เมื่อตำแหน่งนี้ว่าง ไม่รู้ว่ามีกี่คนในราชสำนักที่ต้องการขจัดออก ตอนนี้ถูกเฮ่อโยวสกัดกั้นไว้ระหว่างทาง ยิ่งไม่รู้ว่ามีอีกกี่คนที่คอยจะจ้องจับผิดเฮ่อโยว
เพียงถ้าเขาทำผิดอะไรเพียงเล็กน้อย ก็ต้องมีขุนนางยื่นมติไม่ไว้วางใจอย่างแน่นอน
แน่นอนว่าเฮ่อเซียงนั้นรู้ถึงข้อดีและข้อเสียนี้ จึงเอ่ยว่า “เฮ่อโยว มันไม่ใช่เรื่องดีอะไร เดี๋ยวข้าจะกลับไปคุยกับองค์จักรพรรดิ มันยากสำหรับเจ้า ขอร้องให้จักรพรรดิคืนคำสั่งที่ประกาศออกมาแล้ว”
เฮ่อโยวพูด “ท่านมักคิดว่าข้าทำไม่ได้ ตอนแรกที่ไปเจรจาสันติภาพกับเย่เหลียงท่านก็คิดว่าข้าทำไม่ได้ แต่นั้นข้าก็ทำได้ดีใช่หรือไม่?ในสายตาของท่าน มีเพียงแค่เฮ่อฟั่งเท่านั้นที่ท่านคิดว่าจะทำได้หรอ?”
เฮ่อเซียงเงียบแล้วพูดขึ้นว่า “เจ้าพูดอะไรกัน ข้ากลัวว่าเจ้า……”
สายตาของเฮ่อโยวเคร่งขรึม เป็นสิ่งที่เฮ่อเซียงไม่ค่อยจะได้เห็น เขาพูดขึ้นว่า
“ในตอนนั้นเฮ่อฟั่งฆ่าท่านย่า ท่านก็ทำได้แค่ไล่เขาออกไป ถ้าเขาฆ่าข้า ท่านก็จะไม่ทำอะไรเขา ไม่เป็นไร ความแค้นของท่านย่า แล้วความแค้นที่เขาฆ่าชิงซิ่งโดยไม่มีเหตุผล ข้าจะเป็นคนแก้แค้นเอง”
เฮ่อโยวถือพระราชโองแล้วเดินหันไป จึงพูดขึ้น “เขาเก่งนักรึ ครั้งนี้ถ้าไม่ได้ฉีกหน้าเขาด้วยมือของข้าเอง ข้าก็ไม่ใช่เฮ่อโยวแล้ว”
เหลือเพียงเฮ่อเซียงที่ยืนนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา
วันที่สองเฮ่อโยวเข้ารับดำรงตำแหน่งฝ่ายพิธีการ
แม้จะมีสายตามากมายที่คอยจับจ้องเขา แม้แต่เพื่อนขุนางที่ร่วมงานกันจะแอบเอารองเท้าคู่เล็กให้เขา เขาก็ไม่โกรธเลยแม้แต่น้อย
เขาเพียงต้องการที่จะเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับญาติที่ถูกสังหารไป ถึงแม้เริ่มแรกมันจะยากแต่ก็จำเป็นต้องทำ
ไม่เพียงแค่เหล่าขุนนางนับร้อยที่คอยเฝ้าดูเขา องค์จักรพรรดิเองก็ยังคอยเฝ้ามองเขาอยู่เบื้องบนอีกด้วย มองว่าเขาจะมีปณิธานมุ่งมั่นที่จะฝ่าฝั่นในสถานการณ์ที่ยากลำบากได้มากน้อยแค่ไหน
วันแรกของเวลาราชการ เฮ่อโยวสวมชุดเครื่องแบบขุนนาง ยืนอยู่ท่ามกลางขุนนางนับร้อย
เป็นครั้งแรกที่เขาได้มาสัมผัสกับงานราชการในราชสำนักอย่างแท้จริง เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ฟังอยู่อย่างเงียบๆ
เมื่อถึงเวลาเลิกราชการขุนนางนับร้อยก็ถอนตัวออกจากราชสำนัก ต่างคนก็จับกันเป็นกลุ่มเล็กๆ มีแต่เฮ่อโยวที่อยู่คนเดียวเพียงลำพัง
เฮ่อฟั่งตั้งใจก้าวเท้ามาด้านหลังของเฮ่อโยว แล้วก้าวไปเหยียบชายเสื้อของเฮ่อโยว
เฮ่อโยวที่ไม่ทันได้ตั้งตัวเลยแม้แต่น้อย จึงล้มลงไปทันทีอย่างน่าเวทนา
ขุนนางที่อยู่บริเวณรอบๆนั้นจึงหยุดเดิน หันไปมองเฮ่อโยวแล้วหัวเราะ
เฮ่อฟั่งยื่นมือไปทางเฮ่อโยว ด้วยน้ำใจจริงแล้วพูดว่า “ใต้เท้าเฮ่อไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
เฮ่อโยวหน้าคว่ำลงกับพื้นครู่หนึ่ง หมัดที่กำเอาอย่างแน่นถูกคลายออก ลุกขึ้นมาอย่างลำบาก ริมฝีปากบวมจากการที่กระแทกพื้น
เขาจับมือเฮ่อฟั่งแล้วยืนขึ้น ตอบกลับว่า “ข้าไม่เป็นไร ขอบคุณใต้เท้าเฮ่อที่ยื่นมาช่วย”
เรื่องที่ใต้เท้าเฮ่อทั้งสองเป็นพี่น้องกันไม่ใช่ความลับแต่อย่างใด
ตอนนี้เฮ่อโยวก็กำลังแสดงความเคารพเขาอย่างพี่น้อง
เพียงแต่ในขณะที่เฮ่อโยวจับมือเฮ่อฟั่งนั้น เฮ่อฟั่งมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เฮ่อฟั่งคิดว่าเฮ่อโยวนั้นเป็นเหมือนแต่ก่อน เป็นคุณชายที่ถูกเลี้ยงดูปรนเปรออย่างดี กลับคิดไม่ถึงว่าแรงที่มือเขาจะมีมากขนาดนี้ บีบมือตัวเขาเองจนกระดูแทบจะหัก
เฮ่อโยวจับมือเขาไม่ปล่อย แล้วพูดขึ้นว่า “ข้าเพิ่งเข้ารับราชการใหม่ จากนี้ไปขอใต้เท้าเฮ่อได้โปรดช่วยชี้แนะ”
สีหน้าของเฮ่อฟั่งบูดเบี้ยวเล็กน้อย แอบพยายามต่อสู้ แล้วพูดว่า “นั่นเป็นเรื่องธรรมดา หากมีกระทำที่ไม่เหมาะสม ต่อให้ข้ากับเจ้าจะเป็นพี่น้องกัน เพื่อความโปร่งใสของทางการ ข้าก็ไม่สามารถปกปิดได้ ”
เฮ่อโยวยิ้มหัวเราะ ด้วยรอยยิ้มที่สดใสและสายตาที่เปร่งประกาย จึงเอ่ยว่า “เป็นเช่นนั้นดีมาก”
เขาปล่อยมือ เฮ่อฟั่งเพิ่งรู้สึกว่าได้หลุดพ้น แล้วเดินถอนหลังออกไปสองก้าว
หลังจากที่เหล่าขุนนางต่างแตกย้ายกันไปแล้ว เฮ่อโยวและเฮ่อฟั่งเดินออกจากพระราชวังพร้อมกัน
เฮ่อฟั่งชำเลืองตามอง แล้วพูดกัดฟัดอย่างเย็นชาว่า “ข้าคิดว่าเจ้าจะตายอยู่ข้างนอกเสียอีก คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายเจ้าจะยังมีชีวิตกลับมาได้”
เฮ่อโยวพูด “ข้าเป็นคนที่โชคดี แน่นอนว่าจะตายไม่ได้ ทำให้ท่านผิดหวังข้ารู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก”
เฮ่อฟั่งทำเสียงไม่พอใจ สะบัดเสื้อแล้วพูดว่า “เฮ่อโยว เจ้าคิดว่าจักรพรรดิจะจริงใจช่วยเหลือเจ้า?ไม่ช้าก็เร็วข้าจะทำให้เจ้าตกอยู่ในเนื้อมือของข้า ไม่เชื่อก็คอยดูเถิด”
พูดจบเขาก็ก้าวเท้าเดินจากเฮ่อโยวไปอย่างเร็ว
ฉินหรูเหลียงไม่ได้เข้าพระราชวัง พักผ่อนอยู่จวนแม่ทัพ
จวนแม่ทัพมีความสุขขึ้นอีกครั้งเพราะการกลับมาของฉินหรูเหลียง แต่ในเวลาต่อมาก็กลับเข้าสู่ภาวะหมดอาลัยอาวรณ์อีกครั้ง
องค์จักรพรรดิไม่ได้จัดการลงโทษฉินหรูเหลียง เพียงแต่สั่งให้เขาพักผ่อนดูแลตัวเอง ตามสภาพการณ์ของเขาในตอนนี้แม้แต่ดาบก็คงจะถือไม่ไหว จะไปเป็นแม่ทัพที่ยิ่งใหญ่ต่อไปได้อย่างไรกัน
ทางด้านหลิ่วเหมยอู่ หนึ่งวันก็จะออกจากสวนดอกพุดตานมาก่อเรื่องหนึ่งครั้ง
เฉินเสียนไม่ได้สนใจอะไรกับนาง
อวี้เยี่ยนมองเห็น จึงพูดว่า “ตอนนี้ท่านแม่ทัพไม่ได้ดูแลนางดีเหมือนแต่ก่อน นางยังจะทำ สมน้ำหน้าตอนนี้ท่านแม่ทัพแม้แต่มองก็ยังไม่มองนางเลย”
ถ้าเกิดว่าหลิ่วเหมยอู่เป็นเหมือนแต่ก่อน นางจะทำตัวน่ารักอ่อนโยนต่อหน้าฉินหรูเหลียง มันอาจจะทำให้ฉินหรูเหลียงใจอ่อนก็ได้
เพียงแต่น่าสงสาร ตอนนี้เธอเหลือแค่อารมณ์ความต้องการทางเพศ
ฉินหรูเหลียงไม่ยอมยกโทษให้นางเพราะความอัปยศของนางได้ นางต้องการให้ฉินหรูเหลียงยกโทษให้นางอยู่ทุกวัน
อย่างที่รู้กัน ฉินหรูเหลียงไม่ยกโทษให้นางได้อย่างแน่นอน จริงๆมันไม่ใช่เรื่องนั้นแล้ว
หลังจากที่ฉินหรูเหลียงกลับมา หลิ่วเหมยอู่ก็ถูกยกเลิกห้ามอยู่สวนดอกพุดตานแล้ว
วันนี้ฉินหรูเหลียงได้ออกมาข้างนอก ไม่ใช่เพื่อไปทำกิจราชการ แต่กลับเดินมาแหล่งซ่องนางโลม เมื่อถึงจึงหยุดเดิน
ตอนนี้เป็นเวลากลางวัน กิจการในหอหมิงเยว์นั่นสงบเงียบมาก
เมื่อเห็นฉินหรูเหลียงเดินเข้าไปประตูใหญ่ ผู้ดูแลจึงถามว่า “คุณชายมีสาวงามที่ถูกใจแล้วหรือไม่?ช่วงเวลานี้……สาวงามกำลังพักผ่อนกันอยู่”
ฉินหรูเหลียงหยุดนิ่ง แล้วเอ่ยว่า “ข้ามาหาเซียงซั่น”
รอไม่นาน เขาก็ถูกพาไปที่ห้องอบควันหอม
จากนั้นก็มีผู้หญิงที่แต่งหน้าสวยงดงามเข้ามาในห้อง
ฉินหรูเหลียงได้ยินเสียงจึงหันไปมอง หญิงคนนั้นเมื่อได้มองเห็นรูปร่างหน้าตาของเขา ก็ตัวแข็งทื่อในทันที
เธอที่เดินทางต่อสู้กับบททดสอบอันโหดร้ายอย่างลำบากมานาน และไม่สามารถซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ได้ เบ้าตาที่แห้งก็เริ่มมีความชุ่มชื้นขึ้นมา
นานมากที่ไม่ได้เจอกัน ผู้หญิงที่อยู่ด้านหน้าทำให้ฉินหรูเหลียงรู้สึกเป็นคนแปลกหน้า เขาแทบจะอดใจไม่ได้กับความสวยของเซียงซั่น
ฉินหรูเหลียงนึกขึ้นมาได้ เวลานั้นเป็นเขาที่มาส่งเธอในสถานที่แห่งนี้เอง
ในขณะนั้นเขาก็รู้สึกว่า เมื่อก่อนเขาได้ทำเรื่องที่สารเลวไว้ไม่น้อยเลย
เซียงซั่นต้อนรับให้บริการฉินหรูเหลียงเหมือนกับลูกค้าคนหนึ่ง ทั้งสองนั่งลง แล้วพูดคุยกัน
เมื่อฉินหรูเหลียงพูดถึงเรื่องไถ่ตัวของเธอ เธอเพียงได้แต่ยิ้ม แล้วพูดปฏิเสธว่า “ในเวลาที่ข้าต้องการคนให้ช่วยมากที่สุด ข้าก็ได้ผ่านความทนทุกข์ทรมาณมาด้วยตัวเอง ตอนนี้ข้าสบายดี ไม่ทำให้ท่านแม่ทัพต้องเป็นทุกข์ ถ้าต้องการไถ่ตัว ข้าก็รอเวลาที่เก็บตั๋วเงินให้มากพอ ที่จะไถ่ตัวเองออกไปได้ ”
อยู่ที่นี่เธอเข้าใจแล้วการฝืนตัวตัวเพื่อไปเอาใจผู้อื่น ยั่วยวนผู้อื่นด้วยความสวยของตัวเอง มีเพียงอย่างนี้ก็สามารถคลายความทุกข์ได้บ้าง ผู้หญิงสาวบริสุทธ์ที่ถูกส่งมาที่นี้ สุดท้ายแล้วก็กลายเป็นหญิงที่พเนจรอย่างยากลำบาก
ช่วงเวลาที่ฉินหรูเหลียงไม่อยู่ เซียงหลิงไม่ได้อยู่ดูแลหลิ่วเหมยอู่ให้ดี ทำให้นางวิ่งออกจากสวนพุดตาน ในมือถือกรรไกรมาหนึ่งเล่ม ตั้งใจวิ่งมาที่สวนสระวสันตฤดู
เวลานั้นแม่นมซุยที่อยู่หน้าจวน กั้นหลิ่วเหมยอู่ไว้เพื่อไม่ให้เข้ามาทำร้ายเฉินเสียนได้
เพียงแต่อวี้เยี่ยนมองเห็นความแหลมคมของกรรไกรที่อยู่ในมือของหลิ่วเหมยอู่ เกรงว่าจะไปโดยผู้อื่นได้อย่างไม่ได้ตั้งใจ หรือว่าแสดงละครเศร้าทำให้ท่านแม่ทัพเข้าใจผิด จึงพูดขึ้นว่า “แม่นางหลิ่วท่านจะทำอะไร !ท่านวางกรรไกรในมือของท่านลงก่อน!”