เมื่อพูดอย่างนี้แล้ว ซูเจ๋อจึงลุกขึ้นหลีกทางให้
เฉินเสียนคาดเดาได้ว่าเขาจะพูดเรื่องอะไร เลยพูดก่อนว่า “ถ้าเป็นเมื่อก่อน ท่านคงต้องคิดว่าข้าใจวางแผนจงไว้นานแล้ว ทำภาพลักษณ์ของหลิ่วเหมยอู่ในใจของท่าน แต่ว่าข้าก็ไม่ได้อะไร ข้าเคยพูดไว้ว่าสักวันข้าจะฉีกหน้าที่แท้จริงของนางออกมา”
เธอเลิกคิ้ว มองไปที่ฉินหรูเหลียง“แน่นอน ว่าท่านสามารถเลือกที่จะเชื่อสองพี่น้องนั่น ไม่จำเป็นต้องมาเชื่อข้า”
“เพราะว่าท่านทำแค่เรื่องที่ท่านควรทำ ไม่ได้สนใจว่าข้าจะเชื่อหรือไม่เชื่อตั้งนานแล้วใช่หรือไม่?”สายตาของฉินหรูเหลียงดูเศร้าโศก แล้วถอนใจหายออกมา
“ข้าจำได้ว่าเมื่อก่อน ตอนที่ท่านต้องการให้ข้าเชื่อใจท่านมากที่สุดนั้น ข้ากลับไปเชื่อหลิ่วเหมยอู่ ไม่มีสักครั้งที่จะเคยเชื่อใจท่าน”
เฉินเสียนยิ้มออกมาเบาๆ แล้วพูดว่า “ถึงอย่างไรมันก็เป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว แต่ข้าก็ยังคงเลือกที่จะทำเช่นนี้ ไม่ใช่เพื่อการแก้แค้น แต่อยากให้ท่านได้เห็นอย่างชัดเจน หลิ่วเหมยอู่ไม่ใช่คนที่มีคุณค่ามากพอ”
แต่ความผิดพลาดที่เขาเคยทำพลาดไปนั้น ไม่มีทางที่จะสามารถกลับมาชดเชยได้
เฉินเสียนไม่สามารถหันหลังกลับไป แล้วก็ไม่สามารถให้โอกาสเขาได้อีกครั้ง
เมื่อก่อนฉินหรูเหลียงมักคิดว่า เฉินเสียนไม่ต้องการให้เขาปกป้องนาง
ทันใดนั้นเขาก็เริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง จริงๆแล้วไม่ใช่ปัญหาที่ใครจะปกป้องใคร แต่ว่าตั้งแต่ตอนเริ่มแรก ระหว่างพวกเขาสองคนไม่มีความเชื่อใจกันเลยแม้แต่น้อย
เขาไม่เคยเชื่อใจนางมาก่อน
เขานำความเชื่อใจที่เขามีทั้งหมดมอบให้กับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง แต่ว่าผู้หญิงคนนั้นหลอกลวงเขามาโดยตลอดจนถึงวันนี้
ฉินหรูเหลียงรู้สึกว่ามันน่าตลก แล้วยังรู้สึกเศร้ารันทดอีกด้วย
ตาเขาเริ่มแดง เบ้าตาเริ่มชุ่มฉ่ำมองไปที่เธอ พูดด้วยน้ำเสียงต่ำอย่างจริงจังว่า “เฉินเสียน ข้าทำผิดต่อท่าน ท่านไม่เลือกข้า ไม่ชอบข้า นั้นก็ถูกต้องแล้ว เพราะข้ามันเป็นเพียงคนสารเลว”
เฉินเสียนรู้สึกมึนงง นึกย้อนถึงอดีตที่ผ่านมา ใครจะไม่รู้สึกปลงอนิจจัง
เบ้าตาของเธอก็เริ่มร้อน เธอจึงเคลื่อนสายตาออกไปมองพระอาทิตย์ในลาน แล้วพูดว่า “คำขอโทษท่านนั้นยังไม่สาย ข้าจะรับไว้”
“จากนี้ไป ถ้าข้าได้รับโอกาสในการได้ชดเชยบ้าง ข้าจะทำให้สุดกำลัง”
วันที่สอง ทหารติดตามทำความสะอาดที่พักทั้งหมด ทุกคนต่างพร้อมกันเคลื่อนทัพออกจากเมืองจิง
เดิมทีตั้งใจจะเดินทางออกจากที่นี้อย่างเงียบๆ แต่ไม่รู้ว่าข่าวการเดินทางนั้นประชาชนในเมืองรู้กันได้อย่างไร
หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำได้พาประชาชนทั้งเมืองมาส่งอย่างรู้สึกอาลัยอาวรณ์
บ้านเรือนประชาชนนั้นขัดสนเรื่องอาหารการกิน แต่ยังนำอาหารที่ดีที่สุดในครอบครัวมาทำเป็นอาหารแห้งเพื่อมาส่งให้พวกเขา หวังว่าพวกเขาสามารถนำติดไปกินระหว่างทางได้
เฉินเสียนจะแข็งใจหยิบเสบียงอาหารของพวกเขามาได้อย่างไร พวกเขาคงยังต้องใช้ชีวิตในช่วงวันที่หนาวที่สุดในฤดูหนาวต่อไปอีก
สุดท้ายเฉินเสียนก็ไม่ได้เอาอะไรติดตัวไป อาหารแห้งเหล่านั้นก็ไม่ได้รับเอาไว้ เมื่อรถม้าเคลื่อนออกจากประตูเมือง เธอทำได้เพียงหันหลังกลับไปโบกมืออำลาประชาชน
เมื่อเขาหันศีรษะกลับไปแล้ว แต่เห็นประชาชนทั้งเมืองคุกเข่าโค้งคำนับกับพื้นด้วยความจริงใจมาทางเธอ เพื่อขอบคุณองค์หญิง
ทุกคนที่กำลังออกเดินทางมองเห็นภาพนี้ ต่างก็เงียบไม่มีคำพูดอะไร
พลังของประชาชนสามารถขับเคลื่อนเสริมสร้างความกล้าของผู้คนได้อย่างมากมาย
ฉินหรูเหลียงอยู่ในสนามรบเคยแต่พบเห็นเหล่าขุนนางทหารต่างมีแต่ความโกรธความเกลียดชังต่อศัตรู แต่กลับไม่เคยเห็นการร่วมใจเป็นหนึ่งของประชาชนคนธรรมดาเช่นนี้
ประชาชนมีชีวิตจัดอยู่ในชนชั้นล่างสุดมาโดยตลอด
แต่แท้จริงแล้วประชาชนคนธรรมดาเหล่านี้ ที่สนับสนุนกองกำลังทหาร และประคับประคองประเทศชาติ
เมื่อก่อนที่เฮ่อโยวอยู่ในเมืองหลวง ก็ไม่เคยรู้สึกสะเทือนใจเท่านี้มาก่อน
เพราะว่าในเมืองหลวงนั้นเจริญรุ่งเรือง ประชาชนเหมือนจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุข แต่ความจริงแล้วมันก็แตกแยกวุ่นวาย เขาไม่เคยมีโอกาสเห็นความสามัคคีของประชาชนมาก่อน
เมื่อเห็นประชาชนโบกมือมายังเฉินเสียน เมื่อเทียบกับครั้งที่แล้วที่ด้านหน้าที่ทำการปกครองเมืองนั้นที่นี่มีคนคุกเข่าขอบคุณมากกว่า เฮ่อโยวรู้สึกว่า สามารถที่จะสร้างความสุขให้แก่ประชาชนด้วยตัวเอง นั่นถือว่าเป็นความรู้สึกสำเร็จ
เฉินเสียนเก็บซ่อนน้ำตาไว้ แล้วหมุนหัวกลับเข้ามาในรถม้า พูดว่า “เดินทางเถอะ”
ซูเจ๋อเป็นขุนนางคนหนึ่ง ที่มีความสามารถที่จะปกครองจิตใจประชาชนได้ เธอรู้ ว่าซูเจ๋อคือคนที่ทำให้เธอสามารถชนะใจของประชาชนได้
ในใจของเฉินเสียนสับสนวุ่นวายมาก
ถ้าอยากจะรับสิ่งเหล่านี้ จำเป็นต้องมีการเสียสละและของแลกเปลี่ยน
ซูเจ๋อใช้วิธีที่ได้ผลดีที่เร็วที่สุด แต่ไม่ใช่สิ่งที่เธอสามารถทำได้ด้วยความพยายามของเธอ
เฉินเสียนก็รู้ว่า เพื่อไม่ให้เกิดการฆ่ากันระหว่างสองฝ่ายขณะที่ยกทัพขึ้นไปทางเหนือ ไม่ให้ต้าฉู่เกิดความเศร้าโศก ที่จริงมันเป็นการใช้ดุลพินิจและการคัดเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
จังหวะและโอกาสไม่ได้ให้เวลาเธอค่อยๆได้เติบโต แล้วก็ไม่ได้รอเธอเดินทีละก้าว ค่อยๆรวบรวมทีละนิดเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ
ระหว่างการเดินทาง เธอกับซูเจ๋อพูดกันน้อยมาก
แต่เฉินเสียนเคยพยายามยืนมองเรื่องต่างๆตามแบบมุมมองของซูเจ๋อ เธอพยายามที่จะเห็นใจเขา เข้าใจเขา
เฮ่อโยวกับฉินหรูเหลียงก็ไม่ได้ถามอะไรมาก แต่รับรู้ว่ามีเรื่องบางอย่างผิดปกติ ถ้ายิ่งถามมากก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่
เพียงแต่ ในการพักระหว่างการเดินทางนั้น บรรยากาศมันชั่งอึดอัดมาก เฮ่อโยวเดินไปหาหลิ่วเฉียนเฮ้อเพื่อระบายอารมณ์ แล้วจึงมานั่งลงข้างๆเฉินเสียน
ทหารติดตามได้นำหม้อที่ติดตัวออกมา ตั้งหม้อไว้อยู่บนกองไฟ ข้างในหม้อกำลังต้มผักป่าที่เก็บได้จากบริเวณนั้น
ผักป่านั้นกินได้ง่ายกว่าอาหารแห้ง
เฮ่อโยวชำเลืองมองเธอแล้วพูดว่า “ท่านกับบัณฑิตมีปัญหาอะไรกัน?”
เฉินเสียนมองเขาด้วยหางตา แล้วพูดว่า “แต่ก่อนเจ้าไม่ชอบให้ข้าดีกับเขาไม่ใช่หรอ ตอนนี้ข้ากับเขาไม่ดีกันจริงๆ เจ้าควรที่จะดีใจสิ”
เฮ่อโยวพูดโต้แย้งขึ้นว่า “ข้าเป็นคนที่มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นอย่างนั้นรึ ข้าเห็นท่านไม่มีความสุข ข้าควรจะเป็นห่วงท่าน!”
เฉินเสียนพูด “ข้าขอบใจเจ้ามากจริงๆนะ”
“เอ้ย เฉินเสียน ท่านอย่ามาทำพูดดีได้ไหม!มันรู้สึกแปลกประหลาด มันทำให้ง่ายต่อการสูญเสียเพื่อน!”
ในที่สุดเฉินเสียนก็หัวเราะขึ้นมา
เมื่อเห็นเธอหัวเราะ เฮ่อโยวจึงหัวเราะตามแล้วพูดว่า “ท่านหัวเราะแล้วก็ดี ท่านหัวเราะแล้วหน้าตาดูดีกว่าทำหน้าขึมเยอะเลย”
เฉินเสียนหยิบเอาช้อนไปคนน้ำซุปผักป่าในหม้อ ฟังเฮ่อโยวพูดต่ออีกว่า “เฉินเสียน จากเมืองหลวงถึงที่นี่ พวกเราเจอคนตายไม่น้อยเลย”
เฉินเสียนเงียบไม่พูดไม่จา
ระหว่างการเดินพวกเขาพบเห็นคนตายมากมาย
เขาพูด “ไม่ว่าจะเป็นสงครามหรือว่าความอดยาก มักจะมีคนตายจากไป หากต้องการให้บนโลกมีแต่ความสงบประชาชนมีความสุข มีเพียงแต่ต้องทำให้ประชาชนต้าฉู่ร่ำรวย ดังนั้นอาณาจักอื่นๆก็ไม่กล้ามาทำสงครามแบบตามใจได้ ต้าฉู่ก็สามารถรอดพ้นได้จากทุกความอดอยาก ทำให้ประชาชนไม่มีอะไรที่ต้องกังวล”
เฉินเสียนพูด “คำพูดเหล่านั้นใครเป็นคนสอนเจ้ากัน?”
เฮ่อโยวพูด “นี่คือความเข้าใจระหว่างการเดินทางของข้า นึกถึงหลุมศพผู้คนมากมายนอกเมืองเสวียน นึกถึงการเผากระดูกในเมืองจิง เบื้องหลังทุกเหตุการณ์สำคัญนั้นมักมีผู้คอยชี้นำ”
น้ำซุปผักป่าในหม้อนั้นกำลังเดือดอย่างเสียงดัง
เฉินเสียนยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าเข้าใจเรื่องทุกอย่างแล้ว แต่ข้ากลับคิดไม่ตก”
“นั่นเป็นเพราะเกี่ยวข้องกับบัณฑิต” เฮ่อโยวพูด “ในเมื่อมันเกี่ยวข้องกับคนที่ตัวเองห่วงใย มันง่ายที่จะตกอยู่ในห้วงความคิดซ้ำๆออกมาไม่ได้ เรียกร้องเขาด้วยเงื่อนไขที่เข้มงวดมากกว่าคนอื่น
แต่ว่าที่จริงแล้ว ถ้าลองเปลี่ยนกลับเป็นคนอื่น ก็ไม่แน่ว่าจะทำได้ดีกว่าเขา
เฉินเสียน ท่านหวังให้เขาร้ายสักนิดถึงจะดี หรือว่าหวังให้เขามีจิตใจเมตตาถึงจะดี?”
เฉินเสียนพูด “ข้าไม่คิดว่าจะได้ยินคำปลอบโยนแบบนี้ออกมาจากปากเจ้า เฮ่อโยว เจ้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว”
เฮ่อโยวพูด “ข้าแค่รู้ว่า ถ้าเกิดคนเรามีจิตใจเมตตาดี ก็ไม่แน่ว่าจะใช้ชีวิตได้นาน เหมือนกับชิงซิ่ง ข้ายอมให้นางร้ายสักนิดดีกว่า ไม่อย่างนั้นคงไม่จากกันไปเร็วขนาดนี้”