เฉินเสียนหันข้างไปมองเขา สีหน้าของเขาเห็นได้ชัดว่ากำลังเศร้าโศก
“แต่ว่าถ้าบัณฑิตไม่ร้ายสักนิด ท่านหวังว่าเขาจะเป็นเหมือนชิงซิ่งไหม?”
ในใจของเฉินเสียนรู้สึกกังวล
“ถ้าเขาไม่ร้ายสักนิด ไม่ต้องพูดถึงระยะไกลแค่ระยะใกล้ พวกเราน่าจะไปไม่ถึงเมืองเสวียน ก็คงถูกฆ่าตายในหุบเขาที่ไม่รู้จักชื่อไปตั้งนานแล้ว ถ้าเขาไม่ร้ายสักนิด” เฮ่อโยวเงยหน้าขึ้นมามองเธอ “ท่านก็คงไม่มีผลงานสร้างชื่อเสียงอย่างตอนนี้หรอก”
เวลาผ่านไปนาน เฉินเสียนพูดออกมาเบาๆว่า “เจ้าอยากพูดดีๆแทนเขาตั้งแต่เมื่อไรกัน”
เฮ่อโยวพูด “จนถึงทุกวันนี้ข้าก็ยังคิดว่าท่านกับเขาไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ แต่ถ้ามีคนเหมือนกับเขา ทำเพื่อท่านด้วยความจริงใจ ไม่กลัวตายเพื่อปกป้องท่าน ข้าก็ไม่มีคำพูดอะไร”
เรื่องพวกนั้นเขาไม่ได้ถาม แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะไม่รู้เรื่องอะไร
เฮ่อโยวเดินจากไป จนกระทั่งฉินหรูเหลียงเดินเข้ามาเตือนสติ ผักป่าจะไหม้หมดแล้ว เฉินเสียนดึงสติกลับมา
เธอใช้กระบวนตักน้ำซุปขึ้นมาอย่างลุกลี้ลุกลน อยากจะให้ฉินหรูเหลียงช่วยเธอเอาอาหารไปให้ซูเจ๋อกิน
เธอไม่อยากให้ฉินหรูเหลียงยังมีอคติต่อซูเจ๋อ เขาพูดปฏิเสธอย่างชัดเจนว่า “ข้าไม่เอาอาหารไปให้เขากินอย่างแน่นอน ท่านให้คุณชายเฮ่อไปสิ”
เมื่อเฮ่อโยวได้ยิน ไม่ต้องรอให้เฉินเสียนพูด ก็รีบพูดขึ้นว่า “อย่ามาเรียกข้านะ ข้ายุ่งมากจนไม่มีเวลาเลย อยากจะเอาไปให้ก็เอาไปเอง”
ฉินหรูเหลียงเดินจากไปอย่างเย็นชา เดินไปหาเหล่าทหารติดตามที่แม่ทัพโฮ้วแบ่งไว้ให้แล้วนั่งลงกับพวกเขา
และเฮ่อโยวนั้นเรียกได้ว่ายุ่งมากจนไม่มีเวลา เขานั่งยองๆอยู่ด้านนอกกรงเหล็กและแกล้งหลิ่วเฉียนเฮ้อนั้น ให้หงุดหงิดเล่น
เฉินเสียนมองน้ำซุปผักป่าในหม้อ แล้วหันไปมองรถม้าที่มีซูเจ๋อนั่งอยู่ข้างใน
รถม้านั้นเงียบสงัดมาก เขาคงจะพักผ่อนอยู่ในรถม้า เขายังไม่ได้ออกมาเลย
แต่ว่าต้องได้กินอะไรหน่อย
เฉินเสียนเม้มปาก ลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปส่งอาหารด้วยตัวเอง
เฉินเสียนเดินมาถึงหน้ารถม้า ม้าถูกผูกอยู่กับโคนต้นไม้ กำลังกินหญ้าอยู่ มีเสียงเคี้ยวออกมาเล็กน้อย
เธอจึงยกมือขึ้นไปจับมุมผ้าม่านของรถม้าอย่างเบามือ แล้วมองดูเข้าไปข้างใน
ซูเจ๋อเอนตัวพิงกับพนังของรถม้า ดวงตาคู่นั้นปิดสนิท ขนตาสีดำอ่อนปิดเปลือกตาล่าง ราวกับขนของผีเสื้ออยู่ในหางตาเขาชั่วครู่หนึ่ง
เฉินเสียนมองไปที่เขา ลืมไปเลยว่าต้องปลุกเขาให้ตื่น
เธอรู้สึกราวกับว่าไม่ได้มองใบหน้าของซูเจ๋ออย่างละเอียดแบบนี้มานานมากแล้ว เมื่อมองดู กลับมีแต่ความเจ็บปวดที่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนอยู่คนละโลก
เธอมักจะสนใจและคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องที่ซูเจ๋อได้ทำลงไป แต่กลับละเลยไม่สนใจสุขภาพของเขา
ซูเจ๋อผอมลงกว่าแต่ก่อน มีความอ่อนล้าอยู่เล็กน้อยระหว่างคิ้วเรียวยาวที่ไม่มีร่องรอยของเขา แม้ว่าเขาจะหลับไปก็ไม่สามารถขจัดมันออกไปได้หมด
ใบหน้าเขาออกสีขาวซีดเล็กน้อย
คำอธิบายนี้ไม่มีข้อโต้แย้ง ทั้งอ่อนโยนและไม่เป็นอันตราย
เมื่อก่อนซูเจ๋อพูดว่า เขาเป็นคนใจแคบมาก สามารถที่บรรจุใส่ได้เพียงคนคนเดียวและเรื่องไม่กี่เรื่อง
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า เรื่องไม่กี่เรื่องที่ว่านั้นมันน่าจะครอบคลุมทั้งโลกไปแล้วก็ได้ เรื่องที่เขาบรรจุในใจแต่ละวันนั้นมีแต่การคำนวณ การวางแผน มันจะให้เขาหมดแรงกำลังใจบ้างไหม
เฉินเสียนคิด มันน่าจะมีบ้างล่ะ
ไม่อย่างนั้นเขาจะเหนื่อยได้ถึงขนาดนี้เหรอ เหนื่อยจนไม่ได้ป้องกันตัวเองจากผู้คนหรือสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัวเขา ดังนั้นเมื่อเธอมายืนอยู่ด้านหน้ารถม้าของเขาสักครู่แล้ว เขาก็ไม่ทันได้สังเกตเห็นอะไร
เฉินเสียนตั้งใจจะไม่ปลุกเขา อยากจะให้เขาได้นอนต่ออีกสักหน่อยแล้วค่อยมากินอาหารมันคงจะดีกว่า
เธอจึงถือน้ำซุปผัก หมุนตัวกำลังจะเดินกลับไป
เพียงแต่เวลานั้นก็มีลมจากด้านนอกพัดผ้าม่านเข้าไปในรถม้า ทำให้ซูเจ๋อตื่นขึ้นมา
ขณะที่เฉินเสียนกำลังหมุนตัวกลับ ซูเจ๋อก็ลืมตาขึ้น ด้วยท่าทางที่สะลึมสะลือแล้วพูดอย่างเสียงแหบว่า “อาเสียน?”
เฉินเสียนหยุดเดิน แล้วหันหลังกลับมา เห็นซูเจ๋อยกมือขาวนุ่มไปบีบที่จมูก ฟังเขาพูดอย่างใจเย็นว่า “เจ้าทำไมถึงไม่ปลุกข้า”
เฉินเสียนหลับตาลง มองต่ำลงแล้วพูดว่า “เห็นเจ้านอนหลับสบาย จึงไม่อยากจะรบกวน”
ซูเจ๋อพูด “ถ้าเจ้าเรียกข้า ข้าก็ตื่นได้ทุกเวลา”
เขารอเฉินเสียนอยู่ทุกเวลา
เพียงแต่เขาคิดว่า เฉินเสียนคงไม่อยากจะมาหาเขา แล้วก็ไม่อยากจะเห็นหน้าเขา
เฉินเสียนหยุดนิ่ง แล้วพูดขึ้นว่า “ เมื่อก่อนเจ้าตื่นตัวได้ง่าย ถ้าเกิดมีคนมา เจ้าต้องสังเกตการณ์ก่อนเป็นอันดับแรก”
ตอนนี้เธอยืนอยู่ตรงนี้ได้สักครู่แล้ว ก็ไม่เห็นซูเจ๋อตื่น สงสัยเขาจะเหนื่อยมาก แม้เธอจะไม่พูดออกมา แต่เธอจะไปปลุกเขาให้ตื่นมาได้อย่างไร
น้ำเสียงที่ซูเจ๋อพูดออกมานั้นแฝงไปด้วยความขี้เกียจว่า “ เมื่อก่อนตื่นตัวได้ง่าย ตอนนี้ด้านนอกมีทหารติดตามที่แม่ทัพโฮ้วแบ่งให้ไว้และฉินหรูเหลียงก็อยู่ ข้าก็แค่แอบขี้เกียจและพักผ่อนอย่างผ่อนคลายสักหน่อย”
เฉินเสียนไม่ได้พูดอะไรมาก ยื่นน้ำซุปผักป่าที่อยู่ในมือให้เขา แล้วพูดว่า “ในป่าไม่มีอะไรกินมากมาย น้ำซุปนี้นั้นรสชาติดีกว่าอาหารแห้ง เจ้ากินแล้วก็พักต่อเถอะ”
ซูเจ๋อพูดขอบคุณ เฉินเสียนบอกว่าไม่เป็นไร เหมือนมีชั้นกระดาษหน้าต่างที่กั้นระหว่างสองคนไว้ อย่างกับคนไม่สนิท
จากนั้นซูเจ๋อมองไปที่เธอ แล้วกินไปทีละคำ
เมื่อเขากินเสร็จ เฉินเสียนก็รับถ้วยมา แล้วพูดออกมาประโยคหนึ่ง “เจ้าพักผ่อนให้เพียงพอ” แล้วก็เดินหันหลังกลับไป
ซูเจ๋อเอนตัวลง ดวงตาดำขลับดั่งน้ำหมึกมองออกไปผ่านช่องผ้าม่านของหน้าต่างรถม้า มองเห็นว่าเฉินเสียนเดินผ่านจากหน้าต่างรถม้าของเขาไป
เขาไม่ได้เรียกให้เฉินเสียนหยุด เฉินเสียนเองก็ไม่ได้หยุดหันมามองเขา
เมื่อทุกคนกินข้าวกันเสร็จแล้ว พักผ่อนสักครู่หนึ่ง แล้วจึงเดินทางกันต่อ
น้ำท่วมในสารทฤดูครั้งนี้ได้นำมาซึ่งผลกระทบและความเสียหาย แทนที่จะหยุดหลังจากที่ฝนตก แต่มันกลับขยายกว้างออกไป
สิ่งที่ได้เห็นและได้ยินในเมืองอวิ๋นและเมืองจิงนั้น มันเป็นเพียงมุมเล็กๆของต้าฉู่ทั้งหมด
คูเมืองต่างๆของต้าฉู่ ประสบทุกข์จากฝนที่ตกอย่างหนัก น้ำป่าไหลหลากน้ำท่วมอย่างฉับพลับ หนักกว่าเมืองจิงและเมืองอวิ๋นเป็นอย่างมาก
ระหว่างเดินทางไปทางเหนือ จะเห็นผู้ประสบภัยมากมายนับไม่ถ้วน เดินทางท่องไปในดินแดนที่เปล่าเปลี่ยวซบเซา อย่างโดดเดี่ยวและลำบาก
แต่ชื่อเสียงขององค์หญิงจิ้งเสียนนั้น ถูกพูดถึงอย่างแพร่หลายจากเมืองอวิ๋นจนถึงเมืองจิง และแพร่กระจายไปยังดินแดนอื่นๆ
แต่ความทุกข์ยากลำบากของประชาชนนั้นทุกคนรู้ มีองค์หญิงจิ้งเสียนจากราชสำนักที่ลงมาพื้นเมือง เพื่อมาช่วยเหลือผู้คนที่ยากลำบาก ช่วยรักษาผู้คนที่รับเจ็บช่วยชีวิตคนตาย อย่างไม่เกียจคร้าน
ประชาชนยกย่ององค์หญิงจิ้งเสียน โดยไม่ได้ปรารถนาสิ่งใด
เมื่อได้ยินว่าองค์หญิงจิ้งเสียนจะเดินทางไปทางเหนือ ผู้ประสบภัยได้ยากมากมายนับไม่ถ้วนต่างพากันมารวมตัวที่คูเมืองทางเหนือ
แม่น้ำเซียงที่ไหลผ่านเมืองอวิ๋นและเมืองจิงนั้นไม่ใช่แม่น้ำที่กว้างใหญ่ เมื่อตอนน้ำท่วมนั้นก็มีโอกาสขุดลอกซ่อมแซมได้ แต่ในแต่ละอาณาเขตของต้าฉู่นั้น ยังมีแม่น้ำสายใหญ่หลายสายที่ไหลผ่าน ที่เชื่อมกันระหว่างทางเหนือและทางใต้
เจียงหนานก็มีแม่น้ำเจียง ในช่วงที่น้ำท่วมปริมาณน้ำในแม่น้ำก็เพิ่มสูงขึ้น ลำน้ำทั้งกว้างและลึก ไม่สามารถที่จะซ่อมแซมได้ มีเพียงต้องปิดประตูระบายน้ำ เพื่อควบคุมระดับน้ำให้ได้
แต่อย่างไรก็ตาม น้ำท่วมน้ำเหมือนดั่งสัตว์ที่ดุร้าย ทำให้เขื่อนที่ทอดยาวเป็นพันไมล์แตกระเบิดเหมือนกับเศษเต้าหู้อย่างนั้น ไม่สามารถทนต่อการทำลายได้
เมื่อน้ำท่วมได้ผ่านเขื่อนไป จึงได้ทำให้ประชาชนเกิดความเสียหายอย่างหนัก
บ้านเรือนและพืชผลของประชาชนนับไม่ถ้วนถูกทำลายเสียหาย ผู้คนต่างพลัดถิ่น แล้วก็ไม่รู้ว่ามีคนอีกเท่าไหรที่เสียชีวิตลง
เมื่อเฉินเสียนและพวกเขามาถึงเจียงหนาน แต่มาพร้อมกับผู้ประสบภัยเหล่านั้น ถูกประตูเมืองปิดไว้ ไม่ให้เข้าเมือง
เพราะว่าหน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำไม่สามารถปล่อยให้ผู้ประสบภัยเข้ามาในเมืองได้ เมื่อประตูเมืองถูกเปิดออก ผู้ประสบภัยเหล่านั้นต่างโกรธไม่พอใจ จำเป็นต้องรวมกลุ่มกันเพื่อเคลื่อนไหว