เมืองเจียงหนานไม่ใช่เมืองเล็ก ไม่เพียงแต่เมืองจะกว้างใหญ่และมั่งคั่ง แต่ยังมีเมืองเล็กๆ มากมายรอบๆ กำแพงเมืองซึ่งก่อตัวเป็นถนนการค้าที่เจริญของเมืองเจียงหนาน
ผู้พิทักษ์เมืองนี้เป็นหัวหน้าของเจียงหนาน จริง ๆ แล้วเขาไม่สามารถยั่วโมโหขุนนางระดับสูงจากเมืองหลวงได้ แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาใช้กลอุบายอย่างลับๆ
ผู้พิทักษ์เมืองกล้าด้วยฤทธิ์น้ำเมา จ้องมองเฉินเสียนด้วยสายตามุ่งร้าย และกล่าวว่า “จะให้ข้าเปิดประตูเมืองก็ได้ แม้แต่ข้าจะส่งผู้ลี้ภัยบางส่วนเข้าไปในเมืองตามที่องค์หญิงจิ้งเสียนปรารถนาก็ย่อมได้ ขึ้นอยู่กับว่าองค์หญิงจิ้งเสียนจริงใจหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนกล่าวอย่างเย็นชา “ใต้เท้าต้องการความจริงใจแบบไหนล่ะ?”
ผู้พิทักษ์เมืองกล่าวอย่างยิ้มๆ มึนเมา “องค์หญิงจิ้งเสียนจำเป็นจะต้องจริงใจจริงๆ รอคิดดีแล้ว ถ้ามีเวลาท่านสามารถมาคุยกับข้าเป็นการส่วนตัวพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนจะไม่เข้าใจได้อย่างไร เธอแค่ยกริมฝีปากยิ้มไม่กล่าวอะไร
ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ทางการ ตลาด หรือสถานบันเทิง กฎเกณฑ์ที่ไม่ได้ปรากกฏเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ตั้งแต่สมัยโบราณ
เฉินเสียนกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าต้องกลับไปคิดดูให้ดีแล้วล่ะ ข้าว่างานเลี้ยงก็กินดื่มกันไปเยอะแล้ว เวลาก็ดึกแล้ว ใต้เท้าตามสบายเถิด ข้าจะไปก่อนล่ะ”
ผู้พิทักษ์เมืองไม่ได้ขวางเธอ และกล่าวจากด้านหลัง “องค์หญิงกลับไปต้องคิดมันให้ดี ข้าจะรอทุกเมื่อพ่ะย่ะค่ะ”
ซูเจ๋อสะบัดเสื้อผ้าอย่างเฉยเมย ลุกขึ้นและเดินไปกับเฉินเสียน ในโอกาสนั้นเขาเป็นเหมือนเงาเงียบ ๆ ไม่มีอะไรจะพูด
ทั้งสองเดินออกจากห้องโถงอย่างเงียบๆ ข้างหลังเขาผู้พิทักษ์เมืองที่ให้หยุดร้องเล่นเต้นรำทำต่ออีกครั้ง โดยไม่ได้รับผลกระทบจากการจากไปของทั้งสองคนเลยแม้แต่น้อย
ขณะที่เธอยกเท้าขึ้นและก้าวออกจากกรอบประตู ม่านตาที่ชัดเจนของเฉินเสียนถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมนในตอนกลางคืน
กลับไปที่สวนเขตพระราชวัง มีไฟในห้องและไฟใต้ทางเดิน
เฉินเสียนยืนอยู่ที่เรือนครู่หนึ่ง แสงในห้องก็กระจายออกไปอย่างทั่วถึง ราวกับว่ามันถูกย้อมด้วยชั้นน้ำแข็งบางๆ ตกลงบนพื้นเพื่อให้เย็น
ซูเจ๋อกล่าวว่า “ข้างนอกมันหนาว กลับห้องเถอะ”
เฉินเสียนตอบว่า “ท่านควรรีบพักผ่อนเช่นกัน”
ซูเจ๋อมองเธอที่เข้าไปในห้อง แล้วหันหลังเดินไปอีกห้อง
เฉินเสียนนั่งหน้ากระจกและมีสาวใช้คนหนึ่งขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าปลดผมของเธอ
ก่อนที่มือของสาวใช้จะสัมผัสปิ่นหยดขาวบนผมของเธอ ดวงตาของเธอสั่นอย่างเหน็บหนาวและกล่าวว่า “ถอยไป”
สาวใช้ก้าวถอยหลังสองก้าวติดต่อกัน ก้มศีรษะและรวบรวมความกล้ากล่าวว่า “มีสิ่งใดที่บ่าวไม่สมควร? โปรดให้องค์หญิงชี้แจงด้วย เหตุใดองค์หญิง… ถึงไม่ให้พวกบ่าวปรนนิบัติ?”
เฉินเสียนกล่าวว่า “ข้าไม่ต้องการเปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำตอนนี้ ข้าจะเรียกเจ้าเมื่อต้องการ”
“เพคะ” สาวใช้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตอบตกลง และถอยกลับไปอย่างเงียบๆ
ทันทีที่นางเดินไปที่ประตู เสียงของเฉินเสียนก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ไปแจ้งผู้พิทักษ์เมือง ข้าจะไปที่นั่นอีกครั้งหลังจากที่เขางานเลี้ยงจบ”
“บ่าวทราบแล้วเพคะ”
สาวใช้ออกจากเรือนและรีบแจ้งข่าว
เฉินเสียนมองดูตัวเองในกระจก ริมฝีปากแดงก่ำ คิ้วที่เฉยเมย คืนนี้ไม่จำเป็นต้องล้างเครื่องสำอางออก
เธอเอาชาดมาทาให้ริมฝีปากแดงของเธอดูสดใสและสวยงามมากขึ้น
อาจเป็นเวลานานที่ตามติดซูเจ๋อ ตอนนี้เธอถึงไม่มีปัญหา ไม่รู้สึกอับอายและขวยเขินอีกต่อไป และไม่รู้สึกโกรธเพราะดวงตาและคำพูดที่สกปรกเหล่านั้นอีกต่อไป
อันที่จริงเธอค่อยๆ กลายเป็นคนแบบเดียวกันกับซูเจ๋อ เธอมีเป้าหมายที่จะบรรลุ ดังนั้นอย่างอื่นยังไม่เพียงพอที่จะกล่าวถึง
แม้ว่าเธอจะถูกขอให้คุกเข่าต่อหน้าผู้พิทักษ์เมืองอวบอ้วนนั่น เธอก็คุกเข่าอย่างสงบสุขุม
เมื่อพูดแล้ว จวนของซูเจ๋อนั้นลึกเกินไป แต่ใจของเธอก็ไม่บริสุทธิ์
เฉินเสียนรู้สึกว่าตัวเองในกระจกนั้นแปลกไม่คุ้นชิน ไม่รู้ว่าซูเจ๋อเป็นเหมือนเธอหรือเปล่า รู้สึกแปลก ๆ เมื่อมองตัวเองเข้าไปในกระจก
เฉินเสียนคิดว่าต้องเคยมี
พวกเขาหัวเราะไม่ได้เมื่อมีความสุข เมื่อโกรธอยากจะด่าก็ด่าไม่ได้ เมื่อเศร้าอยากจะร้องก็ร้องไม่ได้
ทุกอารมณ์ต้องอดทน
ต้องทนทุกข์จนทรมานก็ต้องทน
มีม้วนพระราชโองการอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง ซึ่งเธอหนีบมันไว้ตลอดทาง
เมื่อเธอได้รับพระราชโองการของจักรพรรดิ เธออยากจะฉีกมันออกหรือเผาทิ้งทันที
แต่เธอยังคงต้องเก็บมันไว้ราวกับว่ามันเป็นสมบัติ เธอไม่สามารถฉีกหรือเผามันได้
ต่อมาเมื่อกลางคืนค่อยๆ มืดลง สาวใช้กลับมาในความมืดและยืนอยู่ที่ประตูห้องและกล่าวกับเฉินเสียนว่า “ทูลองค์หญิงจิ้งเสียน งานเลี้ยงในจวนของใต้เท้าผู้พิทักษ์เมืองสิ้นสุดลงแล้ว ใต้เท้ากำลังรอองค์หญิงไป”
ดวงตาของเฉินเสียนสงบ กล่าวเบา ๆ “ข้ารู้แล้วล่ะ ไปที่ประตูเพื่อเตรียมเกี้ยวเถอะ”
แม่บ้านไปเตรียมเกี้ยว เฉินเสียนถึงจะลุกขึ้น เปิดประตูและเดินออกไป
ทันทีที่ประตูเปิด ประตูอีกบานในลานบ้านก็เปิดออก
เฉินเสียนมองไปตามเสียงและเห็นว่าแสงสลัวใต้ทางเดินนั้นส่องสว่างร่างของซูเจ๋อ กลับไม่ส่องดวงตาอึมครึมของเขา
เธอไม่รู้ เธอในดวงตาของซูเจ๋อ สดใสอย่างมาก
ซูเจ๋อกล่าวว่า “ท่าทางท่านแบบนี้จะออกไปหรือ?”
เฉินเสียนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าและกล่าวว่า “ดวงจันทร์มืดมิดลมก็แรง คืนนี้เป็นเวลาที่ดีที่จะได้สนทนาเป็นการส่วนตัว”
ซูเจ๋อไม่ได้ห้ามเธอ เพียงแต่กล่าวว่า “ระวัง อย่าให้เขาแตะต้องท่าน”
“ข้ารู้”
หลังจากออกจากสวนเขตพระราชวัง ก็ขึ้นไปนั่งบนเกี้ยวและเฉินเสียนก็กลับไปที่จวนผู้พิทักษ์เมือง
ทหารยามกลางคืนเข้มงวดกว่าตอนกลางวัน
พ่อบ้านในจวนรู้ว่ามีคนกำลังมา หลังจากยืนยันตัวตนของเฉินเสียนบนเกี้ยวแล้วและมีเธอคนเดียว พ่อบ้านได้ขอให้คนยกเกี้ยวไปที่เรือนหลักผู้พิทักษ์เมืองโดยตรง
นี่เป็นการคำนึงถึงชื่อเสียงของทั้งผู้พิทักษ์เมืองและเฉินเสียน
ผู้พิทักษ์เมืองเมา และในอดีตก็พาคนไปที่เรือนหลักของเขาไม่น้อย ดังนั้นแม้ว่าผู้คนในจวนนี้จะเจอเกี้ยวเข้าไปในเรือนหลักก็ไม่ใช่เรื่องแปลก นับอะไรประสาจะรู้ว่า คนที่อยู่บนเกี้ยวคือองค์หญิงจิ้งเสียน
เมื่อเขามาถึงเรือนหลัก เฉินเสียนก็ลงจากเกี้ยวและเห็นว่าทหารยามในเรือนหลักเพิ่มมากขึ้น
ผู้พิทักษ์เมืองแต่งกายด้วยเสื้อผ้าธรรมดา เดินออกจากประตูอย่างป่องๆ เพื่อต้อนรับเธอ เขาเห็นดวงตาของเฉินเสียนกระพริบราวกับว่าเฉินเสียนเป็นของของเขาแล้ว
ผู้พิทักษ์เมืองเชิญเฉินเสียนเข้ามาและกล่าวว่า “องค์หญิงเข้ามาก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนเดินเข้าไปอย่างไม่ระมัดระวังและกล่าวว่า “ใต้เท้าเรือนนี้มีทหารยามมากมาย”
“เผื่อเกิดเรื่องอะไรขึ้นน่ะพ่ะย่ะค่ะ” ผู้พิทักษ์เมืองชงชาให้เฉินเสียนไปกล่าวไป “องค์หญิงดื่มชาสักแก้วคอจะได้ไม่แห้งพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนเหลือบมองที่ชา แต่ไม่ได้เอื้อมมือไปหยิบชา
ผู้พิทักษ์เมืองกล่าวอย่างยิ้มแค่เปลือกนอก “ทำไมองค์หญิงมากลางดึก แต่กลับไม่ยอมดื่มชาสักถ้วย ในเมื่อมาแล้วจะระวังอะไรอีกล่ะ”
เฉินเสียนรับมัน แสร้งทำเป็นจิบ แต่ทั้งหมดนั้นตกลงบนชุดที่หน้าตัก
ผู้พิทักษ์เมืองเห็นเธอดื่มด้วยตาของเขา ก็ดีใจมาก
ห้องนี้มีขนาดใหญ่มาก ห้องนอนและห้องตำราถูกรวมเข้าด้วยกัน แต่ผู้พิทักษ์เมืองก็พาเฉินเสียนเข้าไปในห้องนอน
ผู้พิทักษ์เมืองกล่าวว่า “ในเมื่อท่านมาแล้ว ท่านก็คงคิดดีแล้วล่ะ ไม่ต้องพูดอ้อมค้อมแล้วล่ะ ตราบใดที่ท่านอยู่กับข้าคืนนี้ ทุกอย่างก็ง่ายที่จะพูดถึงผู้ลี้ภัยนอกเมืองพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนยิ้ม วางถ้วยน้ำชาลงแล้วกล่าวว่า “คราแรกใต้เท้าบอกว่าจะไม่ยอมเปิดประตูให้เข้าไป ตอนนี้เพียงแค่ข้าอยู่กับใต้เท้าทั้งคืน ไม่ว่าเรื่องอะไรก็คลี่คลายแล้วใช่ไหม?”