ประชาชนเกลียดผู้คุ้มกันเมืองจนเข้ากระดูก อีกอย่างการไว้ทุกข์ให้ผู้พิทักษ์เมืองอยู่ที่เรือนใช้เวลานานกว่าสิบวัน และได้ปิดถนนไม่สามารถนำศพไปฝังได้
ต่อมา เจิ้งเหรินโฮ่วสั่งให้คนห่อศพด้วยเสื่อฟาง แล้วนำศพออกไปนอกเมืองและฝังไว้ด้วยลายเส้น จนถึงตอนนี้เรื่องนี้ถึงได้สิ้นสุดลง
แต่ในขณะนั้นเฉินเสียนและคนอื่นๆ ได้ออกไปจากเจียงหนานแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่น่าติดตาม
เดิมทีในเมืองที่รกร้างและเงียบสงบ หลังจากที่ผู้ลี้ภัยได้กลับเข้ามาตั้งรกรากอยู่ในโรงเตี๊ยม อยู่ๆ พวกเขาก็ได้รับความนิยมอย่างมาก
โรงเตี๊ยมทุกแห่งเต็มไปด้วยผู้ลี้ภัย และพวกเขาพอใจมากที่ได้มีที่พักพิงจากลมและฝน ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงปฏิบัติตามกฎด้วยความเต็มใจ และไม่ก่อความวุ่นวายใดๆ
นอกโรงเตี๊ยม ยังมีคนจากทางการคอยช่วยเหลือเรื่องโจ๊กและอาหารตรงเวลาทุกวัน ผู้ลี้ภัยสามารถเข้าแถวรับโจ๊กและอาหารได้
เฉินเสียนยังได้เยี่ยมพื้นที่ผู้ลี้ภัยด้วยตนเอง
เมื่อผู้ลี้ภัยเห็นเฉินเสียนมาจากทางไกล พวกเขาทั้งหมดก็ตะโกนอย่างร่าเริง “องค์หญิงจิ้งเสียนมาแล้ว!”
ผู้ลี้ภัยรู้สึกขอบคุณเฉินเสียน และแม้แต่คนในเมืองต่างก็ชื่นชมและรักเธอเช่นกัน
ผู้คนในเมืองต่างจัดระเบียบตัวเองอย่างมีสติ เพื่อส่งเสื้อผ้าเก่าที่พวกเขาไม่สามารถที่จะสวมใส่ได้ไปยังพื้นที่ผู้ลี้ภัยได้เอง เพื่อให้ผู้ลี้ภัยเหล่านี้มีเสื้อผ้าใส่หลบหนาวได้
ผู้คนทั้งหมดก็เหมือนครอบครัวเดียวกัน ความรู้สึกที่แท้จริงจะเปิดเผยเมื่อได้ช่วยเหลือกันในยามยากลำบาก
ในเมืองหลวงได้เร่งรัด ส่งพระราชโองการครั้งที่สอง และได้สั่งให้เฉินเสียนกลับเมืองหลวงทันที
ตอนนี้ผู้บังคับบัญชาของเมืองเจียงหนานก็คือเจิ้งเหรินโฮ่ว และพระราชโองการได้ส่งมอบถึงมือของเจิ้งเหรินโฮ่วแล้ว และให้เขาดำเนินตามประกาศคำสั่ง
เจิ้งเหรินโฮ่วไม่อาจละเลยได้ จึงถือพระราชโองการไว้ในมือ และรีบเข้าเฝ้า
เพียงแต่ว่าเขาไม่พบเฉินเสียน เห็นแค่ซูเจ๋ออยู่ที่ทางเดิน
ซูเจ๋อพูดว่า “องค์หญิงกับรองท่านทูตเฮ่อและท่านแม่ทัพฉินออกไปเยี่ยมผู้ลี้ภัยแล้ว ท่านมาพบองค์หญิงรึ?”
เจิ้งเหรินโฮ่วพูด “ถ้าเช่นนั้นข้าน้อยพบใต้เท้าซูก็ไม่ต่างกัน เมื่อครู่มีม้าเร็วจากเมืองหลวงส่งพระโองการมาที่นี่อีกครั้ง”
ซูเจ๋อเหยียดมือออกไปหาเขา และก้าวไปข้างหน้าทำความเคารพ มือทั้งสองข้างที่ถือพระราชโองการไว้ได้ยื่นให้ซูเจ๋อ
เดิมทีพระราชโองการนี้จะต้องเป็นเฉินเสียนมารับด้วยตนเอง และเจิ้งเหรินโฮ่วควรทำเช่นเดียวกับที่ผู้พิทักษ์เมืองเคยทำมาก่อน ที่จะต้องอ่านประกาศพระราชโองการ
แต่พระราชโองการต่อหน้าได้ส่งถึงมือซูเจ๋อแล้ว ประเพณีที่ยึดถือกันมาเหล่านั้นก็ต้องยกเว้นไป
ซูเจ๋อเปิดพระราชโองการและมองดูเล็กน้อย จากนั้นจึงปิดและกล่าวว่า “ข้าจะส่งมอบพระราชโองการนี้ให้องค์หญิงภายหลัง”
เจิ้งเหรินโฮ่วพูดว่า “ต้องการให้ข้าน้อยจัดคนไปอารักขาองค์หญิงกลับเมืองหลวง?”
“เรื่องเหล่านี้ใต้เท้าเจิ้งไม่จำเป็นต้องกังวล ใต้เท้าเจิ้งเพียงจัดการเมืองเจียงหนานแห่งนี้ให้ดีก็พอ” ซูเจ๋อกล่าว “สำหรับผู้ลี้ภัยที่นี่ที่อาศัยอยู่ในโรงเตี๊ยมนี้ก็ไม่ใช่ทางออกระยะยาว หลังจากรอน้ำท่วมผ่านไป เจียงหนานจะต้องพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อฟื้นฟูความเจริญให้เป็นดังเดิม พอถึงขณะนั้นผู้ลี้ภัยไม่สามารถอยู่ในเมืองต่อได้”
“ข้าน้อยน้อมรับฟังคำแนะนำของใต้เท้าซูด้วยความเคารพ”
ซูเจ๋อพูดว่า “ใต้เท้าเจิ้งสามารถมอบหมายให้พวกเขาเปิดที่รกร้างว่างเปล่าเพื่อขยายเมืองได้ ผู้ที่เต็มใจที่จะอยู่จะตั้งรกรากอยู่นอกเมือง และผู้ที่ไม่เต็มใจที่จะอยู่ก็ปล่อยให้พวกเขาออกจากเมืองไปทำมาหากินอีก
เจิ้งเหรินโฮ่วพูด “คาดว่ามีผู้ลี้ภัยเพียงไม่กี่คนที่ไม่เต็มใจที่จะอยู่ที่นี่”
“ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับท่านจะจัดการอย่างไร เพียงแค่ไม่ทำให้ชื่อเสียงขององค์หญิงจิ้งเสียนถูกทำลาย และอย่าสะสมความคับข้องใจของผู้คน” ซูเจ๋อมองไปที่เจิ้งเหรินโฮ่วและกล่าวอย่างใจเย็นว่า “ถ้าราชสำนักส่งคนมาเข้าควบคุมเจียงหนาน ใต้เท้าเจิ้งรู้หรือไม่ว่าจะจัดการอย่างไร?”
“ใต้เท้าซูวางใจได้ ข้าน้อยได้อดทนมาหลายปีแล้ว เพียงเพื่อแลกกับสถานการณ์เช่นนี้ เป็นไปไม่ได้อย่างยิ่งที่จะปล่อยให้แมลงเม่าในราชสำนักกลับมาทำร้ายเจียงหนานได้อีกครั้ง ข้าน้อยจะต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องเมืองเจียงหนานและผู้คนที่นี่ จะไม่ทำให้ความคาดหวังของใต้เท้าซูผิดหวัง”
ซูเจ๋อพยักหน้าและกล่าวว่า “เช่นนั้น ความอดทนในเวลาหลายปีที่ผ่านมาของท่านจะไม่เสียแรงเปล่า”
เมื่อเฉินเสียนกลับมา เจิ้งเหรินโฮ่วก็ได้ออกไปแล้ว เธอเห็นซูเจ๋อและถามว่า “ได้ยินมาว่าใต้เท้าเจิ้งมาพบข้า?”
ซูเจ๋อนำพระราชโองการเข้าไว้ในแขนเสื้อและพูดว่า “เขามาเพื่อสอบถามเรื่องการตั้งถิ่นฐานของผู้ลี้ภัย และข้าได้ตอบเขาแทนท่านแล้ว”
“ท่านพูดอย่างไร?”
“รอหลังจากน้ำท่วมแล้ว ให้เขาจัดระเบียบผู้ลี้ภัยเพื่อเปิดที่รกร้างขยายเพื่อสร้างเมือง หรือให้มีที่พักอาศัยถาวร ถ้าไม่อยากอยู่ก็สามารถออกจากเมืองได้อย่างอิสระ”
เฉินเสียนรู้ดีว่า ผู้ลี้ภัยจะอยู่ในโรงเตี๊ยมตลอดไม่ได้ และในขณะนี้ระเบียบในเมืองยังคงสามารถควบคุมได้ แต่ด้วยเมื่อเวลาผ่านไปจำนวนผู้คนมีจำนวนมากขึ้น มันจะกลายเป็นเรื่องวุ่นวายมากขึ้นเรื่อยๆ
ดังนั้นหลังจากผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดไปแล้ว พวกเขาก็ต้องตั้งรกรากใหม่
สิ่งที่ซูเจ๋อพูดก็เป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุดเช่นกัน
เฉินเสียนไม่รู้ว่าพระราชโองการฉบับที่สองส่งอะไรมา และแม้แต่พระราชโองการฉบับที่สามก็ถูกซูเจ๋อสกัดกั้นไว้โดยไม่บอกเฉินเสียนเลย
หลังจากที่พวกเขาผ่านเจียงหนานแล้ว และเดินทางกลับเมืองหลวงก็ได้เดินทางไปเกินครึ่งทางแล้ว
ก่อนถึงเมืองถัดไป บ่อยครั้งที่ยังไม่ทันเข้าประตูเมือง ทหารเฝ้าประตูเมืองสามารถทราบข่าวล่วงหน้า และรอที่หน้าประตูเมือง
สิ่งนี้ทำให้เฉินเสียนรู้สึกเหมือนถูกจับตามองและมีคนคอยสะกดรอยตาม
ไม่เพียงรู้สึกอย่างนั้น แม้แต่ฉินหรูเหลียงและเฮ่อโยวก็รู้สึกเช่นกัน ราวกับถูกคนจัดวางกำลังป้องกันระหว่างทางเพียงแค่รอพวกเขาไปถึงเมืองหลวง
บนท้องถนนเฉินเสียนนอกจากเรื่องที่เป็นทางการที่จะพูดกับซูเจ๋อแล้ว เวลาที่เหลือก็ไม่ได้พูดรบกวนเขาเลย และเขาก็ไม่ได้รบกวนเฉินเสียนเช่นกัน”
ความรักและความปรารถนาอันลึกซึ้งทั้งหมด ได้ถูกเฉินเสียนเก็บเข้าสู่หัวใจแล้ว
ทั้งที่รู้ว่าคนคนนี้อยู่เคียงข้างไม่ห่าง เธอยังต้องแสร้งทำเป็นไม่มีอะไร
ต่อมาซูเจ๋อแนะนำให้ทุกคนปลอมตัว ทุกคนต้องสวมเสื้อผ้าเป็นชาวบ้านธรรมดา และแยกกันเข้าเมือง
แม้ว่าทหารป้องกันเมืองจะทราบข่าวล่วงหน้าแล้วก็ตาม ได้รีบมาต้อนรับอยู่ที่ประตูเมือง หลังจากกลุ่มคนแต่งตัวเสร็จและเดินทางผ่านประตูเมืองไปแล้ว ทหารป้องกันเมืองก็ยังไม่รู้เรื่องอะไร
ทหารติดตามที่เหลือมีหน้าที่ควบคุ้มหลิ่วเฉียนเฮ้อ แล้วเข้าไปในเมือง
รอทหารป้องกันเมืองไม่ง่ายเลยรอจนกองกำลังมาแล้ว แต่พบว่าองค์หญิงจิ้งเสียนไม่อยู่ข้างในเลย ทหารติดตามได้เพียงแค่กล่าวว่าพวกเขามีหน้าที่รับผิดชอบในการควบคุมตัวนักโทษกลับไปที่เมืองหลวงเท่านั้น และไม่รู้ว่าองค์หญิงจิ้งเสียนอยู่ที่ไหน
หลังจากเข้าเมืองแล้ว ทุกคนเข้าพักที่โรงเตี๊ยม เพียงแค่ไม่มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น ก็ไม่จำเป็นต้องแสดงตัวตน
สถานการณ์ภัยพิบัติทางเหนือของเจียงหนานนั้นไม่รุนแรงเท่าทางใต้ แม้ว่าจะได้รับความเสียหายในระดับหนึ่งแต่ไม่มีกลุ่มผู้ลี้ภัยมารวมตัวกันนอกเมือง
และหลังจากที่เรื่องราวของผู้พิทักษ์เมืองของเจียงหนานได้แพร่กระจายออกไป ชะตากรรมของการเสียชีวิตของผู้พิทักษ์เมืองของเมืองเจียงหนาน โดยไม่มีสถานที่ฝังศพยังเป็นเครื่องเตือนใจต่อเมืองและพื้นที่ต่างๆ ในท้องถิ่นอีกด้วย
หลังจากเข้าพักที่โรงเตี๊ยมแล้ว เฉินเสียนก็เห็นนักเล่านิทานคนหนึ่งอยู่ที่โถงชั้นล่าง นักเล่านิทานกำลังพูดถึงความพยายามขององค์หญิงจิ้งเสียนในการจัดการน้ำท่วมและช่วยชีวิตผู้ประสบภัย
คนที่นั่งฟังนักเล่านิทานได้นั่งล้อมอยู่ด้วยกันเยอะมาก
ซูเจ๋อรับผิดชอบในการติดต่อกับขุนนางเก่าที่รู้จักที่เป็นขุนนางในเมือง เฉินเสียนและคนอื่นๆ ก็พักอยู่ที่โรงเตี๊ยมเพื่อรอ
เธอพิงราวบันไดบนชั้นสอง ฟังผู้เล่านิทานเล่าเรื่องไปเป็นบางครั้ง และเหลือบมองที่ประตูห้องโถงใหญ่เป็นระยะๆ
ฉินหรูเหลียงเดินออกจากประตูมา ยืนอยู่ข้างๆ เฉินเสียน และมองตามสายตาของเธอไปที่ชั้นล่าง แล้วพูดว่า “รอเขากลับมา?”
เฉินเสียนตอบอย่างจริงจังว่า “ไม่ใช่ ข้ากำลังฟังนักเล่านิทานที่ชั้นล่าง”
ฉินหรูเหลียงพูด “ครั้งต่อไปหากจะโกหก อย่าลืมเก็บสายตาด้วย”
เฉินเสียนเงียบไปครู่หนึ่ง ฟังเสียงค้อนกระแทกบนโต๊ะจากด้านล่าง ราวกับกำลังคุยกับเพื่อนคนหนึ่งว่า “ข้าระมัดระวังตัวมากแล้ว ยังดูออกอยู่อีกรึ?”