ก่อนที่การรับรู้จะเลือนหาย เฉินเสียนกลัดกลุ้มกับตัวเองเหลือเกิน
เธอคิดไม่ถึงว่าซูเจ๋อจะตีเธอให้สลบ เธอเชื่ออย่างใสซื่อว่าซูเจ๋อจะยอมโอนอ่อนผ่อนตาม
เสียแรงที่เธออุตส่าห์รู้จักเขาบ้าง สุดท้ายก็คือเธอคิดไปเองอยู่ฝ่ายเดียว ไม่ได้ระวังซูเจ๋อ จึงถูกคนคนนี้ฉวยโอกาส เขาคนนี้ดื้อดึงและน่ารังเกียจกว่าตนอีก
หากเฉินเสียนยังมีสติ ยังสามารถพูดคุยได้ เธอต้องเดือดดาลแล้วด่าเขาให้เละเลย
เสียดายที่ทุกอย่างสายไปเสียแล้ว
ประสาทการรับรู้อ้นน้อยนิดของเธอก็คงอยู่ได้ไม่นาน จากนั้นเธอก็หลับใหลไปตามร่างกาย
หากแม้นร่างกายจะสลบไสล เฉินเสียนก็ยังคงพะว้าพะวังจนขมวดคิ้วแน่นเป็นปมอย่างไม่รู้สึกผ่อนคลายเลย
เธอทุรนทุราย สมองคิดแต่เรื่องจะกลับไปช่วยเจ้าน่องน้อยอย่างไร ส่วนลึกของประสาทการรับรู้เร่งให้ตัวเองฟื้นขึ้นมาโดยเร็ว
เมื่อเฉินเสียนตื่นท้องฟ้าด้านนอกก็มืดมิดและเงียบสงบ คาดว่าคงเป็นเวลาดึกดื่นเที่ยงคืนแล้ว
สมองของเธอยังคงรู้สึกสะลึมสะลือ กระโจมอุ่นสีอ่อนล่องลอยอยู่ตรงหน้า
เธอลองหลับตาแล้วส่ายหัว พอลืมตาก็รู้สึกว่าอาการวิงเวียนศีรษะดีขึ้นบ้างแล้ว
คอด้านหลังยังรู้สึกชาเล็กน้อย ซูเจ๋อลงมือหนักไม่เบาเลย อารมณ์โมโหเฉินเสียนพลุ่งพล่านในบัดดล
เธอดีดตัวเพื่อลุกขึ้นมานั่งด้วยจิตใต้สำนึก ผลสุดท้ายคือเมื่อขยับกายแล้วบิดไปมากลับพบว่าเธอเคลื่อนไหวไม่ได้
เฉินเสียนตั้งสติแล้วสำรวจดีๆก็พบว่าแขนขาของเธอถูกเชือกริบบิ้นชนิดอ่อนนุ่มมัดไว้ ถึงเชือกจะอ่อนนุ่ม แต่วิธีผูกกลับเป็นแบบเงื่อนตาย
ถึงเธอจะดิ้นรนสุดแรงก็ไม่อาจหลุดพ้นจากพันธนาการได้
เวลาเดียวกัน ด้านข้างมีเสียงอุ่นๆแว่วเข้ามา “ข้าคิดว่าด้วยกำลังแรงที่ข้าลงมือ ท่านจะตื่นหลังฟ้าสว่าง คาดไม่ถึงว่าเพิ่งเที่ยงคืนท่านก็ตื่นเสียแล้ว”
เฉินเสียนได้ยินพลันหันไปมอง เจ้าของเสียงก็คือซูเจ๋ออย่างไม่ต้องสงสัย
และแล้วก็เห็นเขากำลังนอนหงายอยู่ ทั้งยังหลับตาพูดคล้ายกับตื่นเต็มที่แล้ว แต่ก็ยังคล้ายงัวเงียด้วย
ที่แท้เฉินเสียนก็นอนด้านในเตียง ซึ่งเป็นเตียงเดียวกันกับเขา
เธอยังไม่ได้ออกจากห้องนอนของซูเจ๋อ ทางกลับกันยังนอนเตียงเดียวกับเขาอีกต่างหาก
เฉินเสียนดิ้นรนไปพลาง กล่าวด้วยความโกรธเคืองไปพลาง “ซูเจ๋อ ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
โครงหน้าด้านข้างซูเจ๋อได้รูป จมูกสันโด่งปลายพุ่งประหนึ่งเทือกเขา ขนตาทำให้เกิดเงาใต้ดวงตาจางๆ
เขากล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ “หมายความอย่างที่ท่านเห็น”
“ท่านปล่อยข้า”
“หากข้าปล่อยท่านได้ ข้าคงไม่มัดทางไว้เยี่ยงนี้หรอก”
เฉินเสียนขดตัวกัดแทะเชือกริบบิ้นที่ผูกบนข้อมือ แต่ไม่รู้ว่าซูเจ๋อผูกเงื่อนไหน เธอยิ่งกัดก็ยิ่งแน่น ไม่เหมือนเชือกป่านที่ผูกเงื่อนตายก็ดูวิธีออก สุดท้ายก็คือแม้เธอจะพยายามแค่ไหนก็ไร้ผลอย่างสิ้นเชิง
เฉินเสียนโกรธจนอยากตีคน ขบฟันกล่าวว่า “ซูเจ๋อ ท่านมัดข้าทำไม ข้าขอเตือนท่านว่ารีบแก้มัดให้ข้าเดี๋ยวนี้”
ซูเจ๋อลืมตา ดวงตาถูกแสงเทียนสอดส่องจนสว่างไสว เขาเอียงหน้ามองเฉินเสียน ก่อนจะกล่าวว่า “ข้าให้ท่านกลับไปไม่ได้”
เฉินเสียนจ้องด้วยความกราดเกรี้ยว “กลับไม่กลับก็เรื่องข้า ไม่เกี่ยวกับท่าน”
“กลับไปจะเสี่ยงมาก ความพยายามทั้งหมดอาจสูญเปล่า” ซูเจ๋อกล่าว “ดังนั้นครั้งนี้ข้าปล่อยให้ท่านทำตามอำเภอใจไม่ได้”
เฉินเสียนกล่าว “ความพยายามที่ผ่านมาสำคัญกว่า หรือเจ้าน่องน้อยสำคัญกว่า เจ้าน่องน้อยเป็นลูกชายของข้านะ”
ซูเจ๋อใคร่ครวญก่อนจะกล่าวว่า “ในความคิดของข้า ไม่ได้สำคัญเท่าชีวิตของท่าน”
หัวใจเฉินเสียนหล่นวูบถึงก้นเหว
หากเมื่อก่อนได้ยินเช่นนี้ คงเป็นถ้อยคำที่หวานซึ้งกินใจ แต่บัดนี้เธอกลับรู้สึกโหดร้ายหลายส่วน
เธอถามเสียงแหบพร่า “ดังนั้น ท่านคิดจะละทิ้งเขา? ไม่เพียงเท่านี้ ท่านยังให้ข้าละทิ้งเขาด้วย?”
ซูเจ๋อนิ่งเงียบสักพักแล้วกล่าวว่า “เกินไปใช่หรือไม่?”
“ไม่เพียงแค่เกินไป ท่านยังเฉือนโดนหัวแก้วหัวแหวนของข้า ซูเจ๋อ ท่านอำมหิตเช่นนี้ไม่ได้นะ”
“ใช่หรือ แต่ข้าให้คนอื่นมาทำกับหัวแก้วหัวแหวนของข้าไม่ได้”
คนหนึ่งไม่ยอมถอย อีกคนไม่ยอมหลีก เมื่อเสวนามาถึงจุดนี้ทั้งสองก็ไร้วาจาสานต่อ
เฉินเสียนดิ้นรนแกะเชือกผูกต่อไป ส่วนซูเจ๋อก็หลับตาพักผ่อนต่อ
เวลาผันผ่านด้วยเหตุการณ์เช่นนี้ทีละนิด
ต่อมาเฉินเสียนเหนื่อยล้าหมดแรง ไม่ว่าเธอจะใช้แรงมหาศาลเพียงใดก็ไม่อาจหลุดพ้นได้ เรือนร่างเริ่มมีเหงื่อไหล่ซึม เธอยังคงดิ้นรนด้วยเสียงหอบเหนื่อย ข้อมือเกิดรอยแดงๆจากการเสียดสีกับเชือกมัด
เฉินเสียนทอดถอนใจ ลองเปลี่ยนวิธีเกลี้ยกล่อมซูเจ๋อ จึงเอ่ยด้วยวาจาอ่อนโยน “ซูเจ๋อ ข้อมือข้าเจ็บ ท่านช่วยข้าแก้ได้หรือไม่? มัดเช่นนี้ข้าไม่สบาย นอนไม่หลับ”
ซูเจ๋อลืมตาอย่างหลงกล หันหน้าเข้าหาเฉินเสียนแล้วเอาข้อมือเธอมาดู เมื่อเห็นรอยแดง เขาก็ใช้นิ้วมือถูเบาๆ แววตาที่เงียบสงบก่อนหน้านี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความปวดใจ
ชั่วอึดใจนั้นหัวใจของเฉินเสียนก็อ่อนยวบตาม
ซูเจ๋อกล่าวว่า “รู้ว่าเจ็บยังใช้แรงอีก? ยังดีที่เป็นเชือกริบบิ้นชนิดอ่อนนุ่ม ไม่แข็งกระด้างจนทำให้ผิวฉีกขาดหลังจากที่ใช้แรงดิ้น”
“งั้นท่านแก้มัดให้ข้าทีเถอะ”
“ข้าทายาให้ท่าน”
ซูเจ๋อลุกไปเอายามาแล้วทาบริเวณข้อมือทั้งสองข้างของเฉินเสียนในปริมาณเท่าๆกันอย่างตั้งใจ ไม่นานความรู้สึกเย็นสบายก็มาเยือน ความเจ็บปวดพลันเหือดหาย
เฉินเสียนควบคุมอารมณ์ของตน ถามอีกว่า “แล้วตอนนี้ท่านแก้มัดให้ข้าได้หรือยัง?”
ซูเจ๋อเก็บยาแล้วมานอนข้างเธอใหม่อีกครั้ง พลางกล่าวว่า “ครั้งนี้หากท่านไม่ใช้แรงดิ้นก็จะไม่เจ็บอีกแล้ว”
“……” เฉินเสียนทนมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ในที่สุดก็ทนไม่ได้อีกต่อไป กล่าวว่า “ซูเจ๋อ ท่านไม่ดื่มสุราลงโทษและยังไม่ดื่มสุราคารวะใช่ไหม”
ซูเจ๋อกล่าว “ท่านรู้ว่าข้าไม่ดื่มสุรา”
เฉินเสียนบันดาลโทสะ กล่าวแบบแตกคอกัน “เชื่อไหมว่าข้าจะตะโกนร้องให้คนมา ฟ้องท่านในฐานล่วงละเมิด”
ซูเจ๋อมองเธอแล้วกล่าวว่า”ในเรือนแห่งนี้มีพวกเราทั้งหมดสี่คน ท่านจะเรียกใครมา?”
เฉินเสียนนึกได้ทันที ใช่สิ ยังมีฉินหรูเหลียงกับเฮ่อโยวนี่ เฮ่อโยวถูกคนนี้ชักจูงกลายเป็นพวกแล้ว แต่ฉินหรูเหลียงไม่ใช่ หากฉินหรูเหลียงได้ยินเธอร้องหให้ช่วย คงต้องวิ่งมาช่วยเธอทันทีทันใด
ดังนั้นเฉินเสียนกล่าวด้วยความุ่งมั่นเด็ดขาด “ข้าเรียกฉินหรูเหลียงให้มา”
ซูเจ๋อหัวเราะเสียงเบาแล้วกล่าวว่า “หัวใจของท่านแม่ทัพฉินถูกท่านทำให้เจ็บปวดจนด้านชาแล้ว เขาไม่สนเรื่องพวกเราหรอก”
คงเป็นเพราะถูกเสียงหัวเราะเบาๆของซูเจ๋อแดกดัน กระตุ้นให้เฉินเสียนอ้าปากโห่ร้องขึ้นมา
เธอไม่หวังให้เฮ่อโยวมาช่วยเธอ แต่ก็ยังคงเรียกชื่อเฮ่อโยวหลายครั้ง เห็นเฮ่อโยวเปลี่ยนนายดังคาด ไม่ยอมปรากฏกายเสียที จึงเริ่มร้องเรียกชื่อฉินหรูเหลียงแทน
ตอนแรกฉินหรูเหลียงก็ไม่ตอบไม่ปรากฏกาย
เฉินเสียนจึงตะโกนต้องสุดชีวิต “ซูเจ๋อ ท่านอย่าเข้ามา อย่าคิดว่าตอนนี้ท่านมัดมือมัดเท้าข้าแล้ว ท่านก็จะ ท่านก็จะขึ้นขย่มข้าได้ ข้าไม่ยอมท่านหรอก อา!ไอ้ชาติชั่ว ท่านถอดเสื้อข้าทำไม ไม่เอา……”