ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้ เขามักจะปกป้องเธอโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเอง ถึงแม้ว่าเขาจะบอบช้ำและบาดเจ็บไปทั้งตัว และถึงแม้ตัวเขาจะพึ่งกลับมาจากยมโลก คนที่เขาจะนึกถึงเป็นคนแรกก็คือเธอเสมอ
เฉินเสียนรู้สึกกลัวจับใจ ว่าซูเจ๋อจะไม่ทันได้บอกลา จากไปแล้วก็ไม่หวนกลับคืนมาอีก
ทิ้งเธอไว้คนเดียวแบบนี้ รอคนที่ไม่อาจหวนคืนมาได้ จะมีความหมายอะไร?
เพื่อความปลอดภัยของเธอเขาจึงต้องทิ้งเธอไว้ แต่เฉินเสียนทำไม่ได้
เธอไม่อยากจะทิ้งซูเจ๋อไว้คนเดียวอีก ไม่อยากให้ซูเจ๋อใช้ชีวิตของเขามาแบกรับทุกอย่างเพื่อปกป้องเธอ เหมือนตอนที่อยู่ในอาณาจักรเย่เหลียงในครั้งนั้น
เธออยากจะอยู่กับเขา ถึงแม้ว่าจะต้องตาย ก็ควรจะตายด้วยกัน
เฉินเสียนพูดกับตัวเองพึมพำว่า : “หากไม่มีท่านแล้ว และข้าก็ยังมีชีวิตอยู่ มันก็คงจะไม่มีความสุขเลย”
เธอจึงจัดการขยับกิ่งไม้เหล่านั้นออกไป ครั้งนี้เธอไม่ได้ฟังเขา และออกมาคนเดียว
ยามค่ำคืนที่มืดสนิทจนไม่อาจแยกแยะทิศทางได้ เธอจึงทำได้แค่เงี่ยหูฟังพลางเดินไปด้วย
โสตประสาทสัมผัสถูกเปิดออกทั้งหมด เฉินเสียนรวบรวมสมาธิด้วยความตั้งใจ ทุกอย่างชัดเจนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เธอเดินไปยังทิศทางของเสียงต่อสู้ เหมือนแมวที่คอยเฝ้าระวัง ฝีเท้าบางเบาและมั่นคง
บรรยากาศที่เย็นจัดและคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด
เงาที่ดำมืดสนิทโบยบินไปมาท่ามกลางต้นไม้ในป่าใหญ่อย่างรวดเร็ว
ขาของเธอเตะเข้ากับอะไรบางอย่าง เฉินเสียนจึงเตะไปเบาๆ นี่คงจะเป็นร่างของศพ เลือดสดๆ ไหลออกมา จากนั้นก็ถูกความเย็นของหิมะทำให้แข็งตัวอย่างรวดเร็ว
เฉินเสียนย่อตัวลง เอื้อมมือไปหยิบดาบที่อยู่ข้างๆ ศพ แล้วจับไว้ในมือแน่น
ถึงแม้ว่าเธอจะมองไม่เห็นซูเจ๋อ แต่ดูจากนักฆ่าเหล่านั้นที่ล้อมรอบคนคนเดียว เธอจึงรู้ได้โดยปริยายว่าซูเจ๋ออยู่ที่ไหน
ดาบไร้ซึ่งดวงตา ซูเจ๋อถูกโจมตีจากทั้งหน้าและหลัง
กลิ่นคาวเลือดคลุ้งคลั่ง เฉินเสียนไม่รู้ว่าซูเจ๋อได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า แต่เธอกลับเห็นว่าในขณะที่ซูเจ๋อกำลังจดจ่อกับการต่อสู้อยู่นั้น ก็มีนักฆ่าลอบเข้ามาจากทางด้านหลังของซูเจ๋อ กำลังตวัดดาบลงแผ่นหลังของซูเจ๋ออย่างโหดเหี้ยม
เฉินเสียนลืมทุกอย่างจนหมดสิ้น เธอรู้เพียงแค่ว่าตัวเองต้องพุ่งตรงไปข้างหน้าเท่านั้น ก่อนที่ดาบเล่มนั้นจะลงบนตัวของซูเจ๋อ เธอได้ใช้ดาบพุ่งเข้าแทงลำตัวของนักฆ่าคนนั้นเข้าอย่างจัง
แทงทะลุตัดคั่วหัวใจ แม่นยำและดุดัน
เมื่อซูเจ๋อหันหน้ากลับมานั้น ก็เห็นเฉินเสียนที่กำลังดึงดาบออกมา ตรงเข้าไปจัดการเหล่านักฆ่าที่ล้อมรอบซูเจ๋ออยู่ด้วยความบ้าคลั่ง
ไม่มีเวลาพอที่จะพูดคุยกัน ทั้งคู่หลังชนหลัง ต่อสู้กับเหล่าศัตรูอย่างกล้าหาญ ร่วมมือกันประสานสู้อย่างลงตัว
วิชาดาบของเธอทั้งมั่วและคาดเดาไม่ได้ ซูเจ๋อเป็นคนมอบทักษะการต่อสู้นี้ให้กับเธอ เพื่อจะสามารถใช้ปกป้องตัวเองในยามที่ได้รับอันตราย
แต่ไม่ใช่แค่เพียงปกป้องตัวเอง เธอเองก็อยากจะปกป้องซูเจ๋อได้บ้างในเวลาที่เขาต้องการ
เวลาที่มองดูเหล่านักฆ่าต่อสู้กับซูเจ๋อที่ตัวคนเดียวนั้น ภายในใจของเฉินเสียนก็คับแน่นไปด้วยความโกรธแค้น เธออยากจะฆ่าพวกคนที่คิดจะมาทำร้ายเขาให้ตายไปเสียให้หมด ด้วยพันมีดหมื่นแล่
ภายใต้ความโกรธแค้นนั่น การฆ่าจึงเป็นสิ่งเดียวที่จะสามารถเยียวยาในสิ่งที่ยากจะอธิบายนี้ได้ ทำให้เฉินเสียนที่ยิ่งต่อสู้ก็ยิ่งกล้าหาญ ลืมความเจ็บปวดและเลือดที่ไหล
นักฆ่านับหลายสิบคน ล้มลงบนพื้นคนแล้วคนเล่า
ในท้ายที่สุด ป่าที่คละคลุ้งไปด้วยแรงสังหารก็ค่อยๆ หยุดลง บรรยากาศที่หนักหน่วงไร้ซึ่งลมพัด
เหลือเพียงนักฆ่าคนสุดท้าย เฉินเสียนและซูเจ๋อลงมือพร้อมกัน ดาบหนึ่งแทงทะลุคอ อีกดาบหนึ่งแทงทะลุท้อง
ซูเจ๋อตวัดดาบออกไป คมดาบฟันเข้าที่หัวของนักฆ่าคนนั้นอย่างจัง ส่วนเฉินเสียนตวัดดาบแนวขวาง จนเอวของนักฆ่าคนนั้นขาดวิ่น
จะบอกว่าไม่โหดเหี้ยมก็ไม่ได้เลย
ซูเจ๋อหันไปมองเฉินเสียนที่ยืนหายใจหอบอยู่ข้างๆ พูดขึ้นน้ำเสียงเบาบางว่า : “คุยกันแล้วไม่ใช่หรือ ว่าให้รออยู่ในถ้ำ ออกมาที่นี่ทำไม”
เฉินเสียนจึงพูดขึ้นว่า : “ท่านมีคนที่ท่านอยากจะปกป้อง ข้าเองก็มีคนที่ข้าอยากจะปกป้องด้วยเช่นกัน ข้าไม่ได้ขัดขวางท่าน ท่านเองก็อย่ามาขัดขวางข้า”
เธอเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างแหบแห้งว่า : “หากท่านไม่กลับมา ท่านจะให้ข้ารอท่านจนฟ้าล่มดินสลายหรือไงกัน สู้ให้ข้าลงแม่น้ำแห่งความตายไปตามหาท่านยังดีเสียกว่า”
ซูเจ๋ออึ้งจนเงียบไป
ร่องรอยการต่อสู้อันดุเดือดอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่งในป่านี้ คมดาบที่ทิ้งรอยลงบนต้นสนนั่น
แต่ทว่า ในขณะที่ซูเจ๋อกำลังอึ้ง มีต้นสนต้นหนึ่งที่ด้านหลังของเขา เป็นเพราะได้รับคมดาบค่อนข้างลึก จู่ๆ ก็โค่นล้มลงมาทางซูเจ๋อ
เฉินเสียนที่มองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นเพียงเงาที่มืดสนิทราวกับเงาผีร้าย พุ่งตรงลงมาเหนือศีรษะ
เธอรีบวิ่งไปผลักซูเจ๋อล้มลง ในเวลาเดียวกัน เงามืดนั้นก็ทับลงมาบนหัวของเธอทันที จากนั้นก็ตามมาด้วยหิมะที่ร่วงถล่มลงมา ทับลงบนตัวของเฉินเสียน
ความเงียบงันผ่านไปครู่หนึ่ง มันช่างเงียบงันราวกับได้ยินเพียงเสียงเต้นของหัวใจซึ่งกันและกัน
“อาเสียน……”
เฉินเสียนได้สติขึ้นมา จึงสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่
ที่แท้แล้วต้นไม้ล้มลงมานี่เอง
คมหนามของต้นสนค่อนข้างแหลมคม รู้สึกเหมือนมันจะทิ่มแทงทะลุผ่านเสื้อผ้าที่ค่อนข้างหนาตรงแผ่นหลังของเธอ
ต้นไม้ทับอยู่บนไหล่ของเฉินเสียน ไม่ได้ถือว่าหนักมาก และเธอเองก็รับมันไหว
เฉินเสียนที่ค่อนข้างลนลาน ร่างกายทั้งคู่ติดกันแนบแน่นจนเกิดความร้อนผ่าว ใบหน้าของเธอซุกอยู่ข้างต้นคอของเขา เธอพูดขึ้นพึมพำว่า : “ไม่เป็นไร เพียงแต่จู่ๆ ก็มีหิมะมาโดนต้นคอ เย็นจนข้าแทบสะดุ้ง”
เฉินเสียนที่กอดหัวของเขาไว้ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ซูเจ๋อ ท่านบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”
“ข้ายังดี”
“งั้นก็ดี โชคดีที่ข้ามา เมื่อครู่ตอนที่ข้ามา ข้าเห็นนักฆ่ากำลังยกดาบจะฟันเข้าที่หลังของท่านพอดี ข้าตกใจแทบแย่”
เฉินเสียนพูดขึ้นเสียงเบาว่า : “ซูเจ๋อ วันข้างหน้าหากท่านยังทิ้งข้าไว้คนเดียวแบบนั้น มันไม่มีความหมายอะไร”
“ข้าไม่ได้คาดหวังว่าข้าจะสามารถปกป้องท่านได้เหมือนที่ท่านปกป้องข้า ข้าเพียงแค่อยากจะพยายามบ้าง ได้ปกป้องท่านบ้างในบางครั้งบางคราวที่ท่านต้องการ”
เธอพูดกับเขาอย่างละเอียด : “ทำไมข้าต้องอยากให้ท่านเป็นคนดีด้วยล่ะ? คนดีมักอายุไม่ยืนยาว เลวบ้างจะดีกว่า เพราะการที่เลวบ้างจะอายุยืนนานกว่า
วันข้างหน้าอย่ากลัวว่าข้าจะถือโทษโกรธท่าน หรือจะเกลียดท่าน ท่านเลวได้เต็มที่ แม้ว่าท่านจะเป็นคนที่ทรยศที่สุดในใต้หล้านี้ ซูเจ๋อท่านยังคงเป็นคนที่ข้ารักสุดหัวใจ”
ซูเจ๋อเอื้อมมือไปรวบกิ่งของต้นสนที่เต็มไปด้วยหนามคม แล้วยกขยับออกจากบ่าของเฉินเสียน
เขาพูดขึ้นด้วยความตกใจเล็กน้อยว่า : “อาเสียน ท่านไปฝึกพูดคำพลอดรักที่พลอยทำให้จิตใจหวั่นไหวแบบนี้เมื่อไหร่กัน”
เฉินเสียนเงยหน้าขึ้น สบตากับดวงตาที่ทอประกายงดงามคู่นั้นของเขา แล้วขยับเข้าไปหอมอย่างแผ่วเบา เธอยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “หัวใจหวั่นไหวหรือ? จริงๆ ข้าฝึกพูดอยู่ในใจตั้งนานแล้ว เพียงแต่เก็บซ่อนมันไว้ ไม่ยอมพูดออกมาให้ท่านฟัง”
เธอลุกขึ้นจากพื้น เห็นซูเจ๋อยังนอนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ เธอจึงยื่นมือให้เขา
ซูเจ๋อจับมือของเธอแล้วลุกขึ้น จากนั้นก็ดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอดของเขา พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ความรู้สึกของการที่ถูกคนอื่นปกป้องมันดีจริงๆ”
เฉินเสียนปัดเศษหิมะบนตัวของเขาออก พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ข้าสามารถปกป้องความรู้สึกของท่านได้ด้วย และมันก็ดีไม่แพ้กัน”
ท้องฟ้ายังไม่สว่าง ไม่รู้ว่าเวลานี้กี่ยามแล้ว การลงเขาจะลำบากกว่าการขึ้นเขา และไม่รู้ว่าด้านหลังยังมีทหารตามมาหรือเปล่า ซูเจ๋อและเฉินเสียนจึงย้อนกลับไปที่ถ้ำหินนั่นก่อน
ซูเจ๋อนั่งพิงกับผนังถ้ำ เฉินเสียนนำเอาเศษกิ่งไม้มาอำพรางปากทางเข้าถ้ำ
แล้วจึงกลับไปนั่งลงข้างซูเจ๋อ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ก่อนฟ้าสาง เราพักอยู่ที่นี่กันก่อน พรุ่งนี้เราค่อยลงเขาไปหาพวกเขากัน”
เฉินเสียนรออยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่เห็นซูเจ๋อตอบกลับ เธอจึงถามเขาเบาๆ ว่า : “ซูเจ๋อ ท่านหลับแล้วหรือ?”
เมื่อพูดจบ เฉินเสียนก็รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล
เพราะอยู่ในถ้ำ กลิ่นคาวเลือดจึงคละคลุ้งกว่ามาก
เฉินเสียนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือว่า : “ซูเจ๋อ……ท่านบาดเจ็บหรือ?”