ฉินหรูเหลียงกล่าวว่า “นางสนมสองคนนั้นก็เป็นคนขององค์จักรพรรดินะ ท่านมาหาพวกนางเพื่อเปิดเผยการเคลื่อนไหวหรือ?”
“มิเช่นนั้นล่ะ? นั่นเป็นคนของซูเจ๋อ”
ฉินหรูเหลียงชะงักงัน เฉินเสียนกล่าวราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกว่า “คนขององค์จักรพรรดิที่แท้จริง ถูกซูเจ๋อสังหารนานแล้ว เมื่อก่อนนานมาแล้วสังหารต่อหน้าข้าเลย นอกจากนี้เขาส่งนางสนมสองคนเข้าใกล้ชิดเฮ่อฟั่ง เขามีจุดมุ่งหมายอย่างแน่นอน”
ไม่แน่ว่าอาจจะเพื่อไปฉวยโอกาสนำความผิดของเฮ่อฟั่งมานะ
ฉินหรูเหลียงกล่าวถามว่า “เช่นนั้นท่านวางแผนจะดึงนางให้ออกมาพบอย่างไร?”
“ท่านเข้าไปใช้เสน่ห์ของท่านสิ?”เฉินเสียนกล่าวโดยไม่คิด
“………..”
“เช่นนั้นวางเพลิงด้านใน บังคับพวกพางออกมา?”
ฉินหรูเหลียงกล่าวว่า “ท่านทำอย่างนี้สนุกและมีความหมายหรือไม่?”
เฉินเสียนก้มศีรษะปัดกระโปรง ราวกับจะยิ้มก็ไม่ยิ้มแล้วหมุนตัว กล่าวขึ้นว่า“ช่างเถิด เที่ยงแล้ว พวกเราไปหาที่นั่งกินอะไรหน่อยเถิด”
ทั้งสองหาหอสุราใกล้ๆ เข้าไปนั่งในห้องที่มีคุณภาพดี
ตอนที่ฉินหรูเหลียงสั่งอาหาร เฉินเสียนเรียกเด็กรับใช้ที่ยังไม่โตมา ให้เงินเม็ดเล็กสั่งให้ไปฝากบอกแทนเธอ
เด็กรับใช้ที่ยังไม่โตยินดีปรีดา ออกไปจากหอสุราอย่างรวดเร็ว
ตอนพนักงานออกไปเตรียมอาหาร ฉินหรูเหลียงก็มองเธอ แล้วกล่าวว่า “ท่านมีความคิดเช่นนี้นานแล้ว เมื่อครู่เพียงแค่พูดหยอกล้อข้าใช่หรือไม่?”
เฉินเสียนกล่าวว่า “ท่านไม่ตลกเลยหรือ? ข้าเพียงเห็นท่านหน้าเคร่งขรึม อยากให้ผ่อนคลายบ้าง”
ฉินหรูเหลียงก็ไม่ได้โมโห เพียงแค่กระตุกคิ้ว แล้วกล่าวขึ้นว่า “ถึงแม้ว่าข้าไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย แต่สามารถทำให้ท่านมีความสุขได้สักหน่อยก็ไม่เลวนะ”
เวลาไม่นาน เด็กรับใช้ที่ยังไม่โตผู้นั้นไปถึงหน้าประตูเรือนของเฮ่อฟั่ง เชิญให้ทหารยามไปบอกกล่าว กล่าวว่าใต้เท้ากินดื่มสุราอยู่ที่หอสุรา ตั้งใจเป็นพิเศษมาเชิญนางสนมทั้งสองไปร่วมดื่มด้วยที่หอสุรา
ทหารยามไม่ได้สงสัย กล่าวถามว่า “ใต้เท้ามีนางสนมอยู่หลายท่าน ไม่ได้บอกรายละเอียดว่าเชิญท่านไหนหรือ?”
เด็กรับใช้ที่ยังไม่โตผู้นั้นเกาศีรษะ ลำบากใจ รายละเอียดที่ชัดเจนให้เขาบอกกับแขกก็ไม่ได้พูดเลย
ครั้นแล้วเด็กรับใช้ที่ยังไม่โตก็ได้กล่าวว่า “ใต้เท้าไม่ได้พูดอย่างละเอียด สามารถดื่มสุราได้ก็พอแล้ว”
เฉินเสียนก็คิดไม่ถึง ภายในเรือนของเฮ่อฟั่งนั้นมีหญิงสาวจำนวนมาก
โชคดีที่ทหารยามค่อนข้างฉลาดหลักแหลม ในเมื่อต้องการเอาออกไปร่วมดื่มสุรา แน่นอนว่าต้องเอากิริยาท่าทางสง่าเชื่อถือได้ มิเช่นนั้นขายหน้าใต้เท้าแล้วล้วนต้องมาแบกรับ
ในจวนนี้มีนางสนมเข้ามาจำนวนหนึ่งล้วนกริยาท่าทางไม่เรียบร้อยอย่างชัดเจน มีเพียงผู้ที่มานานสุด ประสบการณ์ความเฉลียวฉลาดมากสุดสองคนที่ค่อนข้างได้รับความชื่นชมจากใต้เท้า
นางสนมสองคนนั้นได้ยินว่าต้องไปหอสุราดื่มเหล้า ต่างสบสายตากัน หนึ่งคนในนั้นกล่าวขึ้นว่า “ข้าไปเอง”
นางสนมใจคิดว่า หากเฮ่อฟั่งไม่ได้ดูแลรับรองผู้อื่น จะมาเชิญไปร่วมดื่มเหล้าด้วยกันโดยที่ไม่มีสาเหตุทำไม แน่นอนว่านางสนมต้องการไปเพื่อหวังว่าจะได้สืบข่าวที่ปกติไม่ได้ยินสักหน่อย
เฉินเสียนนั่งอยู่ที่ริมหน้าต่างตลอด เปิดม่านขึ้นเล็กน้อย เพ่งเล็งมองสถานการณ์ด้านล่างที่หน้าประตูหอสุรา
เวลาต่อมาได้มีเกี้ยวหลังหนึ่งหยุดที่ประตู ด้านในมีหญิงแต่งตัวละเอียดงดงามมีเสน่ห์แพรวพราวเดินลงมา
เฉินเสียนยังจำใบหน้าของนางสนมทั้งสองคนนั้นได้ วันนั้นที่เรือนของซูเจ๋อได้ชำเลืองมองนานอยู่
เฉินเสียนรอบคอบระมัดระวังกว่าปกติอย่างมาก หากหญิงสาวที่ลงจากเกี้ยวไม่ใช่หนึ่งในนางสนมสองคนนั้น เฉินเสียนก็ไม่มีทางสุขใจแล้วให้พนักงานเชิญนางมาที่ห้องคุณภาพดีนี้ เพราะฉะนั้นถึงได้เฝ้ามองสถานการณ์ด้านล่างอยู่เสมอ
ผลสรุปทุกอย่างล้วนสมใจปรารถนาของเธอ
คนที่มาพอดิบพอดีกับเป็นหนึ่งในหญิงสาวที่เฉินเสียนเคยเจอแล้ว
นางสนมถูกเชิญมาที่ห้องคุณภาพดี เปลี่ยนมาเป็นใบหน้ายิ้มแย้มสวยหยาดเยิ้มที่ปฏิบัติเป็นประจำ เข้ามาแล้วก็ถอนสายบัวเคารพด้วยความงดงาม
เฉินเสียนกล่าวว่า “สาวน้อยไม่ต้องมากพิธีหรอก”
นางสนมผู้นั้นเข้ามาในห้องยังไม่ทันได้เงยหน้ามอง เดิมคิดว่าเป็นห้องของเฮ่อฟั่ง แต่ทว่าคิดไม่ถึงเป็นน้ำเสียงหญิงสาวที่ไม่คุ้นชิน ชะงักงันไปชั่วขณะ การถอนสายบัวเคารพแข็งทื่ออยู่ครึ่งหนึ่ง
นางสนมเงยหน้าขึ้นมาดู พบว่าห้องคุณภาพดีไม่มีเฮ่อฟั่งเลย และเป็นชายผู้หนึ่งกับหญิงผู้หนึ่ง คล้ายดั่งเคยรู้จักกัน
เฉินเสียนกล่าวว่า “พวกเราเคยเจอกันแล้ว ที่เรือนของซูเจ๋อครั้งนั้น ซูเจ๋อป่วยหนัก ข้ากับฉินหรูเหลียงไปเยี่ยม เจ้ายังจำได้ใช่หรือไม่?”
ทันใดนั้นนางสนมมีการตอบสนองกลับมา ในเวลานั้นได้ถอนสายบัวคารวะอีกครั้ง แล้วกล่าวขึ้นว่า “หม่อมฉันยินดีที่ได้เข้าพบองค์หญิงเพคะ ยินดีที่ได้เข้าพบ……..”
คิดๆดูแล้วตอนนี้นางรู้ว่าฉินหรูเหลียงไม่ใช่แม่ทัพใหญ่แล้ว พอพูดออกมา ชั่วขณะเลยไม่รู้ว่าควรจะเรียกว่าอย่างไร
เฉินเสียนกล่าวว่า “ไม่ต้องมากพิธีหรอก มานั่งสิ”
“หม่อมฉันจะนั่งร่วมโต๊ะเดียวกันกับองค์หญิงได้อย่างไรเพคะ หม่อมฉันยืนตรงนี้ก็ได้เพคะ”
เฉินเสียนกล่าวว่า “พวกเจ้าสองพี่น้องล้วนกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมไปอยู่ข้างกายเฮ่อฟั่ง วันนี้ซูเจ๋อไม่อยู่ ข้าเชิญเจ้านั่งแทนเขา ไม่เกินไปเลยสักนิดหนึ่ง”
นางสนมมีท่าทางสะเทือนใจเล็กน้อย ไม่นานก็ถูกนางยับยั้งไว้แล้วเดินไป ยิ้มแล้วกล่าวอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกว่า “หม่อมฉันฐานะต่ำต้อย ไม่คู่ควรนั่งโต๊ะเดียวกันกับองค์หญิงหรอกเพคะ องค์หญิงมีสิ่งใดให้รับสั่งได้เลยเพคะ หม่อมฉันตั้งใจฟังด้วยความเคารพนับถือและอย่างสุดความสามารถแน่นอน”
นางอยู่ข้างกายเฮ่อฟั่งนับว่าเป็นเวลายาวนานแล้ว รู้สถานการณ์คร่าวๆ ผู้ใดคือศัตรูผู้ใดคือสหาย ตัวเองสามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจน
เฉินเสียนกล่าวว่า “ช่างเถิด วันนี้เรียกเจ้ามา อยากจะมุ่งสอบถามเรื่องเฮ่อฟั่งกับเจ้า เจ้าอยู่ข้างกายเขานานแล้ว มีปรากฏเห็นช่องโหว่อะไรหรือไม่?”
นางสนมกล่าวถามอย่างนุ่มนวลว่า “องค์หญิงอยากรู้เรื่องเหล่านี้ คือต้องการคิดวิธีไปช่วยใต้เท้าซูใช่หรือไม่เพคะ?”
“อืม”เฉินเสียนตอบรับ “ซูเจ๋อส่งพวกเจ้าไปอยู่ข้างกายเฮ่อฟั่ง ไม่เพียงแค่ให้พวกเจ้าปรนนิบัติเขาเพียงอย่างเดียวหรอก นานเช่นนี้มีปรากฏเห็นสิ่งใดบ้างหรือไม่?”
“ใช่หรือไม่ว่าเพียงจับความผิดพลาดของใต้เท้าเฮ่อได้แล้ว ก็จะมีโอกาสช่วยใต้เท้าซูได้เพคะ?”
เฉินเสียนขมวดคิ้ว ปรากฏท่าทางน่าเกรงขามออกมาให้เห็นแล้วกล่าวขึ้นว่า “ตอนนี้ข้ากำลังถามเจ้า”
นางสนมตื่นตระหนก พบว่าตัวเองเป็นห่วงจนจิตใจว้าวุ่น รีบคุกเข่าที่พื้นทันที แล้วกราบว่า “หม่อมฉันพลั้งปากพูด ขอองค์หญิงประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันกับพี่น้องผู้หญิงอยู่ข้างกายใต้เท้าเฮ่อนานแล้ว ที่จริงพบเห็นความลับไม่น้อย แต่หลักฐานเหล่านั้น ตามแผนการของใต้เท้าซู หม่อมฉันได้มอบให้ผู้อื่นแล้วเพคะ”
“มอบให้ผู้ใดกัน?”
นางสนมสองจิตสองใจครู่ใหญ่ๆ ก็ไม่ยินยอมกล่าวออกมา
เฉินเสียนหรี่ตามอง แล้วกล่าวขึ้นว่า “นี่ก็เป็นสิ่งที่ใต้เท้าซูบอกเจ้าว่าไม่สามารถพูดได้ใช่หรือไม่?”
“องค์หญิงโปรดประทานอภัยเพคะ”
“ตอนนี้เขาอยู่ในคุกแล้ว”เฉินเสียนน้ำเสียงเยือกเย็น กล่าวว่า “เจ้ายังคิดที่จะไม่บอกข้าหรือ?หากไม่สามารถทำลายเฮ่อฟั่งจนย่อยยับ ก็ไม่สามารถช่วยเขาได้หรอกนะ”
“เป็นคุณชายเฮ่อจวนอัครเสนาบดีเพคะ”
ร่างกายของเฉินเสียนเอียงพิงไปทางด้านหลัง พิงหลังแล้วได้ทอดถอนหายใจออกมา เผลอหัวเราะออกมาประเดี๋ยวเดียวแล้วกล่าวขึ้นว่า “ที่แท้เป็นเขา ในเมืองหลวงนี้ เกรงว่าไม่มีผู้ใดที่เร่งรีบหวังอยากให้เฮ่อฟั่งรีบตายเท่าเขาแล้วล่ะ เช่นนั้นเขาเตรียมจะลงมือเมื่อไหร่กัน? ”
“อันนี้หม่อมฉันก็ไม่รู้เพคะ”
หากรอซูเจ๋อถูกตัดสินคดีความแล้ว เฮ่อโยวชักช้าไม่ลงมือ ก็ต่อให้เขาทำให้เฮ่อฟั่งย่อยยับจะมีประโยชน์อะไรกันเล่า
เฉินเสียนกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ช่างเถิด เจ้าไม่รู้ ข้าก็ไม่รู้ เช่นนั้นข้าก็ลงมือแทนเขาก่อนละกัน แววตาของเธอจดจ้องที่นางสนม แล้วกล่าวอีกว่า “สรุปเฮ่อฟั่งมีความผิดอะไร เจ้าไม่รู้อย่างละเอียด ก็ควรที่จะรู้คร่าวๆโดยประมาณ เจ้าพูดให้ข้าฟังก่อนสิ””
“ร่วมกันกับขุนนางสถานที่หนึ่งทำเรื่องไม่ดี ทุจริต รับสินบน จำนวนมากมายเพคะ”
“ร่วมกันกับขุนนางที่ใดกัน?”
“เจียงหนานเพคะ”
หัวคิ้วเฉินเสียนกระตุกขึ้น