“เพื่อแก้แค้นให้ตระกูลหลิ่ว หลิ่วเฉียนเฮ้อไม่ลังเลเลยที่จะลี้ภัยไปเย่เหลียง พยายามก่อสงครามกับต้าฉู่ เขาฆ่าทหารของต้าฉู่ไปนับไม่ถ้วน ข้ากับเขาลงสนามรบในฐานะศัตรูหลายต่อหลายครั้ง เหตุใดข้าจึงจะไม่เห็นพี่ชายของเจ้า”
“ไม่มีทาง… เป็นไปไม่ได้…”
“หลิ่วเฉียนเฮ้อเป็นคนรักตัวกลัวตาย เพียงแค่จะลองใช้พิษสั่วเชียนโหวกับเขา เขาก็ยอมสารภาพทุกอย่าง”
“ข้าไม่เชื่อ!”
ฉินหรูเหลียงกล่าวว่า “ไม่สำคัญว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ ตอนนี้เขาถูกจับกุมแล้วและอยู่ระหว่างการคุมตัวกลับมาเมืองหลวง อีกไม่กี่วันก็น่าจะเดินทางมาถึง ถึงตอนนั้นเจ้าจะเชื่อเองเมื่อเจ้าได้เห็นเขากับตา อาชญากรรมทุกอย่างที่เขาก่อขึ้น ข้าจะยึดบทลงโทษตามกฎหมายของต้าฉู่ ประหารชีวิตเขาด้วยตัวข้าเอง”
“อย่านะ…” หลิ่วเหมยอู่คว้าชายเสื้อของฉินหรูเหลียงไว้ราวกับจะเป็นจะตาย เอ่ยอย่างหมดสิ้นทุกสิ่งอย่างว่า “ท่านแม่ทัพ ข้าขอร้องท่าน อย่าทำเช่นนี้… ทั้งหมดเป็นความผิดของเหมยอู่…”
ฉินหรูเหลียงก้มหน้ามองนางด้วยแววตาที่โศกเศร้า “ข้าไม่เคยคิดเลยว่าเจ้าจะใช้ความรักและความไว้วางใจที่ข้ามีต่อเจ้าทำเรื่องเช่นนี้ เหมยอู่ นี่มันเป็นสิ่งที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมไม่ต่างอะไรไปจากจิตใจที่อำมหิตของงูพิษ ข้าแค่แค้นใจที่ข้าไม่รู้ตัวให้เร็วกว่านี้”
หลิ่วเหมยอู่ร้องไห้สะอึกสะอื้น “ท่านแม่ทัพ… เหมยอู่รักท่านจริงๆ นะเจ้าคะ!”
ฉินหรูเหลียงเม้มริมฝีปากและเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “เพราะข้าเชื่อเจ้าอย่างไม่มีข้อแม้ รักษาสัญญาที่จะปกป้องเจ้า ข้าจึงกลายเป็นผู้ที่ช่วยเจ้าก่อกรรมทำชั่ว จนเกือบจะทำความผิดที่ชั่วชีวิตนี้คงไม่มีทางชดใช้ เป็นข้าที่ปรนเปรอเจ้าและทำให้เจ้าหยิ่งยโสมากขึ้น แต่ต่อจากนี้จะไม่มีอีกแล้ว”
ฉินหรูเหลียงสั่งอวี้เยี่ยนว่า “ไปตามเซียงหลิงให้มาพานายหญิงรองกลับไปที่สวนดอกพุดตาน แล้วไปเชิญหมอให้ไปที่นั่น”
อวี้เยี่ยนที่กำลังตกตะลึงและงงงวยอยู่เพิ่งได้สติ นางหันไปมองเฉินเสียนและแม่นมซุย
แม่นมซุยกล่าวว่า “ข้าจะดูแลองค์หญิงอยู่ที่นี่เอง เจ้ารีบไปเถอะ”
ดังนั้นอวี้เยี่ยนจึงรีบออกไปหาเซียงหลิง
เซียงหลิงออกตามหาหลิ่วเหมยอู่ไปทั่วทุกหนทุกแห่ง และตอนนี้ก็บังเอิญมาตามหาอยู่ใกล้ๆ สวนสระวสันตฤดูพอดี
ตั้งแต่ต้นจนจบ ฉินหรูเหลียงไม่ได้รู้สึกสงสารหลิ่วเหมยอู่ที่ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลเลยสักนิด
นางคิดจะใช้อาการบาดเจ็บของตัวเองเพิ่มความเกลียดชังระหว่างฉินหรูเหลียงกับเฉินเสียน แต่ท้ายที่สุดก็ล้มเหลว
ฉินหรูเหลียงไม่ได้เป็นเหมือนเมื่อก่อนที่ทนเห็นนางบาดเจ็บไม่ได้แม้เพียงเล็กน้อย เขาหันหลังให้และไม่คิดจะมองนางอีก
ตลอดครึ่งปีมานี้หลิ่วเหมยอู่เฝ้ารอคอยอยู่ทุกวัน แต่ท้ายที่สุดผลกลับไม่เป็นดั่งที่หวัง
มาถึงตอนนี้ หัวใจของนางเหมือนจะมอดดับลงไปจริงๆ
หลิ่วเหมยอู่ร้องไห้ไปหัวเราะไปราวกับคนบ้า ปากก็พูดว่า “เอ่ยมาตั้งมากมายขนาดนี้ แต่แท้จริงแล้วท่านก็แค่ตกหลุมรักนางผู้หญิงแพศยานี่ ท่านก็เลยเลือกยืนอยู่เคียงข้างนาง ท่านทิ้งข้าแล้ว ไม่ต้องการข้าแล้ว…”
“เพราะข้ารู้มานานแล้วว่าท่านตกหลุมรักนาง ดังนั้นข้าจึงต้องกำจัดนางไงละ!” หลิ่วเหมยอู่เอ่ยอย่างเคียดแค้นและบ้าคลั่ง “เดิมทีท่านเป็นของข้า ข้าจะไม่ยอมให้นางมาแย่งท่านไปอีก! ในใจของท่านมีข้าได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ดังนั้นข้าจึงอิจฉา ข้าจงเกลียดจงชัง เกลียดชังผู้หญิงทุกคนที่อยู่รอบกายท่านยกเว้นข้า…”
ท้ายที่สุดตัวนางเองก็สิ้นเรี่ยวแรงและฟุบหน้าร้องไห้อย่างน่าสมเพชอยู่บนพื้น “ท่านเคยบอกว่าจะปกป้องข้าไปตลอดชีวิต คำพูดเหล่านั้น… ฉินหรูเหลียง ตอนนี้ท่านไม่รักษาคำมั่นแล้วหรือ”
ฉินหรูเหลียงไม่ตอบ
ในอดีตฉินหรูเหลียงคิดว่าหลิ่วเหมยอู่อ่อนแอและจำเป็นต้องมีคนคอยปกป้อง ทว่าตอนนี้นางทำสิ่งเหล่านั้นลงไป จิตใจที่อำมหิตถูกห่อหุ้มอย่างแน่นหนาภายใต้หน้ากากที่ดูใจดีมีเมตตานั่น เป็นเช่นนี้แล้วนางยังจำเป็นต้องมีคนคอยปกป้องอีกหรือ
เป็นนางที่ทำร้ายคนอื่นก่อน แต่กลับเรียกร้องหาการปกป้องคุ้มครอง ช่างเป็นเรื่องที่น่าขันสิ้นดี
เซียงหลิงเข้าพยุงหลิ่วเหมยอู่ขึ้นมาจากพื้นและกล่าวว่า “นายหญิงรองกลับไปหาหมอก่อนเถิดเจ้าค่ะ ตอนนี้นายหญิงเสียเลือดมากแล้ว…”
“ข้าไม่ไป! ปล่อยให้ข้าเลือดออกตายไปเลย ถ้าจะตาย ข้าจะตายที่นี่ ตายต่อหน้าพวกท่าน! ดูสิว่าพวกท่านจะมีมโนธรรมแค่ไหน!”
ฉินหรูเหลียงหันกลับมาโดยไม่พูดอะไร จากนั้นจึงสาวเท้าเข้าไปหา ทันใดนั้นก็โน้มตัวลงและเอื้อมมือไปหาหลิ่วเหมยอู่
ประกายแห่งความหวังปรากฏขึ้นมาอีกครั้งในดวงตาของหลิ่วเหมยอู่ “ท่านแม่ทัพ เหมยอู่ไร้เรี่ยวแรง ท่านแม่ทัพช่วยอุ้มเหมยอู่หน่อยได้ไหมเจ้าคะ…”
ฉินหรูเหลียงเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “เจ้าไร้เรี่ยวแรง มือของข้าก็ไร้เรี่ยวแรงเช่นกัน เจ้ายังหวังว่าคนพิการอย่างข้าจะอุ้มเจ้าได้อีกหรือ”
หลิ่วเหมยอู่ชะงัก วินาทีต่อมานางก็คว้ามือของเขาและตะกายกอดรั้งเขาไว้แน่น น้ำตาหยดลงมาดังสายฝน “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ขอเพียงแค่ท่านแม่ทัพยื่นมือมาหาเหมยอู่ เหมยอู่ก็ดีใจมากแล้ว… เหมยอู่รู้ ท่านแม่ทัพยังคงรักเหมยอู่…”
ฉินหรูเหลียงหยุดฝีเท้าลงและกล่าวว่า “ข้าเกรงว่าหากเจ้าตายที่นี่ มันจะรบกวนความสงบสุขของผู้อื่น”
หลิ่วเหมยอู่ตัวแข็งทื่อ
ฉินหรูเหลียงบอกกับเฉินเสียนว่า “ท่านพักผ่อนเถิด ข้าไม่รบกวนละ”
จากนั้นเขาก็พาหลิ่วเหมยอู่ก้าวยาวๆ ออกไปจากสวนสระวสันตฤดู โดยมีเซียงหลิงเดินตามไปข้างหลังอย่างไม่มีปากเสียงใดๆ
บรรยากาศภายในสวนสระวสันตฤดูสงบลงภายในชั่วระยะเวลาอันสั้น เป็นความสงบที่ไม่ได้สัมผัสมานาน
อวี้เยี่ยนกล่าวว่า “ในที่สุดก็จบเรื่องของนางหลิ่วเสียที บ่าวรู้ว่าไม่ช้าก็เร็วเรื่องที่นางทำลงไปจะต้องถูกเปิดเผยเข้าสักวัน ท้ายที่สุดนางก็ได้รับผลกรรมที่นางก่อ ช่างโล่งใจเสียจริง ท่านแม่ทัพเองก็ตาบอดนักจึงชอบนางเข้าไปได้”
เฉินเสียนกลับเข้าไปในห้องเพื่อพักผ่อน ในขณะที่แม่นมซุยกำลังทำความสะอาดคราบเลือดบนพื้น
หลังจากนั้นอวี้เยี่ยนจึงนำช้าร้อนๆ มาให้และเอ่ยกับเฉินเสียนว่า “บ่าวไม่คิดเลยว่าคราวนี้ท่านแม่ทัพจะยืนเคียงข้างองค์หญิงอย่างถึงที่สุดเช่นนี้”
เฉินเสียนกล่าวว่า “เขาแค่ยืนอยู่ข้างข้อเท็จจริง”
“เช่นนั้นก็แสดงว่าท่านแม่ทัพกับองค์หญิงก็ปรับความเข้าใจกันแล้วใช่ไหมเพคะ”
อวี้เยี่ยนหันไปมองแม่นมซุยที่กำลังทำความสะอาดลานอยู่ข้างนอก สีหน้าของนางดูหม่นมัวลง จากนั้นจึงลดเสียงลงและเอ่ยว่า “เห็นได้ชัดว่ากลับมาคราวนี้ ท่านแม่ทัพปฏิบัติต่อองค์หญิงเปลี่ยนไปมาก บ่าวเห็นว่า ถ้าเขายอมเจ็บปวดเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดในอดีต เขาก็นับว่าเป็นคนดีคนหนึ่ง เช่นนั้นองค์หญิง…”
เฉินเสียนกล่าวว่า “หมายความว่าเจ้าเปลี่ยนใจไปอยู่ข้างเขาแล้วงั้นหรือ”
“บ่าวเพียงแต่คิดว่าคนอย่างท่านแม่ทัพ หากจะยอมทำดีกับใครสักคนย่อมทำอย่างเต็มใจ ไม่ได้มีเจตนาแอบแฝง ไม่เหมือนกับใครบางคนที่ไม่มีรู้ว่ามีแรงจูงใจอะไรซ่อนไว้”
เฉินเสียนเหลือบมองนางและพูดว่า “เจ้าหมายถึงซูเจ๋อรึ เขามีจุดมุ่งหมายอะไร หาเรื่องเจ้างั้นรึ?”
ถ้าเธอจำไม่ผิด ทันทีที่ซูเจ๋อกลับมาเขาก็ล้มป่วยอยู่ที่เรือน อวี้เยี่ยนไม่น่าจะได้พบเจอกับเขาไม่ใช่หรือ
นอกจากนี้อวี้เยี่ยนจะรู้ได้อย่างไรว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างทาง จะรู้ได้อย่างไรว่าซูเจ๋อทำอะไรเพื่อเธอบ้าง
ถึงอย่างไรอวี้เยี่ยนก็มีอคติต่อซูเจ๋อ
อวี้เยี่ยนอยากจะพูดอะไรอีก แต่เมื่อเห็นแม่นมซุยกลับมานางจึงลังเลว่าจะพูดดีหรือไม่ สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่พูดต่อแล้วหันไปบอกว่า “องค์หญิงทรงพักก่อนเถิดเพคะ บ่าวจะไปเตรียมอาหารกลางวันให้องค์หญิง”
สองสามวันต่อมา หลิ่วเฉียนเฮ้อก็ถูกคุมตัวกลับมาถึงเมืองหลวง
เขายังคงถูกขังอยู่ในกรงที่เฉินเสียนทำกุญแจหายและไม่มีใครคลายล็อกกรงนั้นได้
หากจะตามผู้ชำนาญด้านการปลดล็อกของเมืองหลวงมาคลายกุญแจก็ยังต้องใช้ความพยายามอีกเล็กน้อย ดังนั้นจึงตัดสินใจขังเขาไว้ในกรงเพื่อรอรับการตัดสินคดีจากราชสำนัก
ฉินหรูเหลียงเป็นแม่ทัพสูงสุดในการบัญชาการรบกับเย่เหลียงในเวลานั้น ทั้งยังได้ประจันหน้าฟาดฟันกับหลิ่วเฉียนเฮ้ออยู่หลายครั้ง เขาจึงคุ้นเคยกับหลิ่วเฉียนเฮ้อเป็นอย่างดี
ดังนั้นเขาจึงขอเป็นคนลงโทษหลิ่วเฉียนเฮ้อด้วยตนเอง และจักรพรรดิก็ทรงอนุญาต