงอย่างไร้ที่ติ
เพิ่งเดินเข้ามาไม่ทันเอ่ยอะไรสักคำ เหล่าแม่ศรีเรือนก็พากันส่งสายตาให้กันและกัน แล้วหาข้ออ้างเดินออกไป
เหลือเพียงซูเจ๋อกับเฉินเสียนสองคน
เฉินเสียนนั่งข้างเตา แล้วเอาฟืนใส่เข้าไปในเตา
สักพัก มืออันอบอุ่นที่เจือกลิ่นหอมของยายื่นเข้ามาจับที่หน้าผากเฉินเสียน
ได้ยินซูเจ๋อกล่าวว่า “ยังดีที่เป็นไข้จากความเหนื่อยล้า ตอนนี้ไข้ลดแล้ว”
เฉินเสียนรู้สึกประหลาดใจ เธอเป็นไข้ตั้งแต่เมื่อใด ทำไมตัวเองไม่รู้เรื่องเลย
“เรื่องเมื่อคืน……”ซูเจ๋อกล่าวแล้วหยุด จากนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ “ช่างเถอะ อย่างไรเสียท่านก็จำไม่ได้”
“เมื่อคืนทำไมหรือ?” เฉินเสียนถามด้วยความแข็งทื่อ
เสียงแผ่วเบาของซูเจ๋อลอดเข้ารูหูเธอ “เมื่อคืนท่านดื่มมากไปหน่อย ทำเรื่องเกินเลยกับข้า”
“เป็นไปไม่ได้” เฉินเสียนยืนยันหัวชนฝา “ข้าไม่มีทางทำอะไรที่เกินกับท่านในเวลานี้เด็ดขาด”
เธอที่คิดเองว่าเธอกับซูเจ๋อมีเรื่องขัดแย้งที่ยังไม่ได้สะสาง ไม่ใกล้ชิดกับเขาเหมือนเมื่อก่อน
“แต่เมื่อคืนท่านดื่มสุราแล้วไม่ค่อยได้สติ ซึ่งตัวเองไม่อาจควบคุมการกระทำมากมายได้” ซูเจ๋อกล่าวเสียงเบา “ประมาณว่าทำตามใจตัวเอง หากภายหน้าท่านไม่อยากให้ใครรู้ความในใจของท่าน ทางที่ดีท่านก็ไม่ต้องดื่มสุราให้มากนัก”
เฉินเสียนหัวเราะเยาะอย่างคัดค้าน “ข้ามีความในใจอะไรได้”
ซูเจ๋อมองเธอแวบหนึ่ง “อันนี้มีเพียงท่านเท่านั้นที่รู้”
จากนั้นเฉินเสียนก็นั่งเหม่อลอยอยู่บนตั่ง พยายามย้อนคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนวาน
ภาพที่เหลืออยู่ในสมองเคลื่อนไหว เธอยังไม่ทันจับภาพพวกนั้นได้ ชั่วพริบตานั้นก็มลายหายไปแล้ว
เธอคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก เธอไม่รู้กระทั่งเรื่องที่ตนเมา รวมไปถึงจำรสชาติของสุราหมักที่แม่เจ้าเรือนมอบให้ไม่ได้ด้วย
เฉินเสียนกุมขมับมีความกลัดกลุ้มไม่น้อย
ทันใดนั้นไม่รู้เป็นเพราะบังเกิดแสงอัศจรรย์ขึ้นหรืออย่างไร เธอคล้ายจะได้ยินเสียงซูเจ๋อในข้างหูเธอ แล้วยังมีอุณหภูมิที่ส่งมาจากร่างกายเขาอีก นิ้วมือเหมือนจะหลงเหลือความรู้สึกที่ได้สัมผัสผิวกายของเขา โดยสัมผัสจากหน้าอกแกร่งอันร้อนรุ่มไปถึงรอยแผลเป็นที่แผ่นหลังของเขา
เฉินเสียนรู้สึกเสียวขึ้นมาในบัดดล