เฉินเสียนจึงกล่าวว่า “ข้าไปขึ้นเรือที่แม่น้ำหยางชุน ธุรกิจบนเรือไม่เลวเลย ข้าได้ส่วนแบ่งเป็นตั๋วเงินจากเหลียนชิงโจวไม่น้อยเลย ข้าจ้างวางให้หลิวอีกว้าช่วยข้าหานักฆ่าฝีมือดี”
“อืม”
“ข้าจ้างให้นักฆ่าสังหารผู้สอดแนมของจักรพรรดิที่มาปฏิบัติหน้าที่แถวๆจวนฉิน ซึ่งต้องทำการจ้างวางระยะยาวเลยละ นักดาบหลวงมาสอดแนมกี่คน ข้าก็จะฆ่าให้หมด ฆ่าจนกว่าจักรพรรดิไม่ส่งคนมาสอดแนม หลังจากที่ไม่มีผู้สอดแนม ข้าก็ไปหาเฮ่อเซียงกับศาลยุติธรรมต้าหลี่ บอกเฮ่อฟั่งว่าห้ามทำร้ายท่าน”
เฉินเสียนพิงอยู่ในอ้อนแขนของซูเจ๋อ พลางกล่าวเสียงเบา “แต่ก็ไม่อาจช่วยท่านได้จริงๆ ต่อมาข้าใช้เวลาทั้งคืนคิดได้หนึ่งวิธี คืนนั้นข้าเลยเขียนจดหมายจำนวนสามฉบับ โดยใช้คนส่งสารของท่านส่งจดหมายออกไป”
ซูเจ๋อหรี่ตา
เธอกล่าวต่อไปว่า “วิธีที่ข้าคิดออกก็มีเพียงเรียนแบบท่าน ท่านใช้เป่ยเซี่ยช่วยข้า งั้นข้าก็จะใช้เย่เหลียงช่วยท่าน”
“ยามนั้นท่านเป็นทูตเจรจาสันติภาพกับเย่เหลียง ด้วยความที่เย่เหลียงเชื่อใจท่าน จึงได้ร่วมลงนามในหนังสือเจรจาสันติภาพ แต่ตอนนี้จักรพรรดิบอกว่าทูตเจรจาสันติภาพเป็นสายลับของเป่ยเซี่ย เช่นนั้นการเจรจาสันติภาพกับเย่เหลียงถือเป็นโมฆะ
ตอนนี้เย่เหลียงยึดครองอาณาเขตของแคว้นต้าฉู่ได้สามเมืองที่เขตชายแดนแล้ว เมื่อสัญญาสันติภาพถูกทำลาย ไม่เพียงแต่สามารถปฏิเสธการมอบคืนพื้นที่ได้ เย่เหลียงยังสามารถยกทัพมาตีต้าฉู่ได้เลย นี่คือจดหมายฉบับที่หนึ่งที่ส่งไปยังเย่เหลียง”
ซูเจ๋อยกมุมปากขึ้นกล่าวว่า “แล้วฉบับที่สองล่ะ?”
“หลังจากที่เย่เหลียงประกาศเช่นนี้ออกมา หากจักรพรรดิต้าฉู่ยอมศิโรราบ ชายแดนต้าฉู่กับเย่เหลียงก็จะสงบสุข ทว่าหากจักรพรรดิต้าฉู่ไม่ยอม เย่เหลียงก็สามารถฉวยโอกาสที่ทหารต้าฉู่อ่อนแรง ประชาชนระหกระเหินเข้าโจมตี จึงบอกแม่ทัพโฮ้วนิ่งไว้ก่อน รอให้ต้าฉู่พ่ายแพ้ ทหารเย่เหลียงเหนื่อยล้าแล้ว แม่ทัพโฮ้วค่อยนำกำลังเข้ายึดอำนาจปกครองในต้าฉู่
ผลที่เลวร้ายที่สุดก็คือความเป็นไปได้ที่สอง หากเป็นเช่นนั้นข้าตามท่านไปยังยมโลก ไฉนเลยจะสนใจความเดือดร้อนของประชาชน อันนี้คือจดหมายฉบับที่สอง ซึ่งส่งไปที่ชายแดน”
นิ้วมือซูเจ๋อจับเส้นผมเฉินเสียนอย่างอ่อนโยน กล่าวในขณะที่ใช้ความคิด “ระยะทางจากเมืองหลวงไปยังชายแดนห่างไกลกันมาก”
เฉินเสียนกล่าว “ข้ารู้ ไปกลับครั้งหนึ่งเร็วสุดก็หนึ่งเดือนกว่า ดังนั้นจดหมายฉบับที่สามข้าจึงส่งไปยังเมืองเจียงหนาน เจิ้งเหรินโฮ้วในเมืองเจียงหนานเป็นคนของท่าน ข้าไหว้วางให้เขาเป็นตัวแทนเย่เหลียงส่งข่าว ‘ทูตดับสัญญาขาด’มายังเมืองหลวง หากเดินทางเร็ว คาดว่าหกเจ็ดวันก็คงเดินทางถึงเมืองหลวงและข่าวนี้ก็จะถึงหูจักรพรรดิ”
“ท่านจะให้เจิ้งเหรินโฮ้วส่งหนังสือรบปลอม”
“จักรพรรดิเป็นคนช่างสงสัย เพราะเวลาส่งหนังสือรบไม่สอดคล้องกัน ต้องสงสัยว่าจริงหรือเท็จเป็นแน่ แต่ชีวิตท่านเชื่อมโยงไปถึงสันติภาพของทั้งสองแคว้น เขาจึงไม่กล้าตัดสินใจง่ายๆ ดังนั้นเขาต้องส่งคนไปตรวจสอบความจริงแน่ๆ
ระหว่างที่เขารอการตรวจสอบ ข่าวจริงจากเย่เหลียงก็ส่งมาถึงแล้ว เมื่อมีเย่เหลียงร่วมมือจะทำให้จักรพรรดิกดดันมากขึ้น เขาก็จะไม่ไปสืบสาวหาผู้ส่งข่าวปลอม ถ้าเกิดเจิ้งเหรินโฮ้วอำพรางได้ดี คงไม่เป็นอะไร”
เฉินเสียนกล่าวเสียงราบเรียบว่า “ข้าจะทำให้จักรพรรดิไม่กล้ายัดเยียดโทษทรยศแผ่นดินให้แก่ท่าน ยิ่งไม่กล้าตัดสินชีวิตของท่าน สถานการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดก็คือ สามแคว้นทำศึกแบ่งแยกดินแดนใหม่ รูปแบบตายตัวของทั้งสามแคว้นก็คือ แต่ไหนแต่ไรเมื่อสันติภาพคงตัวนานก็จะทำศึกแบ่งแยก เมื่อผ่านสงครามอันยาวนานแล้วก็จะกลับมาสงบสุขอีกครั้ง”
ฉินหรูเหลียงที่ถือตัวเองเป็นคนมองทะลุปรุโปร่งแล้ว เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินเสียนก็ต้องตะลึงงัน
จดหมายทั้งสามฉบับครอบคลุมเนื้อหามากมายขนาดนี้ เธอแค่ใช้เวลาสั้นๆหนึ่งคืนก็สามารถคิดเรื่องได้มากถึงเพียงนี้เชียว
ซูเจ๋อยิ้มถาม “อาเสียน ท่านรู้ได้อย่างไรว่าเย่เหลียงต้องช่วยท่าน”
ตอนที่เฉินเสียนเจอซูเจ๋อแวบแรกก็เกิดความรู้สึกเสียใจ จากนั้นเมื่อพูดคุยถึงเรื่องที่เกิดขึ้น อารมณ์ของเธอจึงค่อยๆดีขึ้น หางคิ้วเธอยกขึ้น เปล่งวาจาด้วยความมั่นใจในตัวเอง
“จักรพรรดิเย่เหลียงไม่ช่วยท่านกับข้า หรือจะช่วยจักรพรรดิต้าฉู่ ท่านรับปากจักรพรรดิเย่เหลียงว่าจะมอบสองเมืองให้เขา หากท่านสิ้นชีพ เขาก็จะไม่ได้ผลประโยชน์อันใด
อีกอย่างถึงแม้จักรพรรดิต้าฉู่สังหารท่าน เย่เหลียงก็ยังคงฉีกสัญญาสันติภาพอยู่ดี ได้ทั้งดินแดนและไม่ต้องมีสัญญาผูกมัด เย่เหลียงอิสระจะตาย ไม่ต้องกังวลสิ่งใดอีก เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าจะสถานการณ์ใด สำหรับเย่เหลียงแล้วล้วนได้เปรียบกันทั้งนั้น”
เฉินเสียนสัมผัสคอของซูเจ๋อ พลางถามว่า “ซูเจ๋อ ท่านว่าข้าพูดถูกไหม?”
ซูเจ๋อตอบ “ถูกที่สุด”
เฉินเสียนกล่าว “ข้ายังถือโอกาสเวลาที่ส่งจดหมายไปกลับเมืองเจียงหนานลงมือกับเฮ่อฟั่ง โดยทราบความผิดของเขาจากปากอนุภรรยาเฮ่อฟั่ง ซึ่งเป็นสตรีที่ท่านส่งไปอยู่ในจวนเขา จากนั้นข้าก็กระจายข่าวไปทั้งเมืองหลวง
ราชสำนักไม่อาจนิ่งดูดายได้ จึงเริ่มตรวจสอบเฮ่อฟั่งขึ้นมา ข้าเห็นทหารยึดบ้านของเขากับตา ซึ่งเหมือนกับตอนที่เขายึดบ้านของท่านไม่มีผิด”
“ยามนี้เขาโดนจับเข้าคุม จึงทำอะไรท่านไม่ได้ วันนี้ผ่านมาสี่วันแล้ว ไม่กี่วันหนังสือรบก็คงถึง
ตอนนี้ในเมืองหลวงมีข่าวไปทั่วว่า เฮ่อฟั่งคิดจะกำจัดท่านที่ผู้มีความเห็นต่างจากเขา จึงปรักปรำท่าน ดังนั้นจักรพรรดิอยากลงโทษท่านคงต้องใช้สมองมากหน่อย
ซึ่งระหว่างนั้น ขุนนางทุจริตซึ่งมีเฮ่อฟั่งเป็นแกนนำก็ต้องกำจัดให้สิ้นซาก ดังนั้นศาลยุติธรรมต้าหลี่กับกรมอาญาคงยุ่งกับหลายคดีที่เพิ่มขึ้น เช่นนี้ก็ไม่มีผู้ใดรบกวนท่านแล้ว”
จากนั้นห้องขังก็เงียบกริบ ราวกับต่างฝ่ายต่างเงียบเพื่อใคร่ครวญเหตุการณ์
เฉินเสียนกล่าว “แต่วิธีของข้าไม่ค่อยดีนัก ยุ่งยาก เสียเวลาและเสี่ยงมาก หากควบคุมเวลาไม่ดี ข้ากลัวว่าจะเกิดการแปรผัน เกรงว่าท่านจะมีอันตราย ซูเจ๋อ ท่านยังมีวิธีดีกว่านี้ไหม?”
ซูเจ๋อกล่าวเสียงเบาไพเราะรื่นหูในขณะที่ยกคิ้ว “ไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้แล้ว”
“ท่านคิดรอบคอบกว่าข้า เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ทำไมจะไม่มีวิธีที่ดีกว่า” เฉินเสียนกล่าวอย่างดื้อดึง “นับจากวันที่ท่านดึงเป่ยเซี่ยช่วยข้าก็น่าจะคาดเดาได้ว่าจะมีเภทภัย ในเมื่อคาดเดาได้ เหตุใดจึงไม่ได้เตรียมการรับมือ เหตุใดจึงถูกจับโดยละม่อม?”
เธอเงยหน้าจากอกแกว่งของซูเจ๋อ มองดวงตาดุจอำพันที่เรียวยาวมีเสน่ห์ของเขาพร้อมกับกล่าวว่า “ท่านต้องมีแผนสำรองถูกไหม?”
“ข้าเป็นสามัญชนทั่วไป ไม่ได้เก่งกาจมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวอย่างที่ท่านว่า” ซูเจ๋อยิ้มแล้วกล่าวว่า “ฟังเช่นไรก็รู้สึกว่าไม่ใช่คำชมนะ”
“หากข้าไม่ช่วยท่าน ท่านคิดจะนั่งรอความตายหรือ?” เฉินเสียนถาม
ซูเจ๋อตอบอย่างเอ้อระเหย “ใช่”
ฉินหรูเหลียงที่ไม่พูดจามาตลอด ทันใดนั้นก็เอ่ยขึ้นมาหนึ่งประโยค “ท่านเห็นเขาเหมือนคนนั่งรอความตายหรือ?”
เฉินเสียนกล่าว “ข้าก็ไม่เชื่อ ไม่ว่าจะอย่างไรท่านคงไม่เอาชีวิตไปอยู่ในเงื้อมมือผู้อื่นหรอก”
ซูเจ๋อจ้องเธอ กล่าวว่า “อาเสียนไม่ใช่ผู้อื่น”
เฉินเสียนชะงัก
จากนั้นก็ได้ยินเขากล่าวว่า “หากพูดถึงแผนสำรอง ข้ามีจริงๆ”
“อะไร?”
ซูเจ๋อกล่าว “ก็คือท่าน”
เขาเอ่ยออกมาอย่างไร้ความกังวล ทว่าเฉินเสียนฟังแล้วกลับตะลึงงัน
เฉินเสียนเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนจะถามว่า “ซูเจ๋อ ทำไมท่านถึงคิดว่าข้าทำได้?”
ซูเจ๋อกล่าว “ข้าสอนท่านกับมือ เหตุใดจึงทำไม่ได้ ความจริงยืนยันว่าท่านทำได้อย่างไร้ที่ติ”
เฉินเสียนมองเขา “ถ้าเกิดข้าช่วยท่านไม่ได้ล่ะ?”