แม่บ้านจ้าวเข้ามาทำความสะอาดภายในห้องและยังตกใจไม่หาย “เมื่อครู่นี้อันตรายมากจริงๆ”
โชคดีที่เด็กยังปลอดภัย แต่ถ้าตอนนั้นนางไม่พูดไปแบบนั้นท่านแม่ทัพจะไม่ลงไม้ลงมือกับองค์หญิงอีกหรือ? ถ้าเกิดขึ้นละก็คงเป็นเรื่องยากมากที่จะบอกว่าเด็กจะยังรอดชีวิตอยู่ไหม
แม่บ้านจ้าวเอ่ยอย่างไม่ค่อยเห็นด้วยว่า “องค์หญิงโปรดให้อภัยหากบ่าวพูดมากเกินไป เมื่ออาศัยอยู่ใต้ชายคาอย่างไรก็ต้องยอมจำนน ขอเพียงองค์หญิงทรงยอมอ่อนข้อให้ท่านแม่ทัพสักเล็กน้อย บ่าวเชื่อว่าคงจะไม่มีเหตุการณ์ที่ยากจะจัดการเช่นวันนี้เกิดขึ้นอีก”
แต่นางเห็นเฉินเสียนตบหน้าฉินหรูเหลียงเต็มสองตา อีกทั้งยังเห็นเฉินเสียนดึงมีดออกมาจากใต้หมอนด้วย
ถึงอย่างไรสำหรับแม่บ้านจ้าวฉินหรูเหลียงก็เป็นนายของบ้านนี้ นางจึงหวังเป็นอย่างมากว่าทุกคนในครอบครัวจะมีความสุข
เฉินเสียนหลับตาลงอย่างเหน็ดเหนื่อยและพูดว่า “ถ้าข้ายอมอ่อนข้อ พวกเขาก็มีแต่จะได้ใจ หรือว่าแม่บ้านจ้าวอยากให้เกิดเรื่องแบบคราวที่แล้วขึ้นอีก”
แม่บ้านจ้าวพูดไม่ออก
เมื่อคิดดูดีๆ คราวที่แล้วเฉินเสียนไม่ได้ทำอะไรเลย แต่แล้วฉินหรูเหลียงกลับบุกเข้ามาในสวนสระวสันตฤดูแล้วทำร้ายนางอย่างไม่สนถูกสนผิดจนเกือบทำให้นางแท้ง
ทุกห้องหัวใจของฉินหรูเหลียงเอนเอียงไปที่หลิ่วเหมยอู่ แล้วแบบนี้เขาจะยอมฟังคำอธิบายของเฉินเสียนได้อย่างไร
หลังจากนั้นเฉินเสียนก็ขี้เกียจอธิบายให้มากความ การกระทำได้บอกทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว
ฉินหรูเหลียงไปเยือนสวนดอกพุดตานด้วยความโกรธ ขณะนั้นเซียงซั่นกำลังทายาขี้ผึ้งให้หลิ่วเหมยอู่อยู่ในห้อง
รอยฟกช้ำบนร่างกายที่บอบบางของหลิ่วเหมยอู่ยังไม่จางหายไป
เมื่อเห็นฉินหรูเหลียงมาที่นี่หลิ่วเหมยอู่ก็มีอาการเหนียมอายและบิดเสื้อผ้าอย่างเขินๆ ก่อนจะเอ่ยกับเขาด้วยสายตาที่หวานหยาดเยิ้มว่า “ทำไมท่านแม่ทัพถึงมาที่นี่หรือเจ้าคะ”
ฉินหรูเหลียงนึกย้อนไปแล้วก็ตระหนักได้ว่าช่วงหลังเขามักจะมาที่สวนดอกพุดตานพร้อมกับความโกรธเกรี้ยวเสมอ ทั้งหมดเป็นเพราะเฉินเสียน และเรื่องนี้ก็ไม่ยุติธรรมกับหลิ่วเหมยอู่เลยแม้แต่น้อย
แววตาของฉินหรูเหลียงหรี่แสงลงเมื่อเห็นรอยฟกช้ำบนร่างกายของหลิ่วเหมยอู่ แววแห่งความทุกข์ใจปรากฏวาบขึ้นมา และความโกรธภายในใจก็ดับวูบลง
เขาก้าวเข้ามาและพูดว่า “พอมีเวลาก็เลยมาดูน่ะ ตอนนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
ร่างกายของหลิ่วเหมยอู่มีเสื้อผ้าปกปิดไว้เพียงครึ่งหนึ่ง นางพูดอย่างอ่อนหวานว่า “ทายาตามกำหนดทุกวัน ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ”
ฉินหรูเหลียงหยิบยาขี้ผึ้งมาจากมือของเซียงซั่น นางถอยออกไปอย่างรู้หน้าที่ก่อนที่ฉินหรูเหลียงจะทายาให้หลิ่วเหมยอู่
ปลายนิ้วที่หยาบกร้านปาดยาขี้ผึ้งแล้วทาลงบนผิวที่บอบบางของหลิ่วเหมยอู่ ชั่วขณะนั้นบรรยากาศภายในห้องดูเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
ทว่าเหมือนมีอะไรดลใจให้ฉินหรูเหลียงนึกถึงคำพูดที่เฉินเสียนพูดกับหมอหลวงขึ้นมา ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าไม่ควรเชื่อผู้หญิงหน้าไหว้หลังหลอกคนนั้น แต่ยิ่งอยากสลัดออกไปจากความคิดมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งสลัดไม่ออก
เมื่อเห็นว่าทายาที่แขนและด้านหน้าหมดทุกจุดแล้ว ฉินหรูเหลียงจึงกล่าวว่า “เจ้านอนคว่ำสิ ข้าจะทายาที่หลังให้”
หลิ่วเหมยอู่ชะงักและเอ่ยอย่างนุ่มนวลว่า “ที่หลังไม่มีรอยแผลเจ้าค่ะ”
ฉินหรูเหลียงหยุดไปนิดหนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “เป็นข้าเองที่เลินเล่อไม่เคยสังเกตแผลของเจ้าอย่างละเอียด”
หลิ่วเหมยอู่ลุกขึ้นและขยับเข้าไปในอ้อมกอดของฉินหรูเหลียง “ท่านแม่ทัพยุ่งอยู่กับงานราชการ จะดูแลทั่วถึงได้อย่างไรเจ้าคะ เหมยอู่ไม่ได้นึกตำหนิท่านเลย”
หลังจากนั้นทั้งสองคนก็แสดงบทรักกันอย่างหวานชื่น
หลังจากที่เสื้อผ้าของหลิ่วเหมยอู่ถูกถอดจนหมด ฉินหรูเหลียงจึงสำรวจรอยแผลบนร่างกายได้เต็มที่ มือหนาของเขาลูบไล้ไปตามร่างกายของนางราวกับจะรีดน้ำออกมา รอยฟกช้ำนั้นทั้งเจ็บและคันทว่าช่วยจุดกระตุ้นความอ่อนไหวของหลิ่วเหมยอู่ได้ดีมาก
หลิ่วเหมยอู่ทนไม่ไหวและบิดเอวราวกับงูน้ำ
ฉินหรูเหลียงเติมเต็มความรู้สึกให้นาง ในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเป็นครั้งแรก
เห็นได้ชัดมากว่ารอยแผลบนร่างกายของหลิ่วเหมยอู่หลีกเลี่ยงจุดสำคัญๆ ไว้ รอยที่แขนนั้นมีมาก บริเวณหน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงอยู่สะอาดหมดจดไม่มีร่องรอยใดๆ นอกนั้นก็มีรอยแผลอีกเพียงเล็กน้อยบริเวณเอวและขา
ยิ่งบนแผ่นหลังยิ่งขาวสะอาด
ความจริงแล้วเฉินเสียนจงใจละเว้นที่จะทำร้ายร่างกายหลิ่วเหมยอู่ในตำแหน่งเหล่านี้ หรือว่าหลิ่วเหมยอู่เอื้อมมือไปหยิกเพื่อทิ้งร่องรอยที่หลังของตัวเองไม่ได้กันแน่
ฉินหรูเหลียงคิดอย่างมั่นใจว่ามันจะต้องเป็นอย่างแรก
เฉินเสียนโหดเหี้ยมอำมหิตขนาดนี้ นางต้องจำได้ว่าตัวเองเคยหยิกหลิ่วเหมยอู่ตรงไหนบ้างจึงพูดออกมาแบบนั้น ทั้งหมดนี้เพียงเพื่อจะทำให้เขาสับสนและทำให้เขาเข้าใจเหมยอู่ผิด
หลิ่วเหมยอู่เป็นคนอย่างไรทำไมฉินหรูเหลียงจะไม่รู้ นางเป็นคนที่ใจดี อ่อนโยน และอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก นางจำเป็นต้องมีใครสักคนปกป้อง แต่เฉินเสียนคือผู้หญิงที่ร้ายกาจที่สุด
ฉินหรูเหลียงรู้สึกถึงความรักและห่วงใย และเมื่อขาทั้งสองข้างของหลิ่วเหมยอู่พันรอบกายเขาไว้ เขาก็กดลงไปที่กายของนางและส่งนางขึ้นไปยังหมู่เมฆ
แน่นอนว่าฉินหรูเหลียงไม่รู้ว่าเมื่อผู้หญิงกับผู้หญิงหยิกตีกัน ไม่มีเหตุผลใดเลยที่พวกนางจะเมตตาอีกฝ่าย ทั้งสองต่างก็อยากทิ้งร่องรอยแห่งชัยชนะที่เห็นได้ชัดเจนไว้ทุกหนทุกแห่งบนร่างกาย รวมทั้งบนใบหน้าและหน้าอก การฉีกทำลายเสื้อผ้าหรือกระชากผมแล้วตบหน้ามันเป็นแค่เรื่องธรรมดา
แต่รอยแผลทั้งหมดของหลิ่วเหมยอู่บังเอิญหลีกเลี่ยงจุดสำคัญเหล่านี้
ฉินหรูเหลียงยังคงอยู่ที่สวนดอกพุดตานอีกพักหนึ่งก่อนจะลุกจากไป เมื่อออกมาแล้วเขาก็สั่งให้เซียงซั่นกลับเข้าไปปรนนิบัติรับใช้
ในเวลานั้นหลิ่วเหมยอู่เพิ่งจะมีช่วงเวลาที่ดีกับฉินหรูเหลียง ร่างกายที่เปลือยเปล่าเต็มไปด้วยรอยรักที่น่าอาย นางไม่ได้สั่งให้เซียงซั่นรีบไปเตรียมต้มน้ำให้อาบ แต่กลับสั่งให้เซียงซั่นยกขาทั้งสองข้างของนางแนบไว้กับผนังและอยู่ในท่ากลับหัวอย่างนั้นอยู่ครู่หนึ่ง
ใบหน้าเล็กๆ ของหลิ่วเหมยอู่แดงก่ำ นางทำได้เพียงกัดฟันทน
เซียงซั่นเข้าใจดีว่านางต้องการตั้งท้องลูกของฉินหรูเหลียงโดยเร็วที่สุด มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้ฉินหรูเหลียงรักและเอาใจใส่ดูแลนางมากขึ้น และเฉินเสียนจะไม่มีทางสั่นคลอนตำแหน่งของนางในจวนแม่ทัพได้
เซียงซั่นถือโอกาสตอนที่ฉินหรูเหลียงอยู่ที่สวนดอกพุดตานออกไปเพื่อสอบถามข่าวคราวในสวนสระวสันตฤดู ตอนนี้นางไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดอย่างไรดี
หลิ่วเหมยอู่สังเกตเห็นมาพักหนึ่งแล้ว เมื่อทิ้งตัวกลับลงมา นางจึงถามด้วยอาการหอบเล็กน้อยว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ”
นั่นเองเซียงซั่นจึงกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “ก่อนหน้านี้บ่าวไม่รู้สถานการณ์ภายในสวนสระวสันตฤดูเลย แม้แต่หมอก็ปิดปากเงียบ จนกระทั่งวันนี้เมื่อท่านแม่ทัพพาหมอหลวงไปที่สวนสระวสันตฤดู บ่าวจึงได้รู้สถานการณ์ภายในนั้น”
หลิ่วเหมยอู่เอ่ยเรียบๆ ว่า “หมอหลวงจากราชสำนักคงจะมาตรวจร่างกายของนาง ตอนที่หมอหลวงมาเมื่อเดือนที่แล้ว ได้ยินคนในจวนแม่ทัพพูดกันว่าใบสั่งยานั่นมีบางอย่างผิดปกติ องค์จักรพรรดิไม่มีทางปล่อยให้นางเก็บไอ้เด็กเวรนั่นไว้ คิดว่าเมื่อผ่านเหตุการณ์ที่พลิกผันนี้ไปก็คงจะบอกให้โลกรู้ได้แล้วว่าเมล็ดพันธุ์ชั่วๆ ของนางได้สูญสลายไปแล้ว”
เซียงซั่นเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “เดิมทีบ่าวก็คิดแบบนั้นเจ้าค่ะ นางสารเลวนั่นกินยาของหมอหลวงมาเป็นเวลานาน มันคงจะทำลายท้องอย่างหนักและนางจะต้องแท้งแน่ๆ แต่ไม่คิดว่า…”
“ไม่คิดว่าอะไร”
“ไม่คิดว่าเด็กในท้องของนางจะยังปลอดภัยดีเจ้าค่ะ”
หลิ่วเหมยอู่หน้าถอดสี ใบหน้าที่ยังคงมีเลือดฝาดอยู่บ้างบิดเบี้ยวในทันที “เป็นไปไม่ได้…”
วันรุ่งขึ้นหลิ่วเหมยอู่กับเซียงซั่นเดินไปที่สวนสระวสันตฤดูโดยนำอาหารว่างติดไปด้วย
เฉินเสียนสั่งให้อวี้เยี่ยนต้อนรับสองนายบ่าวที่ใต้ต้นไม้ในลานบ้านแล้วยกชาผลไม้มาให้
ฤดูใบไม้ผลิใกล้จะสิ้นสุด แดดยามกลางวันแผดแสงแรงกล้า บรรยากาศค่อนข้างร้อนอบอ้าว
ในเมื่อหลิ่วเหมยอู่ยินดีเป็นฝ่ายมาหาแบบนี้ เฉินเสียนก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ต้อนรับนาง
เธอเป่าฟองชาในถ้วยชา หรี่ตาลงแล้วเอ่ยว่า “เหมยอู่ เจ้าช่างกล้าหาญอะไรเช่นนี้ ท่านแม่ทัพฉินไม่ได้เตือนเจ้าหรือว่าไม่ควรมาที่สวนสระวสันตฤดูของข้าบ่อยนัก”