เมื่อความลับรั่วไหลออกไป ถึงแม้องค์จักรพรรดิจะทรงขี่เสือลำบากขึ้น แต่ไม่ว่ายังไงผลลัพธ์ก็ยังเท่าเดิมอยู่ดี บุรุษหลงในหญิงงาม เหตุผลนี้จึงเข้าใจได้ง่ายขึ้น
องค์จักรพรรดิกลับทรงคิดว่าคนคนหนึ่งที่ลุ่มหลงในสุราและหญิงงาม จะควบคุมและดึงมาเป็นพรรคพวกง่ายกว่า
และเมื่อเฮ่อฟั่งมาถึง องค์จักรพรรดิจึงได้อบรมเขาเป็นการใหญ่
เฮ่อฟั่งรู้ว่าตัวเองนั้นก่อเรื่องที่หอนางโลมไว้ และได้ถูกตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว จึงรีบคุกเข่าลงกับพื้น ขอร้องวิงวอนอภัยโทษ
อันที่จริงแล้วตอนที่เขาไปเที่ยวหอนางโลมนั้นเป็นเวลาดึกดื่นค่อนคืน เฮ่อฟั่งดื่มเหล้าจนเมามายไม่ได้สติ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเขาเองได้พูดหรือไม่ได้พูดอะไรออกไปบ้าง
เมื่อรู้ว่าตอนนี้องค์จักรพรรดิได้ทรงทราบเรื่องเกี่ยวกับอนุในเรือนของเขาแล้ว องค์จักรพรรดิก็ได้กล่าวถึงเรื่องอนุของเขาด้วย และทรงทราบว่าอนุทั้งสองนั้นมาจากไหนเขาจึงตกใจจนแทบจะเป็นลม
เฮ่อฟั่งปกปิดความจริงไม่ยอมเปิดเผยให้กระจ่าง พูดให้ถูกหน่อย ก็คือไม่จงรักภักดีและหลอกลวงองค์จักรพรรดิ
แต่ไม่ทันที่องค์จักรพรรดิจะทรงได้สอบสวนเกี่ยวกับที่มาของอนุ หมอหลวงก็ได้เข้ามารายงานเกี่ยวกับความคืบหน้าของอาการป่วยเฉินเสียน ว่าตอนนี้อาการป่วยของเธอเบาลงแล้ว และอาการก็เริ่มดีขึ้นในทุกๆ วัน ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว
เพียงแต่ว่าอาการบาดเจ็บในครั้งนี้ค่อนข้างสาหัส ต้องใช้เวลาในการรักษาตัวนานพอควร จึงจะสามารถฟื้นฟูกลับสู่สภาวะปกติดังเดิมได้
ความพิโรธขององค์จักรพรรดิที่เพิ่งจะสงบลง ก็เดือดดาลขึ้นมาอีกครั้ง
หากไม่ใช่เพราะเป่ยเซี่ยยื่นมือเข้ามาพัวพัน เฉินเสียนก็คงจะตายไปแล้วแท้ๆ
เฮ่อฟั่งที่คุกเข่าอยู่บนพื้น เห็นโอกาสที่จะเบี่ยงเบนความสนใจขององค์จักรพรรดิให้พ้นจากการลงโทษเขา จึงรีบพูดขึ้นว่า : “ฝ่าบาทโปรดทรงเย็นพระทัยลง! ฝ่าบาทยังทรงลงมือด้วยวิธีอื่นได้ หากเราไม่สามารถที่จะถอนต้นกล้าออกมา เรายังสามารถขุดดินใต้รากของมันได้ เมื่อไม่มีดินแล้ว ต้นกล้าก็จะไม่สามารถดำรงอยู่ต่อไปได้พ่ะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิทรงสงบนิ่งลง และทรงโบกพระหัตถ์ให้หมอหลวงถอยออกไป จากนั้นจึงทรงทอดพระเนตรไปยังเฮ่อฟั่งด้วยสายพระเนตรที่เย็นยะเยือก : “เจ้าหมายถึงซูเจ๋อหรือ?”
“กระหม่อมรู้สึกว่า แม้ว่าปกติซูเจ๋อจะประพฤติตัวถูกต้องและไม่พบร่องรอยของความผิดพลาดประการใดเลย แต่ว่ายิ่งไม่ผิดพลาดก็ยิ่งน่าสงสัยเข้าไปใหญ่ องค์หญิงจิ้งเสียนเป็นเพียงหญิงนางหนึ่ง อยู่ข้างนอกนั่นจะรู้วิธีการเอาชนะใจราษฎรได้อย่างไรกัน อีกอย่างตอนนั้นองค์หญิงมีซูเจ๋อเคียงข้าง ต้องเป็นเขาที่วางแผนคิดแทนนางอย่างแน่นอน”
แน่นอนว่าองค์จักรพรรดิทรงรู้ดีอยู่แล้ว แต่ซูเจ๋อสามารถนำการเจรจาสันติภาพกับเย่เหลียงกลับมาได้นั้นถือว่าเป็นผลงานที่ทรงเกียรติ พระองค์จึงไม่ได้ทำอะไรเขาทั้งสิ้น
เฮ่อฟั่งจึงพูดต่อว่า : “และครั้งนี้ พอเหมาะพอเจาะกับองค์หญิงจิ้งเสียนที่ป่วยสาหัส ทางเป่ยเซี่ยก็ได้ส่งวารสารมา หากไม่ใช่เพราะมีคนส่งสารอย่างลับๆ กับทางเป่ยเซี่ย จะทันการแบบนี้ได้อย่างไรกัน ทั้งฝ่ายปกครองและฝ่ายค้าน ยังจะมีใครที่ไม่อยากให้องค์หญิงจิ้งเสียนตายดังเช่นเขาอีกเล่าพ่ะย่ะค่ะ?”
หลายปีมานี้ซูเจ๋อได้ริเริ่มที่จะยอมจำนนเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งทางอาวุธยุทโธปกรณ์ระหว่างยุคกลางมาโดยตลอด หลายปีที่ผ่านมานี้เขาพยายามประพฤติตนให้เหมาะสมและปฏิบัติตนด้วยความสงบเสงี่ยมเจียมตัวเสมอมา ไม่เคยข้องเกี่ยวเกินเลยกับเฉินเสียนแม้เพียงนิดเดียว
องค์จักรพรรดิใช่ว่าจะไม่เคยคิดมาก่อน หากบุคคลในความมืดที่คอยช่วยเหลือเฉินเสียนมาโดยตลอดเป็นเขาจริงๆ เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้จิตใจลึกลับซับซ้อนเป็นอย่างมาก ที่ปกปิดตัวตนและอดทนมาโดยตลอดเช่นนี้ได้
ถึงแม้ว่าในเวลานี้จะเป็นอย่างนี้ ซูเจ๋อก็ยังทำเช่นดังเดิม สอนหนังสือตำราในวิทยาการศึกษาไท่ ไม่ยอมเผยตัวตนออกมาแม้แต่นิดเดียว สรุปแล้วคนผู้นี้กำลังเฝ้าดูการเติบโตของจิ้งเสียนหรือไม่ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจจะเก็บเขาไว้ได้อีกต่อไป
เฮ่อฟั่งจึงพูดขึ้นว่า : “ปีนั้นเพื่อความเสถียรภาพของรัชสมัยก่อนหน้าและเหล่าขุนนางเก่า จึงไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะเก็บเขาไว้ได้ แต่บัดนี้รัชสมัยปัจจุบันเป็นที่มั่นคงดีแล้ว เขาก็ไม่มีประโยชน์อีกต่อไป สู้เริ่มจากซูเจ๋อก่อนไม่ดีกว่าหรือพ่ะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิไม่สามารถลงมือกับเฉินเสียนได้ หรือว่าเขาจะไม่สามารถทำอะไรซูเจ๋อได้ด้วยอย่างงั้นหรือ?
รอให้พระองค์ขุดดินใต้รากนั่นจนหมดสิ้นแล้ว เฉินเสียนเองเป็นเพียงแค่องค์หญิงของราชวงศ์ก่อนหน้านี้ เธอเป็นหญิงเพียงนางหนึ่ง ก็คงจะโอนเอนและสั่นคลอนอย่างแน่นอน
เมื่อคิดแบบนี้แล้วความกังวลในพระทัยขององค์จักรพรรดิก็เบาบางลง วิธีการที่ใช้นั้นอาจจะซับซ้อนและวุ่นวายกว่าบ้างก็เท่านั้นเอง
สีหน้าพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิดุจเมฆฝนที่หยุดโหมกระหน่ำลง พระองค์ทรงรับสั่งให้เฮ่อฟั่งไปจัดการเรื่องนี้ และไม่ได้สอบสวนเรื่องที่เขามักมากในหญิงงามต่อไปอีก ในท้ายที่สุดพระองค์เพียงแค่อบรมสั่งสอนเขา เมื่อเรื่องราวจบลง พระองค์ก็ไม่ลืมที่จะประทานลูกกวาดหวานให้กับเขาด้วย องค์จักรพรรดิได้ทรงพระราชทานนางระบำที่สวยสดงดงามของราชวังให้เขาถึงสองนาง และทรงอนุญาตให้เฮ่อฟั่งเป็นคนไปเลือกเอง
เฮ่อฟั่งน้อมรับด้วยความปีติดีใจ และตั้งใจจะใช้งานนี้เพื่อเป็นโอกาสในการเลื่อนตำแหน่งให้ตัวเอง จะต้องตั้งใจให้มากขึ้นกว่าเดิม
ในระหว่างที่เฉินเสียนกำลังพักรักษาตัวอยู่นั้น เวลาที่ไม่มีอะไรทำ เธอก็มักจะอ่านตำราอยู่เสมอ
ตรงไหนที่เธอไม่รู้ก็จะไปถามฉินหรูเหลียง บางครั้งก็ยังคุยปรึกษาเรื่องกลยุทธ์กับฉินหรูเหลียงอีกด้วย บางทีก็พากันคุยจนปาไปครึ่งค่อนวันได้
เพราะถึงอย่างไรแล้วฉินหรูเหลียงเองก็ว่างมาก และเขาเองก็ยินดีที่จะถ่ายทอดความรู้ของตัวเองให้กับเฉินเสียน
เขารู้สึกว่าถึงเวลาแล้ว จึงได้ให้พ่อบ้านเรียกคนในจวนทั้งหมดมารวมตัวกัน
ตอนนี้จวนสกุลฉินไม่ใช่จวนท่านแม่ทัพอีกต่อไป จึงไม่สามารถรักษารายจ่ายของคนจำนวนมากไว้ได้ จึงได้ให้พ่อบ้านชำระค่าจ้างให้กับทุกคน เหลือคนเก่าไว้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่เหลือก็ถูกปลดออกไปทีละคนจนหมด
บางทีคนเราก็น่าเวทนา ไม่เพียงแต่ทำใจออกไปไม่ได้ ยังต้องมาสูญเสียหน้าที่การงานที่เคยทำ หนทางข้างหน้าจึงเคว้งคว้างไปหมด
แต่มันก็เป็นเรื่องที่ไร้ซึ่งทางเลือก
สายลับที่แฝงตัวอยู่ในจวน เป็นคนที่ถูกรับเข้ามาใหม่ทั้งนั้น ไม่สามารถเก็บไว้ได้อย่างแน่นอน จึงถือโอกาสนี้จัดการถอนรากถอนโคนให้หมด เมื่อเรื่องเป็นมาแบบนี้ คนที่เหลืออยู่ในจวนต่างล้วนเป็นคนที่สามารถเชื่อใจได้ทั้งนั้น
หลังจากที่ทุกคนแยกย้ายออกไปจนหมดแล้ว พ่อบ้านจึงพูดขึ้นด้วยความกังวลใจว่า : “คนที่ถูกนายท่านนายไล่ออกไปเหล่านั้น ไม่รู้ว่าหากองค์จักรพรรดิทราบเรื่องแล้วจะ……”
ฉินหรูเหลียงจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยว่า : “ข้าไม่รู้เสียหน่อยว่าใครต่อใครเป็นสายลับบ้าง ตอนนี้ครอบครัวตกต่ำและจึงทำให้ต้องเลิกจ้างคนใช้ หากฝ่าบาทจะตำหนิคาดโทษ ก็คงทำให้ผู้คนพลอยรู้สึกแปลกใจไม่น้อย”
สิ่งที่องค์จักรพรรดิเป็นกังวลพระทัยมากที่สุด เพียงแต่ไม่สามารถลงมือทำอะไรได้ก็เท่านั้น
วันนี้ในสวนสระวสันตฤดู คิ้วของเฉินเสียนกระตุกอยู่ตลอดเวลา พูดไม่ออกบอกไม่ถูก รู้เพียงแต่ว่าจิตใจกระสับกระส่ายไม่หยุด
จนเมื่อเฉินเสียนได้ทำตำราในมือหล่นลงพื้น และได้ทำจานผลไม้หกกระจัดกระจายเต็มไปหมด อวี้เยี่ยนจึงพูดขึ้นว่า : “วันนี้องค์หญิงเป็นอะไรไปหรือเพคะ? ร่างกายไม่สบายหรือเปล่า?”
เฉินเสียนจึงพูดขึ้นว่า : “รู้สึกไม่สบายใจแปลกๆ”
เธอจึงเพิ่งนึกขึ้นได้ ว่าทั้งเธอและฉินหรูเหลียงต่างเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน จึงไม่ได้รับรู้ความเคลื่อนไหวของยุคกลางเลย หรือว่ายุคกลางจะเกิดอะไรขึ้นจริงๆ
เธอไม่ได้เชื่อเรื่องกระแสสื่อจิตอะไรนั่น เพียงแต่รู้สึกว่าในใจมันหวิวแปลกๆ
ไม่ว่าจะเป็นในวังหรือนอกวัง มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ทำให้เธอเป็นกังวลใจ
คนหนึ่งคือซูเจ๋อ และอีกคนก็คือเจ้าน่องน้อย
เฉินเสียนพูดกับอวี้เยี่ยนว่า : “เจ้าไปเรียกฉินหรูเหลียง ให้เขาคิดหาวิธีเข้าไปสืบเรื่องในวังหน่อย ข้ากังวลใจไม่รู้ว่าเจ้าน่องน้อยกับเขาจะปลอดภัยดีหรือเปล่า”
อวี้เยี่ยนเห็นว่าจิตใจของเธอไม่อยู่กับร่องกับรอยเลย และก็กลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆ นางจึงรีบวิ่งออกจากสวนสระวสันตฤดูเพื่อไปหาฉินหรูเหลียง
แต่ยังไม่ทันที่นางจะออกจากสวนไป นึกไม่ถึงเลยว่าฉินหรูเหลียงจะมาหาเอง
เขาเดินเข้ามาในสวนช้าๆ เมื่อเข้าห้องมาแล้วก็เจอกับเฉินเสียน เขาที่กำลังจะอ้าปากพูด แต่กลับได้ยินเฉินเสียนพูดขึ้นก่อนว่า : “ท่านมาได้จังหวะพอดี ข้าอยู่ในสวนทั้งวันแล้ว และไม่รู้ว่าสถานการณ์ข้างนอกนั่นเป็นยังไงบ้าง ท่านไปสืบให้ข้าหน่อยได้หรือไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า”
เงียบไปครู่หนึ่ง เธอก็ขมวดคิ้วแล้วจึงพูดขึ้นต่อว่า : “จู่ๆ ข้าก็รู้สึกเป็นห่วงซูเจ๋อกับเจ้าน่องน้อยขึ้นมา”
เมื่อเทียบกับเจ้าน่องน้อยแล้ว เธอเป็นห่วงซูเจ๋อมากกว่าเสียด้วยซ้ำ เพราะเรื่องครั้งนี้ของเป่ยเซี่ย เธอจึงมีลางสังหรณ์ ว่าองค์จักรพรรดิทรงไม่ยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ อย่างแน่นอน
แต่ซูเจ๋อทำการรอบคอบเสมอ และบอกเธอว่าไม่ต้องเป็นห่วง เธอเชื่อว่าเขาจะสามารถจัดการทุกอย่างได้อย่างเหมาะสม
กลัวก็เพียงแต่สิ่งที่ไม่แน่นอนนี่แหละ
ฉินหรูเหลียงจ้องมองเฉินเสียนด้วยแววตาที่จริงจัง พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ทำไมจู่ๆ ถึงเป็นห่วงเรื่องพวกนี้ขึ้นมาล่ะ?”
เฉินเสียนส่ายหน้าพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “จิตใจของข้าไม่สงบ สิ่งที่จะทำให้ข้าเป็นห่วงได้ก็มีแค่พวกเขานี่แหละ”
ฉินหรูเหลียงเม้มปากเบาๆ ราวกับกำลังครุ่นคิด เขาเดินออกไปอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หนักหน่วงว่า : “ข้าจะช่วยท่านสืบดู ท่านอยู่อ่านตำราต่อที่สวนอย่างสบายใจเถอะ”
เมื่อเดินจนไปถึงหน้าประตู เงาที่สูงใหญ่ของเขาก็หยุดชะงักลง
ฉินหรูเหลียงหันกลับมาจ้องมองเฉินเสียนตรงๆ จู่ๆ เขาก็ถามขึ้นมาว่า : “หากเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ ท่านวางแผนจะจัดการอย่างไร?”