เขาเช็ดน้ำตาเฉินเสียนตรงหางตา “ท่านคิดว่าข้าไม่ชอบเจ้าน่องน้อยหรือ? ข้าก็เคยอุ้ม เคยกล่อมเขา เขามีนิสัยสุขุม ไม่โวยวาย ข้าชื่นชอบมาก”
เฉินเสียนส่งเสียงสะอื้นเบาๆ
ซูเจ๋อกล่าวอย่างโศกเศร้า “แต่หากระหว่างท่านกับเขา ข้าเลือกได้เพียงคนเดียว ข้าจำต้องสละเขาทิ้งอย่างเลือกไม่ได้”
เฉินเสียนน้ำตาไหลรินมองเขาอย่างเลือนราง “แล้วท่านยังจำคำพูดของตัวเองตอนอยู่ในเมืองเสวียนได้หรือไม่?
ยามนั้นข้าถามท่านว่า วางแผนพวกนี้เพราะเหตุใด ท่านตอบข้าว่า เพื่อข้ากับเจ้าน่องน้อยจะได้ไม่โดนรังแกในอนาคต ท่านยินดีให้พวกข้ารังแกคนใต้หล้า แต่ไม่ยอมให้ใต้หล้ามารังแกพวกข้า
หากสุดท้ายบรรลุเป้าหมาย แต่ต้องสูญเสียเจ้าน่องน้อย สูญเสียหนึ่งในความปรารถนา แล้วจะมีประโยชน์อันใด?”
ซูเจ๋อตะลึงงัน
เฉินเสียนกล่าว “ซูเจ๋อ ไม่ใช่ว่าข้ากลับเมืองหลวงก็ต้องตายสถานเดียว ยังไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร ขอเพียงข้าพยายาม ขอเพียงต้องคิดหาหนทาง ข้าต้องช่วยเจ้าน่องน้อยได้แน่ๆ
แต่ยามนี้ข้าไม่ได้พยายามอันใดก็ทิ้งเขาอย่างไม่ใยดี อย่างนี้ก็เท่ากับว่าข้าพ่ายแพ้แล้ว
เหตุใดจึงช่วยเจ้าน่องน้อยออกมาไม่ได้ ขอเพียงช่วยเขาออกมา วันข้างหน้าจักรพรรดิก็จะไม่มีหมากที่ใช้ในการข่มขู่ข้าได้แล้ว หาไม่แล้ว พอถึงเวลา ข้าก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรออกมาอีก”
เฉินเสียนขยับแขนที่แข็งทื่อ กล่าวต่อไปว่า “ซูเจ๋อ ข้าขอร้องท่าน ปล่อยข้ากลับไปเถอะ ได้ไหม?”
ไม่รอซูเจ๋อตอบ เฉินเสียนก็เข้าไปจูบริมฝีปากเขาด้วยตัวเอง
เธอจูบเขาอย่างเร่าร้อน อยากให้เขาตอบสนองเธอ
ซูเจ๋อไม่อาจต้านทานไหว เริ่มตอบสนองช้าๆ
จากนั้น กำลังจูบอย่างเข้าด้ายเข้าเข็ม มือของเฉินเสียนที่ถูกมัดไว้ด้านหลังก็คลายออก เธอยกมือและลงมือทุบท้ายทอยซูเจ๋อด้วยความว่องไวและแม่นยำอย่างเป็นจังหวะและมีแบบแผน
เธอถูกน้ำตาอาบหน้าจนแววตาสว่างเจิดจ้าและมีสติเป็นอย่างยิ่ง
ผลสุดท้ายคือเธอทุบครั้งเดียวก็ทำให้ซูเจ๋อสลบไสลไปเลย เพื่อทุบให้เขาสลบในคราเดียว เฉินเสียนใช้กำลังแรงทั้งหมดในการลงมือ
ซูเจ๋อล้มอยู่บนกายเฉินเสียนอย่างไร้สุ้มเสียง
เฉินเสียนอุ้มเขาไว้ ทิ้งให้เขานอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นไม่ได้
แม้นว่าหลายวันมานี้ ซูเจ๋อจะมัดเธอไว้ เธอก็รู้สึกเกลียดเขาจริงๆ แต่ก็ยังคงเป็นห่วงเขา
เฉินเสียนแก้เชือกริบบิ้นบนเท้าออก จากนั้นก็รีบลุกขึ้น วางซูเจ๋อไว้บนเก้าอี้ที่เธอนั่ง
เธอก้มหน้ามองเชือกริบบิ้นในมือของซูเจ๋อ ก่อนจะดึงออกมาใช้มัดซูเจ๋ออย่างที่เขาทำกับเธอบ้าง
เฉินเสียนเอ่ยเสียงต่ำ “ท่านกล้าทำเยี่ยงนี้ต่อข้า ข้าก็จะทำด้วยเช่นกัน”
เธอมัดเงื่อนตายที่แน่นสุดๆ คาดว่าถึงซูเจ๋อจะใช้พละกำลังมหาศาลก็ไม่อาจดิ้นหลุดจากพันธนาการได้
หลังจากมัดเสร็จสรรพ เฉินเสียนก็ยืนตัวตรง จากนั้นก็ยกมือปาดน้ำตาบริเวณใบหน้าและหางตา
ไม่เสียทีที่เธอวางแผนตั้งนาน ในที่สุดก็ทำให้ซูเจ๋อเกิดความรู้สึกได้
ซูเจ๋อที่เป็นคนช่างระวังตัว หากเฉินเสียนลงมือโดยตรง เขาต้องหลบทันเป็นแน่ อย่างนี้ก็เท่ากับว่าเปิดเผยความคิดของตัวเอง ทั้งยังพลาดโอกาสทองอีกด้วย
ก่อนที่ซูเจ๋อจะเข้ามา เฉินเสียนก็ใช้เปลวไฟเผาเชือกริบบิ้นขาดลุ่ยสำเร็จแล้ว
ดังนั้นหลังจากที่ซูเจ๋อเข้ามา เฉินเสียนก็ยังคงแสร้งทำเป็นถูกมัดเช่นเดิม รอให้ซูเจ๋อเคลิ้มตามเธอก่อน ซึ่งเป็นเวลาที่ไม่ได้ระวังตัว เธอจึงถือโอกาสนี้ลงมือกะทันหัน
จึงประสบผลสำเร็จในคราวเดียว
ความจริงพิสูจน์ว่าเธอทำได้สวยงามและราบรื่นมาก
เวลานี้เฉินเสียนสงบและใจเย็นมาก ต่างจากสภาพที่ร้องไห้ฟูมฟายเมื่อสักครู่อย่างสิ้นเชิง
เธอกล่าวอีกว่า “ท่านฉวยโอกาสลงมือตอนข้าไม่ระวัง งั้นตอนนี้ก็ถือว่าหายกัน ข้าไปก่อน ข้าไม่มีทางลงใต้กับท่าน ข้าไปช่วยเจ้าน่องน้อยเอง”
พูดจบ เธอก็โค้งตัวลงไปจับเส้นผมบนบ่าซูเจ๋ออย่างอาลัยอาวรณ์
เธอไม่รู้ว่าหากกลับไปแล้ว จะได้กลับมาเมื่อไหร่ และไม่รู้ว่าจะได้เจอซูเจ๋อเมื่อใด
เฉินเสียนชักมือกลับมา ไม่เหลียวมองเขาอีก เธอพยายามออกจากห้องด้วยเสียงเบามากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เงาของเธอหลบอยู่ในความมืดมิด เธอออกจากโรงเตี๊ยมอย่างไร้สุ้มเสียง
โชคดีมากที่เฮ่อโยวกับฉินหรูเหลียงไม่ได้สังเกตเห็น
เฉินเสียนจูงม้ามาหนึ่งตัว แล้วควบม้ากลับไปยังเส้นทางเก่า
หลังออกจากจุดพักรถม้า ด้านนอกก็คือถนนทางหลวง เธอออกเดินทางโดยไม่หยุดพัก เมื่อยามพระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า เธอก็ถึงเมืองที่เพิ่งจากไปในตอนกลางวัน ซึ่งเวลานี้ก็เป็นเวลาเปิดประตูเมืองพอดี
ซูเจ๋อได้ยินเสียงกีบเท้าม้าอันเร่งรีบด้านนอกจุดพักรถม้าก็ขยิบคิ้วค่อยๆลืมตาขึ้น
ดวงตาไม่ได้มีอาการงัวเงีย สะลึมสะลือจากการตื่นนอน เขานิ่งเงียบอย่างตื่นเต็มที่แล้ว
เพียงขยับข้อมือที่ถูกมัดไว้กับเก้าอี้ เงื่อนตายที่เฉินเสียนสู้อุตห่าส์ใช้เชือกริบบิ้นผูกไว้อย่างดิบดีก็คลายออก เขาสามารถหลุดจากพันธนาการได้โดยไม่เปลืองแรงเลยสักนิด
ยามที่เฉินเสียนมัดเขา เขาขยับเล็กน้อยแบบไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว จึงทำให้ตรงกลางมีช่องโหว่
เชือกริบบิ้นที่ดูคล้ายกับผูกอย่างเหนียวแน่น หารู้ไม่ว่าเขาแค่ขยับข้อมือเข้าหากัน เชือกก็คลายออกโดยอัตโนมัติ
ซึ่งความจริงแล้วเขาไม่ได้ถูกเฉินเสียนทุบจนสลบแต่อย่างใด
ตอนที่ฉินหรูเหลียงกับเฮ่อโยวเข้ามาภายในห้อง พลางเห็นความยุ่งเหยิง ข้าวของล้มระเนระนาด ไม่ว่าจะโต๊ะหรือเก้าอี้ก็มีรอยไหม้จากการถูกเผากันทั้งนั้น
โดยขณะนี้ซูเจ๋อกำลังก้มหน้าดึงเชือกริบบิ้นบนข้อเท้าออกอย่างเอื่อยเฉือย
เฮ่วโยวกะพริบตาปริบๆ พลางกล่าวว่า “ปล่อยให้นางไปอย่างนี้เลยหรือ?”
ซูเจ๋อลุกขึ้นยืนอย่างกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนจะกล่าวว่า “หัวใจนางไม่ได้อยู่ที่นี่ ครั้งนี้นางแสดงละครได้สมจริงมาก หากไม่ปล่อยนางไปแล้วจะทำอะไรได้”
ฉินหรูเหลียงกล่าว “นางกลับไปครั้งนี้คงยากที่จะออกจากเมืองหลวงอีก ท่านต้องคิดให้รอบคอบ หากไปรั้งนางตอนนี้ก็ยังไม่สาย”
“หัวใจแม่ลูกสื่อถึงกัน นางปล่อยวางเจ้าน่องน้อยไม่ลง” ซูเจ๋อกวาดสายตามองห้องที่ยุ่งเหยิงอย่างเรียบเฉยหนึ่งรอบ พร้อมกับถอนหายใจเบาๆ “หากสุดท้ายต้องสูญเสียเจ้าน่องน้อย งั้นก็ไร้ความหมาย ครั้งนี้นางเกือบเผาห้อง หากไม่ระวังไม่รู้ว่าครั้งหน้านางจะกระทำเยี่ยงใดอีก ช่างเถอะ ให้นางไปเถอะ”
ถึงจะรู้ว่าเฉินเสียนกำลังแสดงละครตั้งแต่ต้น ซูเจ๋อก็ไม่วายที่จะรู้สึกซาบซึ้งตาม
เขาทนเห็นเธอน้ำตาไหลรินด้วยความเจ็บปวดไม่ได้ เขาไม่อยากให้ชีวิตวันข้างหน้า เฉินเสียนต้องค่อยกังวลเจ้าน่องน้อยอยู่ตลอดเวลา
เฉินเสียนพูดถูก การกลับเมืองหลวงครั้งนี้เต็มไปด้วยภยันตราย ทว่าทุกอย่างยังสามารถพยายามพลิกสถานการณ์ได้ หากหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า แม้แต่โอกาสพยายามก็ไม่มี
หากจักรพรรดิจับเจ้าน่องน้อยข่มขู่ต่อหน้าเฉินเสียน เธอจะเลือกอย่างไร?
ไม่สู้ให้เธอกลับไปเสียจะดีกว่า
เฉินเสียนมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงด้วยความเร็วสูงสุด เธอไม่ได้พักผ่อนแม้แต่นาทีเดียว ด้วยเกรงว่าซูเจ๋อตื่นมาแล้วไม่พบเธอ จะรีบไล่ตามมา
เพียงแต่เฉินเสียนเดินทางมาเป็นเวลาสองวัน แต่ก็ไร้วี่แววไล่ตาม
ทว่าซูเจ๋อวางใจให้เธอเดินทางคนเดียวเสียที่ไหน เขาแอบตามหลังเธออย่างเงียบๆโดยไม่ให้เธอรู้ตัว
เฉินเสียนเดินทางตะลอนเป็นเวลาหลายวันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ถนนทางหลวงใต้กีบม้ามีพื้นที่กว้างใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
เฉินเสียนก็ใกล้เมืองหลวงขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน เมื่อเงยหน้ามองก็จะพบกำแพงเมืองที่โอ่อ่าตระการตาสูงตระหง่านในบริเวณที่ไม่ไกลออกไปมากนัก
เธอออกมาเจอดินแดนอันกว้างใหญ่ทางประตูเมือง บัดนี้เธอก็จะต้องกลับเข้าไปด้านในผ่านประตูเมืองนี้เช่นกัน ซึ่งด้านในเป็นสี่เหลี่ยมแคบๆราวกับเป็นกรงเหล็ก
ในที่สุดก็เดินทางมาถึงเมืองหลวงเสียที