“ขอโทษ? เจ้าทำอะไรผิดงั้นหรือ”
หลิ่วเหมยอู่ตอบว่า “เมื่อก่อนข้าทำผิดไว้มาก ข้าทำร้ายให้องค์หญิงให้ได้รับบาดเจ็บ มันเป็นความผิดของข้า ข้าอยากขอให้องค์หญิงอภัยให้ข้า จากนี้ต่อไปข้าตั้งใจจะปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น ไม่ทำให้องค์หญิงต้องทรงลำบากพระทัยอีก”
เฉินเสียนเอ่ยอย่างขบขันว่า “เหมยอู่ เจ้าคงลำบากใจมากกว่าจะพูดคำเหล่านี้ออกมาได้ ปากบอกว่าขอโทษ แต่นอกจากคำพูดที่แห้งแล้งเหล่านี้ ข้าไม่เห็นว่าเจ้าจะมีความจริงใจตรงไหนเลย”
“เช่นนั้นองค์หญิงจะให้ข้าทำอย่างไร” หลิ่วเหมยอู่ถาม
เฉินเสียนเอ่ยเรียบๆ ว่า “ไม่ใช่ว่าเจ้าร้องไห้เก่งหรอกหรือ ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ต่อหน้าท่านแม่ทัพเจ้าร้องไห้จะเป็นจะตาย ช่างบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง ตอนนี้ถ้าเจ้าร้องไห้อาจจะดูจริงใจขึ้นมาหน่อย”
“องค์หญิงดูหมิ่นข้ารึ” ใบหน้าของหลิ่วเหมยอู่ซีดเผือด แววแห่งความเกลียดชังที่ไม่อาจลบล้างค่อยๆ ปรากฏขึ้นในแววตาของนางอย่างควบคุมไม่ได้
“ข้าดูหมิ่นเจ้าอย่างไรกัน” เฉินเสียนกล่าว “ข้าขอให้เจ้ามางั้นรึ”
เซียงหลิงกระซิบเตือนอยู่ทางด้านหลัง “นายหญิง อย่าลืมนะเจ้าคะว่ามาที่นี่ทำไม…”
หลิ่วเหมยอู่พยายามอดทนอดกลั้นและกล่าวว่า “เป็นข้าเองที่มาเพื่อขอโทษ ครั้งนี้ข้าต้องการปรับความเข้าใจกับท่านจริงๆ ข้ายอมก้มหัวให้ท่านทุกอย่าง ท่านจะว่าอย่างไรบ้าง”
เฉินเสียนหัวเราะเยาะและกล่าวว่า “เจ้าเป็นฝ่ายก้มหัวให้ข้าเอง ข้าจึงต้องยอมรับมัน? เจ้ามาหาข้าเพื่อขอโทษ ข้าจึงต้องร่วมมือกับเจ้า? เหมยอู่ จนถึงตอนนี้เจ้ายังถือตัวเองเป็นสำคัญอยู่เลย”
เธอรินชาให้ตัวเองเพิ่มอีกถ้วยพลางกล่าวว่า “เจ้ามาขอโทษ ข้าจะขออะไรไม่ได้เลยหรือ? ถึงเจ้าไม่มาขอโทษข้า ข้าก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร เจ้าจะสู้หรือไม่ก็เรื่องของเจ้า แต่ข้ากับเจ้าไม่มีอะไรต้องปรับความเข้าใจกัน”
“เฉินเสียน” หลิ่วเหมยอู่กัดฟันกรอด “ท่านเกลียดข้าขนาดนี้ อยากจะเห็นข้าสิ้นหวังเต็มทีใช่หรือไม่!”
เฉินเสียนเอ่ยอย่างสงบว่า “จะว่าเกลียดก็ไม่ถูก ข้าก็แค่อยากเห็นเรือของเจ้าล่มกลางท้องร่อง” (*ในท้องร่องไม่มีลมและคลื่น เรือจึงไม่ควรล่ม หมายถึง ความผิดพลาดที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น)
“ท่าน!”
“ถ้าจะบอกว่าเกลียด เจ้าต่างหากเป็นคนที่เกลียดข้ามากที่สุด ตอนนี้ต้องเป็นฝ่ายมาแสร้งทำดีกับข้า คงจะลำบากใจเจ้ามากแน่ๆ”
เฉินเสียนยิ้ม “ถ้าเจ้าไม่สิ้นไร้หนทาง เจ้าจะมาหาข้าที่นี่ทำไม แทนที่จะพูดอ้อมค้อมขอปรับความเข้าใจ สู้พูดกันแบบเปิดอกเลยไม่ได้กว่ารึ ว่าเจ้ามาที่นี่เพื่อหลิ่วเฉียนเฮ้อ”
เฉินเสียนเป็นฝ่ายเปิดเผยจุดประสงค์ของหลิ่วเหมยอู่
เฉินเสียนเอ่ยอย่างไม่แยแสว่า “หลิ่วเฉียนเฮ้อทำผิดร้ายแรงและเป็นนักโทษหลบหนี กำลังจะถูกประหารโดยใช้ม้าห้าตัวแยกร่าง เจ้าไปขอร้องท่านแม่ทัพไม่สำเร็จจึงต้องมาหาข้าที่นี่ คิดว่าถ้าข้ายอมนำเรื่องนี้ไปขอความเมตตากับท่านแม่ทัพให้ ไม่แน่ท่านแม่ทัพอาจจะยอมลดหย่อนโทษ… ไหนเจ้าลองบอกสิ มีเหตุผลอะไรที่ข้าต้องช่วยเจ้า ในเมื่อทั้งเจ้าและหลิ่วเฉียนเฮ้อพยายามจะเอาชีวิตข้า”
หลิ่วเหมยอู่ตอบว่า “ถ้าครั้งนี้ท่านช่วยไปขอร้องท่านแม่ทัพแทนท่านพี่ของข้า เราจะไม่มองว่าท่านเป็นศัตรูของพวกเราอีกต่อไป”
เฉินเสียนยิ้ม เธอเลิกคิ้วและบอกว่า “แบบนี้ไม่เห็นจะคุ้มสำหรับข้าเลย ถ้าหลิ่วเฉียนเฮ้อตายไป ศัตรูของข้าก็ลดน้อยลงไปหนึ่งคนแล้วไม่ใช่หรือ ส่วนเจ้า แค่บีบนิดเดียวเจ้าก็ตายแล้ว ยังพูดได้อีกหรือว่าเป็นศัตรู”
ไม่รู้ว่าหลิ่วเหมยอู่เกลียดหรือเสียใจ ดวงตาของนางแดงก่ำ “แล้วท่านต้องการอะไรกันแน่ ขอแค่… ไม่สั่งให้ข้าไปจากท่านแม่ทัพ ไม่ว่าท่านต้องการอะไรก็ได้ทั้งนั้น”
“รวมถึงทำลายหน้าตาของเจ้าให้เสียโฉม ทำลายร่างกายของเจ้าให้เสียโฉมด้วยน่ะรึ” เฉินเสียนถามอย่างไม่ใส่ใจ
หลิ่วเหมยอู่เงยหน้ามองด้วยความตกใจ “ท่านแม่ทัพบอกว่าข้าโหดเหี้ยม แต่ความจริงแล้วท่านโหดเหี้ยมยิ่งกว่าข้า!”
เฉินเสียนกล่าวว่า “อย่าได้ตื่นตระหนกไป ข้าก็แค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้น จะลองดูความจริงใจของเจ้าเสียหน่อย” สีหน้าของเฉินเสียนสงบลง เธอหลุบตาลงและกล่าวว่า “มีเพียงเรื่องเดียวที่ข้าต้องการให้เจ้าทำ”
“ทำอะไร”
เฉินเสียนเหลือบมองนางและกล่าวว่า “เจ้าน่าจะยังจำเรื่องราวสมัยที่ยังเป็นเด็กได้ ตอนนั้นเราเรียนที่โรงเรียนไท่ด้วยกัน ก่อนที่เจ้าจะมา ข้ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับฉินหรูเหลียง ข้าอยากรู้ว่า เจ้าใช้วิธีใดทำให้ฉินหรูเหลียงยอมละทิ้งมิตรภาพที่มีต่อข้า และเลือกที่จะปกป้องเจ้าอย่างมุ่งมั่น”
ใบหน้าหลิ่วเหมยอู่ขาวซีด นางเผยอปากและพูดว่า “เป็นเพราะท่านแม่ทัพสงสารข้าที่ไม่มีความผิด การที่ท่านแม่ทัพต้องการปกป้องข้า มันเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย”
เฉินเสียนหรี่ตาและเดินเข้าไปใกล้ จ้องตรงไปยังใบหน้าที่งดงามของนางราวกับว่าเธอมองทะลุผ่านหัวใจของนางได้ เธอกล่าวว่า “ไม่เกี่ยวกับเจ้าเลยจริงๆ หรือ? เจ้าใช้วิธีไหน เจ้าเองรู้ดีอยู่แก่ใจ ในเมื่อเจ้าไม่อยากพูดแล้ว อวี้เยี่ยน ส่งแขก”
หลิ่วเหมยอู่ไม่คิดอยากจะพูดถึงเรื่องในอดีตเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่นางกลัวมากที่สุดก็คือการปล่อยให้ฉินหรูเหลียงรู้เรื่องนี้ ดังนั้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางจึงได้แต่เก็บงำเรื่องเหล่านี้เอาไว้กับตัว
แต่เฉินเสียนก็เป็นหนึ่งในผู้ที่เกี่ยวข้อง หลิ่วเหมยอู่กำลังคิดว่าแท้จริงแล้วเธอมีกลอุบายอะไรหรือเปล่า หากพิจารณาตามสติปัญญาของเฉินเสียนในตอนนี้ เธอน่าจะพอเดาอะไรได้บ้าง
หลิ่วเหมยอู่เร่งร้อนอยากจะช่วยพี่ชาย นางไม่คิดจะทอดทิ้งเขาและถอดใจไปง่ายๆ เช่นนี้ ดังนั้นเมื่ออวี้เยี่ยนมาเชิญกลับ นางจึงไม่ยอมไป
หลิ่วเหมยอู่กล่าวเพียงว่า “เป็นท่านเองที่ต้องการรู้เรื่องนี้ หรือว่าท่านอยากนำไปบอกให้ท่านแม่ทัพรู้กันแน่ ตราบใดที่ท่านสัญญาว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับท่านแม่ทัพ ข้าจะบอกท่าน แต่ท่านต้องสาบานด้วยพิษ”
เฉินเสียนชายตามองนางอย่างเหยียดหยามและกล่าวว่า “หลิ่วเหมยอู่ เจ้านี่เข้าใจอะไรๆ บ้างไหม ตอนนี้เจ้ามาขอให้ข้าช่วย แต่กลับจะให้ข้าสาบานด้วยพิษงั้นหรือ… ข้าแค่อยากจะรู้ความจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้นในอดีตเท่านั้น ถึงแม้จะอยากนำไปบอกกล่าวให้ท่านแม่ทัพรู้ แต่ในเมื่อไม่มีหลักฐาน ท่านแม่ทัพคงไม่เชื่อ ถ้าเจ้าอยากพูดก็พูดมา ถ้าไม่อยากพูดก็ไสหัวออกไปซะ”
ต้องบอกว่าที่เฉินเสียนพูดมาก็มีเหตุผล
แม้ว่าหลิ่วเหมยอู่จะเล่าให้ฟังในวันนี้และเฉินเสียนนำไปบอกท่านแม่ทัพ เธอก็ไม่มีหลักฐานอะไรอยู่ดี ตราบใดที่หลิ่วเหมยอู่ยืนกรานปฏิเสธ เฉินเสียนก็ไม่มีทางทำอะไรนางได้
ไหนเลยจะรู้ว่าเวลานี้ฉินหรูเหลียงกำลังนั่งเงียบๆ อยู่หลังฉากกั้น ที่ด้านหน้าของฉากกั้นมีชุดกระโปรงแขวนอยู่ จึงบดบังเงาของเขาได้อย่างมิดชิด
เขานิ่งเฉยราวกับรูปปั้น สีหน้าของเขาเย็นชาราวกับน้ำค้างแข็ง มือทั้งสองข้างวางอยู่บนหัวเข่า ข้อต่อนิ้วเป็นสีขาวเล็กน้อย
“ก็ได้ ข้าบอกก็ได้”
หลิ่วเหมยอู่ตัดสินใจแล้ว นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และหวนนึกถึงอดีต “ตอนนั้นข้าเพิ่งมาที่เมืองหลวง เพราะข้าไม่ได้ดีเทียบเท่าคุณหนูคนชายที่อยู่ในเมืองหลวง จึงทั้งถูกเยาะหยันและถูกดูแคลน ในตอนนั้นท่านเป็นองค์หญิงที่ทุกคนรักและโปรดปราน ข้าอยู่ในกำมือของทุกคน ข้าอยากเปลี่ยนมัน ดังนั้นจึงต้องเข้าหาท่าน”
หลิ่วเหมยอู่ตอนนั้นใช้ชื่อว่าหลิ่วเชียนเสวี่ย”
เฉินเสียนในอดีตอาจจะไม่ได้คิดป้องกันและคิดว่าหลิ่วเหมยอู่ต้องการผูกมิตรกับนางอย่างจริงใจ ดังนั้นเฉินเสียนจึงถูกท่าทีที่ใสซื่อและน่าสงสารของนางหลอก จนเฉินเสียนปรารถนาที่จะปกป้องนาง ไม่เพียงแต่ยอมรับนางอย่างจริงใจ แต่ยังคอยปกป้องไม่ให้นักเรียนในโรงเรียนไท่รังแกนางด้วย
หลังจากนั้นหลิ่วเหมยอู่ก็มักจะอยู่กับเฉินเสียน เมื่อเฉินเสียนมีของอร่อยหรือของเล่นสนุกๆ ก็มักจะนึกถึงนางเป็นคนแรก ช่วงเวลานั้นนางมีชีวิตที่สดชื่นมาก
แม้ว่าลับหลังจะมีคนบอกอยู่เสมอว่าหลิ่วเหมยอู่พยายามเอาใจองค์หญิง แต่สำหรับเฉินเสียน ทุกๆ คนต่างปฏิบัติกับนางในฐานะองค์หญิงและไม่กล้าทำตัวใกล้ชิดนางจนเกินไป มีเพียงหลิ่วเหมยอู่เท่านั้นที่อยู่ใกล้ชิด ดังนั้นนางจึงถนอมมิตรภาพระหว่างนางกับหลิ่วเหมยอู่มาก
เฉินเสียนในอดีตอาจจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดสิ่งต่างๆ จึงกลายมาเป็นเช่นนั้นในภายหลัง
นั่นเพราะหลิ่วเหมยอู่ไม่เคยปฏิบัติต่อนางอย่างจริงใจ ที่หลิ่วเหมยอู่เข้ามาใกล้ชิดนาง มาตีสนิทนาง ล้วนมีจุดประสงค์เพียงเพราะว่า… นางเป็นองค์หญิง
เฉินเสียนกล่าวว่า “พูดต่อเถอะ”