อวี้เยี่ยนพูดขึ้นด้วยความโกรธเคืองต่อว่า : “ถ้าจะให้พูดขึ้นมาแล้วล่ะก็ นางน่าขยะแขยงกว่าเซียงซั่นมาก เซียงซั่นมีจุดจบแบบนั้น แต่พอมาวันนี้ ท่านแม่ทัพกลับเพียงแค่ไล่นางไปเท่านั้น
หม่อมฉันว่า ควรจะขายนางให้กับหอหมิงเย่ว์ หรือส่งนางไปอยู่รวมกับพี่ชายของนาง ก็ไม่เกินกว่าเหตุเลยแม้แต่นิดเดียว”
“นี่คงจะเป็นความรู้สึกครั้งสุดท้ายที่ฉินหรูเหลียงมีให้กลับหลิ่วเหมยอู่กระมัง ยังไงเสียเรื่องของพวกเขา ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับข้า”
เมื่อเรื่องนี้ผ่านไป ฉินหรูเหลียงก็ได้ประกาศกับคนในจวนของท่านแม่ทัพ ว่าตั้งแต่นี้เป็นต้น หลิ่วเหมยอู่ไม่ใช่นายหญิงรองของจวนท่านแม่ทัพอีกต่อไป
สำหรับเรื่องนี้ เขาไม่ได้โยนหนังสือการหย่าร้างให้กับหลิ่วเหมยอู่ต่อหน้าสาธารณชน ก็ถือว่าเป็นการไว้หน้ามากแล้ว
ในเมื่อหลิ่วเหมยอู่ไม่ใช่นายหญิงรองอีกแล้ว ก็ควรจะออกจากจวนท่านแม่ทัพไป
เพียงแต่ว่านางยังคงคิดถึงการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ นางยังคงมีร่องรอยของภาพลวงตาเกี่ยวกับฉินหรูเหลียง ที่คิดว่าฉินหรูเหลียงจะกลับใจ และเปลี่ยนใจกลับมาให้โอกาสนางอีกครั้ง
หลิ่วเหมยอู่ไม่ยอมออกจากสวนดอกพุดตานไป แต่ก็ไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายเหมือนก่อนหน้านี้
ขณะที่พ่อบ้านได้เชิญหลิ่วเหมยอู่ออกจากจวนไปนั้น จู่ๆ นางก็ถือกรีชจี้ไปที่คอของตัวเองด้วยมือที่สั่นเทา พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “หากพวกเจ้าจะไล่ข้าไป ข้ายอมตายที่นี่เสียยังดีกว่า!”
พ่อบ้านเองก็ไม่อยากที่จะเอาชีวิตของคนมาเสี่ยง เมื่อลองหลายๆ วิธีแล้ว แต่กลับไม่เป็นผลเลย
พ่อบ้านที่จนปัญญา ท้ายที่สุดจึงตัดสินใจไปเชิญเฉินเสียนมา
เฉินเสียนพูดขึ้นอย่างใจเย็นว่า : “นางอยากจะอยู่ก็ให้นางอยู่ต่ออีกหน่อยก็แล้วกัน รอจนถึงวันที่หลิ่วเฉียนเฮ้อถูกลงโทษ นางก็จะจากไปเอง”
เพียงไม่นาน ก็มาถึงวันที่หลิ่วเฉียนเฮ้อถูกลงโทษ
เช้าตรู่ที่ตลาดเต็มไปด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานาของบรรดาเหล่าราษฎร
ว่ากันว่าเขากำลังจะประหารนักโทษที่เป็นกบฏหักหลังราชอาณาจักร และยังเป็นผู้ที่สังหารทหารนับไม่ถ้วนในสนามรบ
เมื่อเหล่าราษฎรได้พูดถึงเขา ต่างก็กัดกรามแน่นด้วยความโกรธ เหล่าทหารที่ตายไป ล้วนถูกคัดมาจากเหล่าราษฎรทั้งนั้น
ในตอนที่พวกเขาส่งเหล่าทหารออกไปนั้น ทหารเหล่านี้ก็ไม่มีวันจะกลับมาได้อีก พวกเขาจะไม่เจ็บปวดรวดร้าวและไม่โกรธแค้นได้อย่างไรกัน
ในตอนนี้มีนักโทษคนนี้แล้ว เหล่าราษฎรจึงโยนความโกรธแค้นและความเจ็บปวดทั้งหมดไปยังนักโทษคนนั้นคนเดียว
และในตอนที่หลิ่วเฉียนเฮ้อถูกส่งไปบนถนนนั้น เหล่าราษฎรต่างพากันเคียดแค้นด้วยความโกรธ ผักที่เหี่ยวเฉาและไข่ที่เน่าเสีย ถูกปาไปยังหัวของหลิ่วเฉียนเฮ้อทั้งหมด
เขาที่ถูกเคลื่อนย้ายมาตามถนน ถูกผู้คนนับไม่ถ้วนทั้งก่นด่าและสาปแช่งตลอดทาง
หากไม่มีเจ้าหน้าที่และทหารรักษาความสงบเรียบร้อยอยู่ทั้งสองฝั่งแล้วล่ะก็ เกรงว่าหลิ่วเฉียนเฮ้อคงจะถูกเหล่าราษฎรฉีกเป็นชิ้นๆ กลางถนนเป็นแน่แท้
ฉินหรูเหลียงเป็นประธานผู้พิพากษาของวันนี้ เขาขี่ม้านำอยู่ด้านหน้าสุด ตามมาด้วยรองผู้พิพากษา และเฮ่อโยวเองก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย
วันนี้เฉินเสียนตื่นตั้งแต่เช้าตรู่
อวี้เยี่ยนและแม่นมซุยรีบจัดการชำระร่างกาย แล้วจึงรับประทานอาหารเช้า
ในขณะที่อวี้เยี่ยนกำลังสวมชุดให้กับเฉินเสียนอยู่นั้น นางก็ถามขึ้นว่า : “วันนี้องค์หญิงจะออกไปข้างนอกหรือเปล่าเพคะ?”
“แน่นอน” เฉินเสียนเชิดคางขึ้นเล็กน้อย แล้วจดกระดุมที่คอเสื้อ พูดขึ้นอย่างใจเย็นว่า : “วันนี้เป็นวันสำคัญเชียวนะ”
อวี้เยี่ยนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงดีใจว่า : “งั้นรอให้องค์หญิงทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว เดี๋ยวหม่อมฉันจะรีบไปเตรียมเลยเพคะ แล้วองค์หญิงจะให้เรียกนางหลิ่วไปด้วยหรือเปล่าเพคะ?”
“เรียกนางด้วย นางยังพอมีโอกาสที่จะบอกลากับพี่ชายของนาง”
หลิ่วเหมยอู่ที่ในตอนแรกไม่ยอมออกจากจวนเลยแม้แต่ก้าวเดียว แต่นางได้ยินมาว่าวันนี้คือวันที่พี่ชายของนางหลิ่วเฉียนเฮ้อจะถูกประหารชีวิต หากวันนี้ไม่ไปเจอหน้าเขาสักครั้ง ชาตินี้ทั้งชาติก็คงไม่มีโอกาสจะได้เห็นหน้าเขาอีก
ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดแล้วนางจะไม่สามารถช่วยหลิ่วเฉียนเฮ้อได้ แต่อย่างน้อยได้ส่งเขาหน่อยก็ยังดี
อวี้เยี่ยนหยิบเสื้อคลุมสวมทับให้กับเฉินเสียน เธอยืนรอที่หน้าประตูจวนอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อหันหน้ากลับไปก็เห็นหลิ่วเหมยอู่ที่ในที่สุดก็ยอมออกมาเสียที คนรับใช้ในจวนท่านแม่ทัพต่างพากันถอนหายใจอย่างโล่งอก ราวกับได้ส่งเทพแห่งโรคระบาดออกจากจวนไปก็ไม่ปาน
หลิ่วเหมยอู่เดินเข้ามาใกล้ นางไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะต่อกรกับเฉินเสียนตั้งนานแล้ว
เฉินเสียนหยั่งเชิงนาง เธอยิ้มขึ้นที่มุมปากพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับหลิ่วเฉียนเฮ้อลึกซึ้งไม่เบาเลยนี่ ถึงแม้ว่าเขาจะเคยขายเจ้าให้กับท่านแม่ทัพ ทำให้ท่านแม่ทัพรู้เรื่องที่ไม่สมควรจะรู้เข้า มันคงจะดีหากว่าเจ้าจะภักดีกับท่านแม่ทัพเหมือนที่เจ้าพักดีต่อเขา”
หลิ่วเหมยอู่ก้มหน้าลงต่ำด้วยอาการสั่นเทา และไม่กล้าจะพูดอะไรออกมา
นางกลัวว่าถ้าหากนางพูดอะไรออกไป แล้วทำให้เฉินเสียนเปลี่ยนใจขึ้นมา แม้แต่หน้าสุดท้ายของหลิ่วเฉียนเฮ้อก็ไม่ให้นางเจอ
เฉินเสียนไม่เสียเวลาต่อ เธอรีบขึ้นรถม้า หลิ่วเหมยอู่ที่ถึงแม้จะน่ารังเกียจ แต่สุดท้ายก็ต้องให้เข้าไปนั่งในรถม้าด้วย แล้วจึงเดินทางตรงไปยังลานประหาร
เมื่อถึงปากทางใกล้กับตลาดใหญ่ ผู้คนมากมายแออัดกันเต็มไปหมด รถม้าจึงไม่สามารถวิ่งต่อไปได้เลย ทำได้แค่เพียงขยับทีละนิดเท่านั้น
เฉินเสียนเปิดม่านขึ้นมาดู เห็นผู้คนเต็มท้องถนนที่กำลังเต็มไปด้วยความโกรธแค้น ปากที่กำลังพากันก่นด่าหลิ่วเฉียนเฮ้อนั้น ด่าทั้งตระกูลยันโคตรเหง้ากันเลยทีเดียว
เธอเหลือบไปมองหลิ่วเหมยอู่อยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “ได้ยินแล้วหรือยัง พ่อแม่พี่น้องและภรรยาของเหล่าทหารที่ถูกฆ่าตายไปในสนามรบนั่น ต่างก็เกลียดชังและรู้สึกคับแค้นหลิ่วเฉียนเฮ้อเข้ากระดูกดำเลยเชียว”
หลิ่วเหมยอู่นั่งอยู่ในมุมรถม้า นางกัดริมฝีปากจนขาวซีด เนื้อตัวสั่นเทาไม่ได้พูดอะไรออกมา
ด้านนอกนั้นเต็มไปด้วยผู้คนที่อยากจะให้ หลิ่วเฉียนเฮ้อตายไปเสีย สำหรับนางแล้วนี่เป็นสิ่งที่โหดร้ายอย่างยิ่ง และน่ากลัวอย่างที่สุด
รถม้าไม่สามารถเคลื่อนตัวต่อได้ เฉินเสียนจึงพาอวี้เยี่ยนและแม่นมซุยลงรถม้าเพื่อเดินเอา
หลิ่วเหมยอู่เองก็ถูกแม่นมซุยดึงให้ลงรถม้ามาด้วย นางเหมือนหวาดผวากับการเจอผู้คนเป็นอย่างมาก นางยืนตัวหดอยู่ด้านหลังตลอด หากไม่ใช่เพราะแม่นมซุยคอยดึงเธอให้เดิน เกรงว่าคงจะถูกผู้คนเบียดจนแบนไปตั้งนานแล้ว และหากล้มลงไปนอนกับพื้นล่ะก็ คงจะถูกเหยียบจนเละแน่ๆ
ในขณะที่เฉินเสียนกำลังจูงมืออวี้เยี่ยนฝ่าฝูงชนเดินไปข้างหน้าอยู่นั้น จู่ๆ เฉินเสียนก็รู้สึกว่ามีคนกำลังจ้องมองเธอจากทางด้านหลัง และแอบติดตามเธอด้วย
เมื่อเฉินเสียนหันหน้ากลับไป ก็เห็นเพียงผู้คนเท่านั้น และถ้าหากมีคนตามเธอมาจริง เธอก็คงแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร
เฉินเสียนไม่คิดอะไรมาก ไม่ว่าเธอจะไปที่ไหน ไปทำอะไร แล้วไม่มีคนจ้องจับผิดเธอนี่สิถึงจะผิดปกติ
แม้แต่จวนท่านแม่ทัพยังมีสายของ องค์จักรพรรดิมาคอยสอดแนมเลย ทุกการขยับและการเคลื่อนไหวของเธออยู่ในกำมือของผู้อื่นเสมอ นับประสาอะไรกับนอกประตูจวนท่านแม่ทัพล่ะ
สิ่งที่หลิ่วเฉียนเฮ้อพบเจอบนถนนสายนี้ ล้วนเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
ผักใบและไข่ที่เน่าเสีย ถูกปาเต็มไปหมด
ด้านหน้าก็เป็นปากทางตลาดแล้ว
วันนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ปากทางเข้าตลาดมีเจ้าหน้าที่และขุนนางใหญ่โต แท่นประหารถูกสร้างขึ้นสูงมาก รอบๆ เต็มไปด้วยทหารและเจ้าหน้าที่คอยเฝ้าระวังและดูแลอย่างใกล้ชิด
เวลานี้หลิ่วเฉียนเฮ้อได้ถูกนำตัวขึ้นไปไว้บนแท่นประหารเพื่อรอประหารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ผู้พิพากษาทั้งสามนั่งอยู่ด้านบน รอเวลาอันควรอย่างสงบสุขุม
ทางฝั่งของเฉินเสียนเองก็ฝ่าฝูงชนจนเข้ามาถึงด้านหน้าอย่างทุลักทุเล นี่ก็ใกล้ยามประหารเข้าทุกทีแล้ว หากล่าช้ากว่านี้ก็จะไม่ทันเวลาประหารของหลิ่วเฉียนเฮ้อแน่ๆ
จากนั้นจู่ๆ เฉินเสียนก็นำถุงเงินขึ้นมา หยิบเศษเงินก้อนมาจำนวนหนึ่งโปรยไปยังท่ามกลางกลุ่มผู้คน แล้วตะโกนเสียงดังว่า : “เงินใครตกกัน! ตกเต็มพื้นไปหมด!”
เมื่อทุกคนได้ยินแล้ว ต่างก็เห็นว่ามีเศษเงินหล่นเต็มพื้นจริงๆ ด้วย จึงพากันวิ่งเข้าไปแย่งเงินกันทันที
เฉินเสียนฉวยโอกาสนี้รีบฝ่าดงเข้าไปด้านใน
เนื่องจากผู้คนเยอะมาก เหล่าทหารจึงล้อมแท่นประหารไว้อีกรอบ เพื่อกันเหล่าราษฎรบุกเข้าไปยังลานประหาร
ทหารที่อยู่ด้านหน้า ใช้กระบอกของปืนเงินขวางไว้อยู่ จึงไม่สามารถเดินต่อไปได้
จากตรงนี้ไปจนถึงลานประหารมีระยะห่างพอสมควร และคนข้างล่างนี่ก็เยอะเกินไป ไม่รู้ว่าฉินหรูเหลียงจะเห็นเฉินเสียนหรือเปล่า แต่เมื่อเฉินเสียนเงยหน้าขึ้นมาดู ก็เห็นฉินหรูเหลียงที่สีหน้าเรียบเฉยไร้ซึ่งความรู้สึก
หลิ่วเฉียนเฮ้อถูกขังไว้ในกรง ผมเผ้ารุงรัง ใบหน้ามองไม่ออกเลยด้วยซ้ำ เห็นเพียงเงาของโครงร่างรางๆ เท่านั้น