พ่อบ้านถอดถอนใจและกล่าวว่า “แม่บ้านจ้าว นี่เป็นคำสั่งของท่านแม่ทัพ เราขัดคำสั่งไม่ได้ ไปเชิญองค์หญิงออกมาเดี๋ยวนี้เถอะ ไม่อย่างนั้นข้าคงต้องให้คนเข้าไปเชิญองค์หญิงออกมา”
แม่บ้านจ้าวกระสับกระส่าย ดูเหมือนว่าถึงอย่างไรวันนี้ก็คงหลบไม่พ้นอยู่ดี องค์หญิงก็ทำตัวแปลกๆ ทำไมจึงไม่บอกอะไรนางล่วงหน้าเลยสักคำ! ตอนนี้นางไม่รู้เลยว่าควรจะรับมืออย่างไร
ทันทีที่สิ้นเสียง ใครบางคนก็เปิดประตูออกมา
เฉินเสียนสวมชุดสะอาดเรียบร้อยยืนอยู่ในกรอบประตู หน้าท้องของเธอนูนขึ้นมาเล็กน้อย สีหน้าเรียบเฉยเป็นปกติ
น่าจะเป็นเพราะว่ากำลังตั้งครรภ์ รอบๆ ตัวเธอจึงมีประกายแสงอ่อนๆ ของความเป็นแม่ ถึงแม้รอยแผลเป็นบนใบหน้าจะดูขัดตา แต่ก็ดูน่ากลัวน้อยกว่าเมื่อก่อนมาก
เฉินเสียนวางมือลงบนหน้าท้องของตนเองโดยไม่รู้ตัว พลางเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นคำสั่งของท่านแม่ทัพ ข้าจะทำให้พ่อบ้านลำบากไปด้วยได้อย่างไร”
พ่อบ้านโค้งคำนับ ประสานมือคารวะและเอ่ยว่า “บ่าวซาบซึ้งในน้ำพระทัยขององค์หญิง”
หลังจากนั้นเฉินเสียนจึงตามพ่อบ้านไปที่ลานด้านหน้า
อวี้เยี่ยนและแม่บ้านจ้าวติดตามไปอย่างใกล้ชิด รู้ว่าถึงอย่างไรก็หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี ถ้าท่านแม่ทัพกล่าวโทษ ทั้งสองคนก็พร้อมจะปกป้ององค์หญิง จะไม่ยอมให้ใครทำร้ายเด็กในท้องของนางเด็ดขาด
ตอนนี้เด็กมีอายุมากกว่าห้าเดือนแล้ว เขาคึกคักและมีชีวิตชีวาอยู่ในท้องของเฉินเสียน แล้วแบบนี้จะปล่อยให้เกิดปัญหากับเขาได้อย่างไร เด็กคนนี้โตขึ้นมาและผ่านเรื่องราวเลวร้ายมามากแล้ว หากร่างกายของมารดาเป็นอันตราย โอกาสที่จะเสียชีวิตก็มีสูงมาก
ดังนั้นอวี้เยี่ยนและแม่บ้านจ้าวจึงไม่อาจผ่อนคลายได้เลย
ทั้งสองรู้สึกกระวนกระวายมาก แต่ไม่รู้เลยว่าทำไมองค์หญิงของพวกนางจะทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น! ทำเพียงแค่ถามสองสามคำอย่างไม่ใส่ใจนัก
เฉินเสียนถามว่า “ตอนนี้นายหญิงน้อยเป็นอย่างไรบ้าง”
“รักษาอาการบาดเจ็บแล้วพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ยังหลับใหลไม่ได้สติ ครั้งนี้นายหญิงน้อยบาดเจ็บสาหัสจริงๆ ถ้าไปพบช้ากว่านี้ก็คง…”
ผลที่ตามมาอาจเป็นหายนะ
เฉินเสียนพยักหน้าและกล่าวว่า “ถ้าไปพบช้ากว่านี้เกรงว่าปลิงเหล่านั้นคงเจาะตัวจนทะลุ โชคดีที่วันนี้พ่อบ้านพาคนไปทำความสะอาดสระจึงพบนายหญิงน้อยทันเวลาและช่วยชีวิตนางไว้ได้”
“เป็นหน้าที่ที่บ่าวควรทำอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ถึงอย่างไรพ่อบ้านก็ทำหน้าที่เป็นพ่อบ้านอยู่ในจวนแม่ทัพมาหลายปี หลังจากเกิดเรื่องเช่นนี้เขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไร
ถ้าตอนนั้นเฉินเสียนไม่ออกปากเตือนเขา เขาคงไม่รีบพาคนไปทำความสะอาดสระ หากไปถึงที่นั่นช้ากว่านี้ เกรงว่าชีวิตของนายหญิงน้อยคงจะร่วงโรยไม่ต่างจากดอกไม้
นอกจากนี้พ่อบ้านยังตระหนักได้ว่าเรื่องนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับองค์หญิง แต่พวกเขาเป็นเพียงผู้น้อย ถ้าอยากอยู่อย่างสงบก็จำต้องเงียบปากไว้
ยิ่งไปกว่านั้นถ้าองค์หญิงต้องการฆ่านายหญิงน้อยจริงๆ นางก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องมาเตือนเขาเลย ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาก็จะไม่รับรู้สิ่งใดที่จะนำใช้ปรักปรำนางได้
แม้จะไม่รู้ว่านายหญิงน้อยตกลงไปในสระได้อย่างไร แต่องค์หญิงก็เป็นผู้ที่ยืมมือของเขาไปช่วยนายหญิงน้อยไว้
ผ่านมาถึงตอนนี้ เฉินเสียนจัดการเรื่องต่างๆ ได้อย่างเด็ดขาดและเรียบร้อยจนทำให้พ่อบ้านยอมรับ และพ่อบ้านเองก็ไม่อยากให้เกิดอันตรายใดๆ กับนางและเด็กในท้อง
แต่ดูเหมือน… องค์หญิงจะไม่ใส่ใจเรื่องของตัวเองเลย มันทำให้คนอื่นอดกังวลแทนนางไม่ได้จริงๆ!
พ่อบ้านที่อยู่ข้างๆ เอ่ยอย่างหวังดีว่า “เวลานี้ท่านแม่ทัพกำลังโกรธมาก โชคดีที่แม้นายหญิงน้อยจะได้รับบาดเจ็บแต่ก็ยังช่วยชีวิตไว้ทัน เมื่อพบท่านแม่ทัพ องค์หญิงทรงอย่าแข็งข้อนะพ่ะย่ะค่ะ เมื่อควรก้มเศียรพระองค์ต้องก้มเศียร หากไม่คิดถึงพระองค์เองก็ควรนึกถึงบุตรด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนขมวดคิ้วและพูดว่า “เจ้าคิดว่าข้าทำอะไรผิดงั้นหรือ”
คำถามนี้ทำให้พ่อบ้านไม่กล้าถามต่อ
เฉินเสียนกล่าวอีกว่า “แม่ทัพฉินมีนิสัยชอบกล่าวโทษข้าอย่างไม่สนถูกผิด แต่ข้าไม่ได้มีนิสัยชอบโค้งคำนับให้เขาอย่างไม่สนถูกสนผิด”
พ่อบ้านเอ่ยอย่างจำใจ “บ่าวพูดผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ในไม่ช้าพวกเขาก็มาถึงลานด้านหน้า ฉินหรูเหลียงกำลังนั่งอยู่ในโถงบุปผาด้วยท่าทางที่ติดจะเย็นชา
ข้ารับใช้ในจวนยืนอยู่ที่ทั้งสองฝั่งของโถงบุปผา แม้แต่ผู้ลงโทษเฆี่ยนตีก็ถูกเรียกมาด้วย
ยังไม่ทันจะเข้าไปในโถงบุปผา พวกเขาก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันอันท่วมท้นที่ทำให้แทบหายใจไม่ออก ซึ่งความรู้สึกทั้งหมดนั้นแผ่ออกมาจากฉินหรูเหลียง
พ่อบ้านก้าวไปข้างหน้าและกล่าวว่า “ท่านแม่ทัพ องค์หญิงเสด็จแล้วขอรับ”
“บอกให้นางเข้ามา!” ฉินหรูเหลียงสั่ง เสียงของเขาทุ้มต่ำจนแทบจะเหมือนเสียงคำรามด้วยความโกรธถึงขีดสุด เสียงนั้นทำให้คนรับใช้ที่อยู่ข้างๆ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
เฉินเสียนปล่อยมือไว้ข้างกาย ชายของชุดกระโปรงเอวสูงแขนบานที่เธอสวมพลิ้วไหวไปตามสายลม เธอก้าวเข้าไปยังโถงบุปผาด้วยสีหน้าที่นิ่งสงบ
อวี้เยี่ยนกับแม่บ้านจ้าวจะก้าวตามไปแต่ถูกบ่าวสองคนขวางเอาไว้ตรงหน้าประตู
อวี้เยี่ยนกังวลจนหน้าซีด นางผลักไม้พลองที่บ่าวผู้นั้นกั้นเอาไว้แล้วกล่าวว่า “ปล่อยข้าเข้าไป!”
ฉินหรูเหลียงเงยหน้าขึ้นและเหลือบมองอวี้เยี่ยนที่อยู่หน้าประตู แววอาฆาตปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา
โดยไม่รอให้เขาออกคำสั่ง เฉินเสียนก็ส่งเสียงขึ้นมาก่อน เป็นน้ำเสียงที่น่าเกรงขามและเยือกเย็น เธอหันไปกล่าวกับอวี้เยี่ยนว่า “อวี้เยี่ยน ถอยออกไป”
อวี้เยี่ยนนิ่งไม่ไหวติง “องค์หญิง…”
“คำพูดของข้าไม่มีความหมายรึ แม่นมจ้าวก็ด้วย ถอยออกไปเดี๋ยวนี้”
เธอเพียงแต่กลัวว่าถ้าอวี้เยี่ยนกับแม่บ้านจ้าวยังชะเง้อชะแง้อยู่ที่หน้าประตูอยู่อย่างนั้น ฉินหรูเหลียงจะสั่งให้คนมาลากทั้งสองคนไปลงโทษก่อนจะได้พูดอะไร
พ่อบ้านเห็นดังนั้นจึงเรียกให้คนมาดึงทั้งสองออกไป ในเวลานี้การเข้ามาขวางก็เหมือนการเติมเชื้อเพลิงลงในกองไฟ ทำให้ฉินหรูเหลียงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟมากขึ้นกว่าเดิมก็เท่านั้น
เฉินเสียนเหยียดหลังตรง ยืนอยู่อย่างภาคภูมิในโถงบุปผา เธอชายตาขึ้นเล็กน้อย จ้องตรงไปที่ฉินหรูเหลียงอย่างไม่หวั่นกลัว จากนั้นจึงกล่าวอย่างสบายๆ ราวกับกำลังพูดคุยเรื่องสัพเพเหระ “ได้ยินว่าท่านเรียกหาข้า”
ฉินหรูเหลียงมองเธออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเม้มริมฝีปากแน่น เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้จึงยังรักษาท่าทีภายนอกให้สงบได้อีก!
ไม่ว่าใครจะอยู่หรือตายนางก็ยังคงสงบอยู่ได้เสมอ
เป็นไปได้หรือที่นางจะไม่รู้ว่าตอนนี้เขาแทบจะอยากบีบคอนางให้ตายคามือ
บรรยากาศในโถงบุปผาทั้งอึมครึมและกดดัน ฉินหรูเหลียงกับเธอมองหน้ากันอยู่นาน ก่อนที่เขาจะเอ่ยด้วยคำพูดที่เย็นเยียบไปถึงขั้วกระดูก “เดิมทีข้าก็ไม่อยากทำให้ท่านลำบากใจ แต่เป็นท่านเองที่ไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด คุกเข่าลงซะ”
เฉินเสียนขมวดคิ้ว “ว่าอย่างไรนะ”
“ข้าบอกให้ท่านคุกเข่า”
เฉินเสียนรู้สึกเหมือนได้ยินเรื่องตลก เธอเพียงแต่เอ่ยเบาๆ โดยที่ไม่มีท่าทีตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย “ท่านขอให้ข้าคุกเข่ารึ”
ฉินหรูเหลียงหมดความอดทนและสั่งบ่าวที่อยู่ข้างๆ ว่า “ทำให้นางคุกเข่าลงซะ!”
ถึงอย่างไรฉินหรูเหลียงก็เป็นผู้นำครอบครัว แม้ว่าเฉินเสียนจะเป็นองค์หญิง แต่คนเป็นบ่าวย่อมต้องเชื่อฟังคำสั่งของฉินหรูเหลียง
ด้วยเหตุนี้บ่าวจึงเดินเข้าไปหาพร้อมถือไม้ไม้พลองในมือ กล่าวว่า “องค์หญิงโปรดทรงอภัย” พูดจบก็ยกไม้ขึ้นมาและเตรียมฟาดลงไปที่ขาของเฉินเสียน
ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ทนรับแรงของไม้พลองนี้ได้ เมื่อทนไม่ได้ก็มีแต่จะต้องยอมคุกเข่าลงกับพื้นเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ขณะที่กำลังจะเหวี่ยงไม้ลงไป เฉินเสียนก็หรี่ตาลงและหันกลับมาอย่างกะทันหัน เธอจ้องมองบ่าวที่ถือไม้พลองอย่างเฉยชา
ผู้เป็นบ่าวหยุดชะงัก มือที่ขยับของเขาไม่เร็วเท่ากับมือของเฉินเสียน เธอยกมือขึ้นมาจับไม้พลองของเขาไว้
หนีบไม้พลองนั้นไว้ด้วยสีหน้าเฉยเมย ไม่ว่าบ่าวจะออกแรงมากแค่ไหนก็ดึงไม้นั้นกลับมาไม่ได้ นิ้วบางของเธอทั้งแข็งแรงและมั่นคง
ข้อต่อที่นิ้วกลายเป็นสีขาวเนื่องจากการออกแรง และแนวกระดูกที่หลังมือก็เผยให้เห็นอย่างชัดเจน