เธอเอนตัวเข้าหาอ้อมกอดของเขา คลำไปที่ช่วงเอวของเขา ค่อยๆ ปลดเสื้อของเขาออกทีละชั้น
เมื่อถอดมาจนถึงชั้นสุดท้าย จู่ๆ ซูเจ๋อก็จับข้อมือของเธอไว้ เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ร่างกายของข้าเย็นเฉียบแบบนี้ จะทำให้ท่านหนาวมาก”
เฉินเสียนที่ไม่ได้มีเจตนาอื่น เธอพูดขึ้นอย่างชัดเจนว่า : “ก็ยังดีกว่ามองท่านแข็งตายไปต่อหน้า ซูเจ๋อ ข้าก็แค่อยากแบ่งปันความอบอุ่นให้ท่าน บ้าง ข้าไม่สามารถทนดูท่านแข็งตายไปแบบนี้ หากจะต้องแข็งตาย เราก็ควรจะแข็งตายไปพร้อมๆ กัน”
ข้อมือของเธอถูกเขารัดแน่น เธอหรี่ตามอง พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “หากท่านยังไม่ยอมปล่อยมือ เราทั้งคู่ก็แข็งตายไปพร้อมๆ กันนี่แหละ ดูว่าใครจะอดทนได้มากกว่ากัน”
ซูเจ๋อเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นด้วยความจนใจว่า : “ก่อนหน้านี้ข้าสัมผัสท่านเพียงหน่อยเดียว แก้มของท่านก็แดงก่ำลามไปจนถึงใบหู แต่ค่ำคืนนี้ทำไมท่านถึงได้ใจกล้าขนาดนี้”
เฉินเสียนจึงตอบกลับไปว่า : “ก่อนหน้านี้มันเป็นเรื่องของความรักระหว่างชายหญิง แต่ตอนนี้มันเป็นเรื่องของชีวิตและความเป็นความตาย”
ในที่สุดซูเจ๋อก็ยอมปล่อยมือของเธอ
เธอถอดเสื้อชั้นในสุดของเขา จากนั้นเธอก็ปลดชุดชั้นสุดท้ายของตัวเองออก ค่อยๆ อิงตัวเข้าหาเขา แนบชิดกับแผ่นอกของซูเจ๋อ
คนหนึ่งหนาวเหน็บจนร่างกายแข็งทื่อ ส่วนอีกคนเนื้อตัวนุ่มนิ่มและอบอุ่น
เฉินเสียนใช้แขนทั้งสองข้างโอบกอดเอวของเขาไว้ รับรู้ได้ถึงผิวสัมผัสของเขา
ซูเจ๋อสูดลมหายใจเข้าลึก เมื่อเขาเริ่มได้รับพลังงานความอบอุ่น ในท้ายที่สุดเขาก็หมดความอดทน มือคู่ที่ลังเลอยู่พักใหญ่ ก็ตัดสินใจรวบไหล่ที่กลมมนและบอบบางของเฉินเสียนในที่สุด เขาดึงเธอเข้าสู่อ้อมกอดของเขาอย่างแนบแน่น
เฉินเสียนรู้สึกเหมือนกำลังกอดก้อนน้ำแข็งแผ่นใหญ่ ที่เย็นยะเยือกจนร่างกายของเธอหนาวสั่นสะท้าน
แต่ยิ่งหนาว ก็เหมือนกับยิ่งได้ใจ เธอกอดรัดเขาแน่นขึ้นกว่าเดิม ไม่ยอมคลายอ้อมกอดเลยแม้แต่นิดเดียว
ซูเจ๋อก้มหน้าลงมา ซบคางลงบนไหล่ของเฉินเสียน อดปวดใจเสียไม่ได้ เขาพูดขึ้นว่า : “อาเสียน หนาวมากเลยใช่ไหม?”
เฉินเสียนส่ายหน้า เธอพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงกระซิบที่แผ่วเบาว่า : “ข้ารู้สึกว่าความสุขเป็นเฉกเช่นนี้นี่แหละ เพียงแค่ข้ายื่นมือออกไป ก็จะสามารถกอดท่านได้แนบแน่นแบบนี้”
เวลานี้ซูเจ๋อรู้สึกว่าตัวเขาเองก็กำลังกอดความผาสุกด้วยเช่นกัน
ไม่ว่าลมหนาวจะพัดโหมกระหน่ำอยู่ด้านนอกถ้ำนั่นสักเพียงใด ก็ไม่สามารถสั่นคลอนทั้งคู่ได้แม้แต่นิดเดียว
เฉินเสียนค่อยๆ คุ้นชินกับความเย็นของซูเจ๋อ เธอโอบกอดรอบคอของเขาไว้ จากนั้นเฉินเสียนก็ค่อยๆ เอนตัวลงนอนบนเสื้อคลุมที่ปูเอาไว้ แล้วจึงค่อยรั้งตัวซูเจ๋อให้โน้มลงมาทับบนร่างกายของเธอช้าๆ
เสื้อคลุมที่คลุมอยู่บนไหล่ของซูเจ๋อ กว้างพอที่จะคลุมร่างกายของทั้งคู่ได้พอดี
ร่างกายของซูเจ๋อค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้น
ความอบอุ่นของร่างกายค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามระยะความใกล้ชิดของทั้งคู่ที่ยิ่งอยู่ก็ยิ่งใกล้กันมากขึ้น
ทั้งคู่ต่างพากันเงียบงันไม่พูดจา
ริมฝีปากของซูเจ๋อแนบชิดกับคอของเธอ ลมหายใจที่นุ่มนวลถูกพ่นผ่านข้างลำคอของเธอเบาๆ
เฉินเสียนค่อยๆ หันหน้าไปทางอื่น ตอนนี้ร่างกายของทั้งคู่ก็เริ่มอุ่นขึ้นแล้ว ลมหายใจที่สลับกันไปมาของทั้งสองดังชัดเจนมากยิ่งขึ้นในถ้ำแห่งนี้
ในตอนแรกเฉินเสียนเพียงแค่อยากให้ความอบอุ่นกับซูเจ๋อ จึงไม่ได้คิดอะไรมาก ตอนนี้ร่างกายของทั้งคู่เริ่มอุ่นมากขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกแปลกๆ บางอย่างค่อยๆ เริ่มก่อตัวขึ้นในใจ
ราวกับว่าข้างในหัวใจมีบ่อน้ำแห่งวสันตฤดูอยู่ ที่เต็มจนแทบจะล้นออกมาอยู่รอมร่อ
ตั้งแต่ที่ซูเจ๋อทับลงบนร่างกายของเฉินเสียน เขาก็ไม่ได้ขยับอีกเลย
ผ่านไปครู่ใหญ่ เฉินเสียนจึงถามขึ้นว่า : “ซูเจ๋อ ท่านหลับแล้วหรือยัง?”
“ยังไม่หลับ” ซูเจ๋อตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเกร็ง
จู่ๆ เฉินเสียนก็คิดไม่ออกว่าจะคุยเรื่องอะไรกันดี จึงพูดโพล่งออกไปอย่างไม่ทันคิดว่า : “วิธีนี้ได้ผลดีเกินคาด……”
แต่พอพูดออกมาแล้วก็รู้สึกแปลกๆ เธอจึงพูดขึ้นต่อว่า : “ตอนนี้ท่านสามารถนอนหลับอย่างสบายใจได้แล้ว เวลาที่ข้าเรียก ท่านจะต้องตอบข้า”
ซูเจ๋อเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “ข้านอนทับท่านอยู่แบบนี้……ท่านไม่สบายตัวหรือเปล่า? จะให้ข้าขยับตัวขึ้นมาอีกหน่อยไหม?”
พูดจบเขาก็ขยับแขนทั้งสอง เตรียมจะพยุงตัวออกจากเฉินเสียน
แต่เฉินเสียนที่กลัวว่าเขาจะออกแรงแล้วมันจะกระทบโดนบาดแผลเข้า เธอรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา ไม่ทันที่จะได้คิดอะไรมาก เธอก็รีบโอบหลังของเขาไว้ แล้วดึงเขาให้นอนทับลงมาบนตัวเธอเหมือนเดิม
การกระทำนี้ พลอยทำให้ทั้งคู่ต่างอึ้งไปตามๆ กัน
เฉินเสียนรู้สึกว่าใบหน้าของเธอร้อนผ่าวราวกับว่าจะละลายเสียให้ได้ เธอพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างอู้อี้ว่า : “ข้าไม่เป็นไร ร่างกายของข้านุ่มนิ่ม ประสิทธิภาพการรับน้ำหนักสูงมาก……ท่านอย่าขยับให้มาก เดี๋ยวแผลจะปริเพิ่มเอาได้”
จู่ๆ ซูเจ๋อก็แอบหัวเราะขึ้นมาเบาๆ ที่ข้างหูของเธอ
เฉินเสียนก็รู้สึกทำตัวไม่ถูกขึ้นมาดื้อๆ เธอพูดขึ้นว่า : “ท่านขำหรือ?”
ซูเจ๋อจึงพูดขึ้นว่า : “เปล่าหรอก ข้าเพียงแค่รู้สึกว่าร่างกายของสตรีนั้นนุ่มนิ่ม ส่วนร่างกายของชายชาตรีนั้นแข็งแกร่ง จึงเกิดเป็นคำสุภาษิตที่ว่าแรงหยินเสริมหยางขึ้นมา อาเสียน ขอบคุณท่านมาก ที่เสียสละเพื่อข้ามากมายขนาดนี้”
เฉินเสียนสอดมือเข้าไปใต้ผมที่ประบ่าของเขา พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “หากเปรียบเทียบกับสิ่งที่ท่านเสียสละให้ข้า มันเทียบกันไม่ติดเลย เมื่อครู่นี้ท่านเหนื่อยมากไม่ใช่หรือ ท่านรีบนอนเถอะ นอนต่ออีกไม่นานฟ้าก็คงจะสว่าง”
อยู่ดึกมาทั้งคืน เฉินเสียนเองก็รู้สึกเหนื่อยไม่น้อย
ในตอนแรกเธอนอนไม่หลับเลย ในหัวของเธอเอาแต่คิดถึงเรื่องของซูเจ๋อ ทั้งๆ ที่เขาก็อยู่ในอ้อมกอดของเธอแล้วแท้ๆ
ซูเจ๋อเองก็นอนไม่หลับ เพียงแต่ว่าต่างคนต่างไม่ได้พูดคุยกัน แสร้งทำเป็นหลับเท่านั้น
ค่ำคืนที่ยาวนาน ในที่สุดก็ไม่เหน็บหนาวอีกต่อไป
ท้องฟ้าด้านนอกของเช้าวันรุ่งขึ้น แสงแดดอ่อนๆ กระทบลงบนหิมะสะท้อนแสงสว่างสาดส่องไปทั่ว แสงนั่นเล็ดลอดผ่านช่องของกองกิ่งไม้ที่ตายไปแล้วและใบไม้ที่ร่วงหล่นทับถมลงมา
เฉินเสียนสะลึมสะลือ รู้สึกเหมือนแสงกำลังแยงตาเธออยู่
เมื่อเธอค่อยๆ ลืมตาขึ้น ก็สบตาเข้ากับนัยน์ตาคู่เรียวยาวของเขาพอดีอย่างไม่ทันตั้งตัว
หัวใจเต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะตั้งแต่เช้าตรู่
เฉินเสียนจึงเพิ่งนึกขึ้นได้ ว่าเมื่อคืนนี้เธอกับซูเจ๋ออยู่ในท่าที่นอนกอดกันทั้งคืน เนื้อแนบเนื้อ ร่างกายเปลือยเปล่าภายใต้เสื้อคลุมนั่น
เฉินเสียนหลับไปโดยที่ไม่รู้สึกหนาวแม้แต่นิด กลับรู้สึกว่ากำลังนอนกอดเตาอุ่นๆ มากกว่า
ร่างกายแนบแน่นไปด้วยความอบอุ่นของซึ่งกันและกัน หลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวอย่างสมบูรณ์แบบ
เฉินเสียนอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว ราวกับว่าได้ถูกซูเจ๋อคว้านเอาจิตวิญญาณไปแล้ว
ซูเจ๋อเริ่มพูดขึ้นก่อนว่า : “อาเสียน อรุณสวัสดิ์”
อาการของเขาดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“อรุณสวัสดิ์……” เฉินเสียนตอบกลับด้วยน้ำเสียงอู้อี้ : “ท่านรู้สึกดีขึ้นบ้างหรือเปล่า?”
“อืม ดีขึ้นมากแล้ว”
ถูกซูเจ๋อทับตั้งนาน อาการเมื่อยเกร็งต้องมีเป็นธรรมดาอยู่แล้ว เฉินเสียนจึงเริ่มบิดตัว แต่พอขยับไปแค่นิดเดียว จู่ๆ เธอก็ชะงักไปโดยทันที ไม่กล้าขยับต่อแม้แต่นิดเดียว
ซูเจ๋อสังเกตเห็นปฏิกิริยาของเธอ เขาจึงพูดขึ้นด้วยความเก้อเขินว่า : “บุรุษเพศก็เป็นกันแบบนี้นี่แหละ ในทุกๆ เช้าก็จะ……”
เฉินเสียนรีบพยักหน้าเป็นพัลวัน เธอรีบพูดแก้เขินไปว่า : “อันนี้ข้ารู้ อาการแข็งตัวในตอนเช้า……”
แต่เมื่อพูดออกไปแล้ว บรรยากาศกลับยิ่งกระอักกระอ่วนกว่าเดิม เธอไม่รู้เลยว่าต่อหน้าซูเจ๋อ ตัวเธอเองกำลังพูดจามั่วซั่วอะไรอยู่
ซูเจ๋อเลิกคิ้วขึ้นสูง พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ท่านรู้?”
“ข้าหมายถึง……เคยอ่านเจอในตำรา ร่างกายของชายและหญิงนั้นแตกต่างกัน……”
ซูเจ๋อหัวเราะเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “อืม ไม่เหมือนกัน”
สายตาของเฉินเสียนลนลานไปหมด เมื่อคืนนี้เธอยังกอดแขนทั้งสองข้างของซูเจ๋อไว้แน่นไม่ยอมปล่อยอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับไม่รู้ว่าควรจะวางมือไว้ตรงไหนดี ไม่ว่าจะไว้ตรงไหนก็รู้สึกเกะกะผิดที่ผิดทางไปหมด
เธอจึงวางมือแนบข้างลำตัว นิ้วมือเธอกำชายเสื้อคลุมที่ทิ้งตัวลงมาของซูเจ๋อไว้แน่น
ผ่านไปครู่หนึ่ง เฉินเสียนก็ยังไม่กล้าคลายมือออก เธอเกร็งไปทั้งตัวจนถึงปลายเท้า
เธอหรี่ตาลงต่ำไม่กล้าสบตากับซูเจ๋อ แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “ตรงนั้น……มันจะอยู่อีกนานแค่ไหน?”
ซูเจ๋อถอนลมหายใจเบาๆ พ่นลงบนคอของเธอ แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “ครั้งนี้นานกว่าปกติ……ท่านเป็นแบบนี้ เกรงว่าข้าคงจะไม่หายง่ายๆ”
ลมหายใจร้อนผ่าวที่พ่นลงมานั้น พลอยทำให้ใบหูของเฉินเสียนแดงก่ำขึ้นมาทันที ความร้อนบางอย่างแผ่ซ่านลามไปจนถึงท้ายทอยของเธอ ซึมลึกซาบซ่านไปยันกระดูกสันหลัง