หลังจากที่พ่อบ้านเปิดประตู เฮ่อฟั่งและฉินหรูเหลียงกำลังยกเท้าก้าวเข้าไป
เฉินเสียนแข็งใจที่จะไม่เข้าไปดูซูเจ๋อ จึงเอ่ยขึ้นว่า “ใต้เท้าซูเป็นผู้ชาย ถ้าข้าเข้าไปอย่างผลีผลามมันจะไม่เหมาะ สู้ให้ข้ารออยู่ด้านนอก แล้วให้แม่ทัพกับใต้เท้าเฮ่อเข้าไปน่าจะดีกว่า ”
ที่จริงแล้วเธอกลัวว่า ถ้าเข้าไปเห็นซูเจ๋ออาจจะทำใจไม่ได้ อาการป่วยของเขาเช่นนี้ให้เฮ่อฟั่งเป็นคนสังเกตอาการจะดีกว่า
เพียงแค่ได้ยืนฟังอยู่ด้านนอกก็พอแล้ว
เฮ่อฟั่งมองเฉินเสียน แล้วพูดว่า “ไหนๆก็มาแล้ว ทำไมองค์หญิงจิ้งเสียนไม่เข้าไปด้วยกันรึ?”
เฉินเสียนพูด “ชายหญิงมีความแตกต่างกัน ข้าไม่ได้กล้าเหมือนใต้เท้าเฮ่อ ยืนฟังอยู่ด้านนอกน่าจะเหมาะสมกว่า ขอแม่ทัพทักทายแทนข้าแล้วกัน”
ชายหญิงมีความแตกต่างกัน ที่นี่เป็นห้องนอนของซูเจ๋อ ถ้าหากว่าเฉินเสียนเข้ามาด้วย มันคงจะไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
ซูเจ๋อพิงตัวอยู่ที่หัวเตียง สวมเสื้อสีขาว ผมสีดำดั่งน้ำหมึก ใบหน้าสีขาวซีด
เขาหลับตาลง เพื่อที่จะฟังคำพูดของเฉินเสียน นัยน์ตาดำนั้นดำขลับ ล้ำลึกไร้ขอบเขต
ในเวลานั้นเขาก็เอียงหูฟังและจับใจความได้เล็กน้อย สำหรับเขาแล้วคำพูดเหล่านั้นไม่ใช่การเป็นการปลอบใจแต่อย่างใด
ระหว่างทั้งสองคนมีเพียงแค่บานประตูกั้น เห็นได้ชัดว่าอยู่ใกล้กันมาก แต่มองกลับไม่เห็นซึ่งกันและกัน
เพียงประตูห้องเปิดออก เฮ่อฟั่งกับฉินหรูเหลียงก็เดินเข้าไป เฉินเสียนก็ได้กลิ่นยาที่ฉุนลอยออกมาจากภายในห้อง พร้อมกับได้กลิ่นไม้กฤษณาที่คุ้นเคย
เขาเปลี่ยนกลับไปเป็นบัณฑิตที่งดงามดั่งแสงดวงจันทร์คนเดิม
ร่างกายสะอาดหมดเกลี้ยง ไม่มีรอยบาดแผลและกลิ่นคาวเลือด มีเพียงแต่กลิ่นของกฤษณาที่ทำให้คนรู้สึกสดชื่นและมีความสุข
เฉินเสียนยืนอยู่ด้านนอก ได้ยินเสียงทักทายของเขา หัวใจก็รู้สึกทั้งเจ็บปวด และรับรู้ถึงความอบอุ่น
ความรู้สึกคนคนหนึ่งที่เก็บไว้ในใจ มันไม่ทำให้เธอว่างเปล่าและรู้สึกเหงา
น้ำเสียงคำพูดของเขาดูเรียบธรรมดา คล้ายกับคนคุยเล่นกัน แต่ก็มีความประณีตและละเอียดอ่อน เสียงพูดของเขาแหบแห้งเป็นลักษณะของคนป่วย แต่เฉินเสียนกลับรู้สึกว่าเป็นความอ่อนโยนที่พิเศษ
การเต้นของหัวใจนั้น ได้สูบฉีดเลือดให้แพร่ขยายไปทั่วร่างกายและแขนขาของเฉินเสียน เส้นประสาทของเธอทุกเส้นได้รับผลกระทบมาจากเขา
ซูเจ๋อกลับมาพร้อมเธอ
หลังจากที่เธอวิ่งล้มลงไป เขาสามารถเข้ามาพยุงเธอไว้ได้ แต่เขากลับไม่ทำ เลือกที่จะยืนอยู่ด้านหลังของเธอเฉยๆ ก่อนที่เธอจะกลับเข้าเมืองหลวงเขาทำดีกับเธอทุกอย่าง
เฉินเสียนฟังเสียงของซูเจ๋อ แล้วเงยหน้าออกไปมองท้องฟ้าสีเทานอกชายคา
จริงๆแล้วการกระทำครั้งนี้ของเขา บอกเป็นนัยแล้วว่าเขาไม่ได้สนใจเธอและปล่อยให้เธอเป็นอิสระ
หลังจากนั้นก็มีนางสนมสองคนนำอาหารตุ๋นยาจีนจากด้านนอกเข้ามา
กลิ่นของอาหารตุ๋นยาจีนนั้น บอกได้เลยว่าเป็นยาสำหรับรักษาความโศกเศร้าและบำรุงร่างกาย
เพียงแต่จักรพรรดิพระราชทานนางสนมสองคนมาให้ซูเจ๋อ เฉินเสียนก็มองเหตุการณ์ออก ซูเจ๋อได้ฆ่านางคนนั้นต่อหน้าเธอไปแล้ว
ถึงนางสนมทั้งสองคนนี้จะมีใบหน้าที่แปลกตา เพียงแต่เฉินเสียนมองดูอย่างละเอียด ก็จำไม่ค่อยได้ว่านางสนมคนเดิมนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร
ทั้งสองคนสวมกระโปรงสีสันสดใส รูปร่างอ่อนช้อย ท่าทางการเดินมีเสน่ห์เย้ายวน นั้นคล้ายกับนางสนมสองคนก่อน
มันน่าจะผ่านมานานมาก ก็คงไม่มีใครจำได้ว่านางสนมที่ฐานะต้อยต่ำนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร
ยิ่งไปกว่านั้นซูเจ๋อไม่เคยพานางสนมทั้งสองคนออกไปเปิดเผยแต่อย่างใด คนภายนอกไม่เคยได้เห็นสนมทั้งสองคนนี้อย่างแน่นอน
ซูเจ๋อไม่แน่ชัดว่า ตอนที่จักรพรรดิพระราชทานนางสนมให้ ตอนนั้นเฮ่อฟั่งไม่ได้อยู่ด้วย ดังนั้นเฮ่อฟั่งจึงไม่เคยเห็นอย่างเป็นทางการ
แม้ว่าเฉินเสียนไม่รู้ว่าซูเจ๋อได้พานางสนมสองคนนี้เข้ามาในจวนตั้งแต่เมื่อไร แต่ว่าตอนนี้เฮ่อฟั่งเป็นคนข้างกายของจักรพรรดิ ถ้าเกิดเขาไม่เห็นสองคนนี้ก็คงยังไม่ละทิ้งความสงสัยในใจของเขาได้
มิฉะนั้นแล้วเฮ่อฟั่งก็คงไม่ถามถึงนางสนมสองคนนั้นทันทีที่เขามาถึง
นางสนมเดินเข้ามาใกล้ ด้วยท่าทางที่สวยงามหยาดเยิ้มจนมาถึงด้านหน้าของเฉินเสียน โค้งคำนับเธออย่างอ่อนโยน
เฉินเสียนมองพวกนางโค้งคำนับ เผยให้เห็นลำคอสีชมพู รูปร่างภายใต้ชุดกระโปรงนั้นอ่อนช้อย ขนาดเฉินเสียนเป็นผู้หญิงด้วยกันยังรู้สึกว่านางสนมทั้งสองนั้นงดงามมาก
เมื่อก่อนซูเจ๋อไม่เคยให้คนอื่นมาช่วยเรื่องเหล่านี้ แต่ว่าตอนนี้กลับมีผู้หญิงเช่นนี้สองคนมาคอยส่งข้าวส่งยาให้
ถึงแม้ว่าจะรู้ว่าทุกอย่างมันเป็นสถานการณ์บังคับ แต่ในใจของเธอนั้นก็รู้สึกไม่เป็นสุข
เธอพูดเบาๆว่า “รีบนำยาเข้าไปให้ใต้เท้าซูเถอะ”
สองคนเข้าไปในห้อง ยื่นยาให้ด้วยความเคารพ ซูเจ๋อรับยาด้วยมือของเขา แล้วดื่มอย่างช้าๆเมื่อดื่มเสร็จแล้วจึงหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดที่ริมฝีปากของตัวเอง
เฮ่อฟั่งคิดไม่ถึงว่า จักรพรรดิจะพระราชทานผู้หญิงที่งดงามเช่นนี้ให้กับซูเจ๋อ
ความงดงามเช่นนี้ เทียบกับความงามของดอกไม้ที่วางไว้ในอาคาร ดั่งกับนางโลมที่ถูกคัดเลือกไว้อย่างเป็นเลิศ
ปกติเฮ่อฟั่งจะไม่ค่อยแสดงออกเท่าไหร แต่จริงๆแล้วเขาเป็นคนที่มักมากในกามคนหนึ่ง
เพียงแต่เขาไม่เคยออกไปเที่ยวเล่นกลางคืน เพื่อรักษาภาพลักษณ์ที่บริสุทธิ์และซื่อสัตย์ต่อหน้าองค์จักรพรรดิ แต่ไหนแต่ไรมาเขามักจะพาผู้หญิงมาค้างคืนที่บ้าน อยู่กันจนถึงเช้าอีกวันจึงค่อยส่งกลับ
ผู้หญิงที่อยู่ด้านหน้าสองคนนี้สวมใส่ชุดสีแดงสด เห็นแล้วต้องสะดุดตา รูปร่างโค้งมนอย่างอวบอิ่มทำให้เฮ่อฟั่งต้องมองแล้วมองอีก ยิ้มหัวเราะแล้วพูดขึ้นเบาๆว่า
“จักรพรรดิให้ความสำคัญกับใต้เท้าซู พระราชทานนางสนมสวยสดงดงามเช่นนี้มาให้ มิน่าเล่าเมื่อก่อนมีแต่คนข้างนอกพูดถึงกัน ใต้เท้าซูท่านเป็นชายที่มีโชคจากความงามเสียจริง”
ซูเจ๋อหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “เพียงข้ากระหม่อมซูบุญวาสนาน้อย ไม่มีวาสนาให้ได้ใช้ ทำให้ใต้เท้าเฮ่อได้หัวเราะเยาะ”
เฮ่อฟั่งพูดเหน็บแนมว่า “ก็ใช่ ข้ายังได้ยินว่าอุดมการณ์ของใต้เท้าซูไม่ได้อยู่ที่ผู้หญิงสวยเหล่านี้ แต่อยู่กับอย่างอื่น เมื่อเป็นอย่างนี้ มันช่างน่าเสียดาย”
สีหน้าของซูเจ๋อนั้นดูเหนื่อยล้า ประจวบเหมาะกับพ่อบ้านเข้ามาแล้วเอ่ยว่า “ต้องขอประทานโทษใต้เท้าทั้งสองเป็นอย่างยิ่ง หมอได้สั่งกำชับไว้ เมื่อใต้เท้าของข้าได้กินยาแล้วให้นอนพักผ่อน เมื่อสองวันก่อนใต้เท้านอนหลับใหลไม่ตื่น เมื่อเช้านี้ใต้เท้าเพิ่งจะฟื้นท่านได้พยายามอย่างเต็มที่ที่จะพยุงร่างกายมาจนถึงตอนนี้”
ดูลักษณะสีหน้าที่ป่วยของซูเจ๋อก็รู้ การป่วยครั้งนี้ของเขานั้นอาการไม่เบา
ฉินหรูเหลียงที่ไม่ได้พูดอะไรมาตลอด จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า “เจ้าพักผ่อนให้เพียงพอ พวกข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว”
ซูเจ๋อพูด “ ขออภัย ข้าซูกระหม่อมไม่มีแรงจะลุกไปส่งพวกท่านได้”
เฮ่อฟั่งพูด “เจ้าดูแลตัวเองให้ดีก่อนเถอะ องค์จักรพรรดิยังรอคำตอบจากเจ้าอยู่”
ทั้งสามคนเดินทางออกจากบ้านเขาไป
เฉินเสียนและฉินหรูเหลียงนั่งรถม้าคันเดียวกัน เพื่อกลับไปที่จวนแม่ทัพ แต่เฮ่อฟั่งนั้นกลับบ้านของตัวเอง
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า เฮ่อฟั่งที่เพิ่งกลับไปไม่นานกลับย้อนกลับมาอีก
เมื่อเขาเข้ามาในบ้าน ก็เจอกับนางสนมทั้งสองเมื่อครู่นี้อยู่กลางห้องโถง
นางสนมเมื่อเห็นเขา จึงเดินเข้ามาถามอย่างนุ่มนวล ว่า “ใต้เท้าคือคนที่ลืมของไว้?”
พูดเสร็จก็โน้มตัวยื่นสายคาดเอวไปตรงหน้าให้กับเฮ่อฟั่ง แล้วพูดว่า “สิ่งนี้ใช้ของใต้เท้าหรือไม่?เมื่อครู่มันตกอยู่ในห้องนอนของใต้เท้าซู ใต้เท้าซูเห็นจึงเรียกให้หม่อมฉันรีบนำสายคาดเอวมาคืน หวังว่าจะตามใต้เท้าทัน แต่คิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันถึงประตูใหญ่ ใต้เท้าก็กลับกันแล้ว”
เฮ่อฟั่งยังไม่รู้เลยว่าสายคาดเอวของตัวเองนั้นหล่นหายไปเมื่อใด
แม้ว่าจะไม่ใช่ที่สิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้ แต่ว่าระหว่างเขากับซูเจ๋อนั้นไม่เคยติดต่อคบหากัน และมีจุดยืนที่ต่างกัน เขาไม่ควรที่จะลืมของไว้ในบ้านของเขา เพื่อป้องกันไม่ให้มีการกุมอำนาจเกิดขึ้นในวันหน้า
เฮ่อฟั่งยื่นมือมารับไป แม้แต่คำพูดขอบคุณเขาก็ขี้เกียจพูด ในขณะที่นางสนมทั้งสองย่อตัวต่ำลง
ทำให้เขาไปแตะโดนมือของนางสนมอย่างไม่ทันได้ระวัง มือนั้นอ่อนนุ่มกว่าที่เขาคิดไว้
นางสนมแสดงสีหน้าเขินอาย เหมือนมีเรื่องอยากจะพูดแต่กลับไม่พูดออกมา
เฮ่อฟั่งที่เชี่ยวชาญในการสังเกตการแสดงออกของผู้อื่น จึงเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าสองคนมีอะไรจะพูดรึไม่?”