เด็กถามด้วยความสงสัย “ข้ารู้เพียงว่ามองคนอื่นเข้าห้องน้ำจะเป็นตากุ้งยิง มองพวกท่านเล่นกันก็เป็นตากุ้งยิงได้หรือ?”
เฉินเสียนเห็นรอยยิ้มจากมุมปากของซูเจ๋อ ซึ่งต่างจากปกติที่มักจะทำเหมือนคล้ายมีคล้ายไม่มี ส่วนตอนนี้เธอสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ประหนึ่งรอยยิ้มที่เมื่อแล้วเป็นต้องหลงใหลด้วยความว้าวุ่นใจ
เฉินเสียนหลงเสน่ห์รอยยิ้มของเขาจนลืมตอบคำถาม
มารดาเด็กออกมาดึงหูบุตรชายเข้าห้องอีกครั้ง พลางกล่าวว่า “บอกให้เจ้าไม่ต้องออกมา ทำการบ้านเสร็จหรือยัง?”
ผ่านไปสักพัก สตรีเจ้าบ้านใส่ผ้ากันเปื้อนแล้วเดินออกมา กล่าวกับเฉินเสียนและซูเจ๋ออย่างเป็นมิตร คงเป็นเพราะรับเงินไปไม่น้อยจึงรู้สึกเกรงใจ กล่าวว่า “ดูเวลาแล้วพวกท่านคงจะยังไม่ได้กินอาหารเที่ยง หากพวกท่านไม่รังเกียจ ข้าจะทำอาหารเรียบง่ายให้ทาน?”
เฉินเสียนตอบเต็มปากว่า “งั้นก็รบกวนฮูหยินแล้ว”
ขอเพียงได้ชิดใกล้ซูเจ๋อ เธออยากอยู่ที่เรือนนี้ต่ออีกหลายวันเลยทีเดียว
เฉินเสียนมองซูเจ๋อแล้วช่วยเขาจัดแจงอาภรณ์ พลางยิ้มจางๆ “ท่านล่ะ ยุ่งไหม จะอยู่ทานอาหารเที่ยงไหม?”
แววตาซูเจ๋อเปล่งประกายด้วยความสุขและครึ้มอกครึ้มใจ กล่าวว่า “หิวบ้างแล้วเช่นกัน”
สตรีเจ้าบ้านเข้าครัว จึงไม่มีเวลาดูแลบุตรชาย ได้ยินมาว่าสามีนางออกไปรับจ้างทำงานด้านนอก เวลาพลบค่ำถึงจะกลับมา
ในเรือนอากาศหนาว เด็กน้อยจึงเอาโต๊ะเก้าอี้มาตั้งที่ลานบ้าน พลางนั่งตัวตรงทบทวนตำรา
เขาอ่านบทเรียนมั่วๆ ด้วยความที่สตรีเจ้าบ้านซึ่งกำลังเข้าครัวอยู่มีความรู้ไม่เพียงพอ ดังนั้นจึงฟังอะไรไม่ออก
ขอเพียงได้ยินบุตรชายอ่านตำรา นางก็พึงพอใจแล้ว
ซูเจ๋อกับเฉินเสียนก็รอทานข้าวเที่ยงอยู่ในลานบ้านอย่างไม่รู้สึกเบื่อหน่าย ถึงแม้ลานบ้านจะเล็ก หากแต่มีข้าวของจัดวางไว้มากมาย ที่มุมกำแพงยังเลี้ยงแม่ไก่ไว้ตัวหนึ่ง ซึ่งกำลังพาลูกไก่ออกหาอาหาร
ซูเจ๋อได้ยินเสียงเด็กอ่านตำรา พลางขมวดคิ้วมุ่น
เห็นเด็กกำลังอ่านอย่างสนุกสนาม เขาก็ไปยืนด้านข้างเด็ก แล้วกวาดสายตามองหนังสือในมือเด็กชาย กล่าวว่า “อาจารย์สอนเจ้าอ่านเยี่ยงนี้หรือ?”
เด็กพยักหน้าหงึกๆ “อาจารย์บอกให้ฝึกอ่านบทความจนคล่อง พรุ่งนี้จะสอบในห้องเรียน”
ซูเจ๋อยกคิ้วไม่แสดงท่าทางใดๆ กล่าวว่า “เจ้าอ่านได้คล่องมาก หากแต่อักษรในหนังสือเจ้าอ่านถูกแล้วหรือ?”
เด็กเกาศีรษะ “ข้ารู้สึกว่าถูกอยู่นะ หากอ่านผิด อาจารย์ก็คงแก้ไขให้”
ปกติซูเจ๋อไม่ค่อยชอบอยู่กับเด็กสักเท่าไหร่ สาเหตุก็เพราะเขาชอบความเงียบสงบ และธรรมชาติของเด็กก็มักจะร่าเริง ซุกซนอย่างไม่หยุดหย่อน
แต่เขาไม่รู้สึกเช่นนั้นกับเด็กคนนี้ เด็กเบิกตาคู่สุกใสมองเขา ส่วนอารมณ์ของเขาก็ดีพิเศษ จึงแนะนำให้เด็กคนนี้อย่างเหมาะสมสองสามประโยค
เด็กชายฟังอย่างใจจดใจจ่อ พลางกล่าวว่า “ท่านสอนไม่เหมือนอาจารย์ แต่ข้ารู้สึกว่าท่านสอนดีกว่า”
เมื่อได้ยินบทสนทนา สตรีเจ้าบ้านก็ชะเง้อมอง หลังจากเห็นซูเจ๋อกำลังแนะนำบุตรชายของตนพลันรู้สึกกึ่งกังวลกึ่งชื่นใจ
ชื่นใจที่มีคนสอนตำราบุตรของตน นางต้องอยากให้เกิดสิ่งดีๆอย่างนี้ต่อไป และสิ่งที่เป็นกังวลก็คือเขาสอนไม่เหมือนกับสำนักศึกษา ถ้าเกิดสอนผิดล่ะ ควรทำเช่นไรดี?
เฉินเสียนเห็นสตรีเจ้าบ้านมีสีหน้าสับสนซับซ้อน พลางยิ้มกล่าวว่า “ฮูหยินต้องการให้ข้าช่วยหรือไม่?”
สตรีเจ้าบ้านจึงโบกมือให้เฉินเสียน เอ่ยด้วยความเกรงใจว่า “แม่นางท่านนี้เข้ามาก่อนได้หรือไม่?”
เมื่อเฉินเสียนเข้ามายังห้องครัว กลิ่นหอมของข้าวอุ่นๆก็โชยมาแตะจมูก เธอกล่าวว่า “ขอบคุณฮูหยินจากใจจริง ยังอุตส่าห์ทำอาหารให้พวกข้าทานโดยเฉพาะ”
สตรีเจ้าบ้านกล่าวว่า “หามิได้ พวกท่านยังไม่ได้ทานข้าว เมื่อมาถึงเรือนข้า ข้าควรต้อนรับขับสู้อยู่แล้ว แม่นางอย่าได้หัวเราะข้าเลย ข้าไม่เคยร่ำเรียนมาก่อนเลยไม่รู้หนังสือ คุณชายด้านนอก……เมื่อครู่ได้ยินบุตรชายกล่าวว่าเขาสอนไม่เหมือนอาจารย์?”
เฉินเสียนหันกลับไปมองซูเจ๋อแวบหนึ่ง ยกคิ้วกล่าวว่า “เขาเก่งกว่าอาจารย์ในสำนักศึกษาเสียอีก และไม่ได้สอนใครง่ายๆ คงฟังเด็กอ่านบทเรียนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เขาเลยคิดจะสอนดูกระมัง”
เฉินเสียนเอ่ยพร้อมกับเตรียมท่าจะออกไป “หากฮูหยินไม่วางใจ ข้าจะบอกให้เขาหยุด”
ยังไม่ทันก้าวพ้นประตูธรณี สตรีเจ้าบ้านท่านนี้ก็รีบดึงตัวเฉินเสียนไว้ รีบผงกศีรษะกล่าวว่า “เฮ้อ ข้าวางใจ ข้าวางใจแน่นอน ขอเพียงคุณชายผู้นี้ไม่รังเกียจที่สอนบุตรชายข้า ข้าก็ดีใจที่สุดแล้ว”
ฮูหยินไปเพิ่มฟืนที่เตา แล้วเอามือเช็ดที่ผ้ากันเปื้อน ก่อนจะหันมากล่าวกับเฉินเสียนต่อว่า “ข้าเห็นท่านกับคุณชายต่างหน้าตาดีกันทั้งคู่ ดูแล้วเหมาะสมจริงๆ”
เมื่อสตรีรวมตัวกัน เสียงซุบซิบพูดคุยก็บังเกิด
ประโยคนี้ได้ใจเฉินเสียนเหลือหลาย เธอมองซูเจ๋อที่อยู่ในลานบ้านอย่างไม่รู้ตัว ครั้งแรกที่ถูกคนอื่นเอาทั้งคู่มาแสดงความคิดเห็น ช่างรู้สึกดียิ่งนัก
สตรีเจ้าบ้านเห็นกับตาว่าซูเจ๋อกับเฉินเสียนกอดจูบกันนอกประตู มองแล้วก็รู้สึกหน้าแดงหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ จึงรู้ว่าพวกเขาสองคนมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อกัน
สตรีเจ้าบ้านกล่าวอีกว่า “เพียงแต่ด้านนอกมีคนตามหาพวกท่าน พวกท่านเลยมาหลบในเรือนข้า?”
เฉินเสียนกล่าว “ดีที่ฮูหยินช่วยเหลือ พวกเราบุกเข้ามารบกวนฮูหยินในเรือน ต้องขออภัยจริงๆ”
สตรีเจ้าบ้านโบกมือกล่าวว่า “อืม ไม่ต้องเกรงใจข้า เรื่องเล็กน้อยเอง สมควรทำอยู่แล้ว ตอนนั้นข้าตกใจจริงๆ โชคดีที่ตอบสนองทันเวลา จึงไม่ได้ตะโกนร้องออกไป”
นางพูดพลางใช้แววตาคลุมเครือ ก่อนจะกล่าวต่อไปว่า “แม่นางกับคุณชาย……แอบหนีตามกันมาใช่หรือไม่?”
เฉินเสียนกระตุกมุมปาก
สตรีเจ้าบ้านกระซิบกล่าวว่า “เป็นสตรีต้องรู้จักรักษาความสุขในยามบั้นปลายชีวิตให้ดี มีเพียงได้อยู่กับบุรุษในดวงใจจึงจะมีความสุข พวกท่านตกลงเรื่องแต่งงานกันหรือยัง?”
เฉินเสียนเหงื่อซึมด้วยความเขินอาย “อืม ถือว่าใช่กระมัง”
“ยอดไปเลย” สตรีเจ้าบ้านกล่าวว่า “คุณชายท่านนี้หน้าตาหล่อเหลา บุคลิกสง่างาม ต้องเป็นคนไม่เลวเลย แม่นางต้องถนอมให้ดีนะ ด้านนอกมีนางจิ้งจอกแพศยามากมาย ท่านต้องดูให้ดีเชียว อย่าปล่อยให้สตรีพวกนั้นมาหมายปอง”
สตรีเจ้าบ้านกล่าวด้วยความจริงใจและถูกต้อง เฉินเสียนผงกศีรษะอย่างรับรู้ พลางกล่าวว่า “ขอบคุณฮูหยินที่เตือน ข้าจะไม่ให้สตรีหน้าไหนมีโอกาสครอบครองเขา”
สตรีเจ้าบ้านถามอีกว่า “งั้นต่อจากนี้พวกท่านวางแผนจะทำอย่างไรต่อ? คืนนี้จะออกจากเมืองหรือไม่ สามีข้าอาจช่วยพวกท่านได้นะ”
เฉินเสียนชะงัก ถามว่า “พี่ชายทำงานรับจ้างไม่ใช่หรือ แล้วจะช่วยได้หรือ? อีกอย่างพอฟ้ามืดประตูเมืองก็ปิดแล้ว อยากออกก็คงออกไปไม่ได้”
สตรีเจ้าบ้านกล่าวว่า “อืม เมื่อครู่ไม่ได้พูดละเอียด สามีข้าช่วยขุนนางซ่อมแซมประตูเมือง ถือว่าเป็นงานหลวงได้กระมัง ประตูเมืองขาดนี่เสริมนั่น จำเป็นต้องใช้คนน่ะสิ เช่นนี้ประตูเมืองถึงจะแข็งแรงทนทาน”
นางกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ “เขาทำงานที่นั่นหลายปีจนกลายเป็นมิตรสหายกับทหารเฝ้าประตูเมืองแล้ว หากพวกท่านอยากออกจากเมืองในยามวิกาล พวกข้าก็ช่วยพวกท่านเอง ล้วนเป็นสามัญชนเช่นกัน ต้องคอยช่วยเหลือกันอยู่แล้ว ข้าจะให้เขาไปคุยกับทหารเฝ้ายามที่เป็นสหายของเขา ไม่แน่ว่าอาจจะแอบเปิดช่องประตูเมืองไว้ให้ก็ได้”