เฮ่อฟั่งกล่าวในขณะที่คำนับว่า “ยามนี้ซูเจ๋อถูกจับเข้าคุกแค่เพียงสิบวัน เย่เหลียงไม่มีทางได้รับข่าวเร็วเช่นนี้ ถึงแม้จะรู้ แต่ระยะทางระหว่างเมืองหลวงกับเย่เหลียงห่างไกลมากนัก แล้วจะส่งข่าวมาถึงเมืองหลวงอย่างรวดเร็วได้อย่างไร อันนี้ต้องเป็นแผนการถ่วงเวลาของพวกเขาอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิมองหนังสือรายงานสถานการณ์สงครามในมือ พลางกล่าวว่า “ความหมายของเจ้าก็คือ ของในมือข้ามีคนจงใจปลอมแปลงอย่างนั้นหรือ? ข้าส่งคนไปตรวจสอบยังทิศใต้แล้ว ไม่นานก็จะได้รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่”
“ฝ่าบาทควรสังหารซูเจ๋อทันทีพ่ะย่ะค่ะ”
เวลานี้เฮ่อโยวก็อยู่ด้านข้าง รายงานว่า “ถ้าหากเป็นข่าวจากเย่เหลียงจริงๆล่ะ สังหารซูเจ๋อตอนนี้ก็เท่ากับทำลายสัญญาสันติภาพทิ้ง? ตอนนั้นเย่เหลียงอยากได้ห้าเมืองของต้าฉู่ หากสัญญาถูกยกเลิกเมื่อไหร่ ต้าฉู่ในยามนี้ทหารเพิ่งผ่านศึกมา บวกกับภัยพิบัติต่างๆ หากเวลานี้เย่เหลียงยกทัพมาตี แล้วพวกเราควรทำเช่นไร? อย่าลืมนะ ทางตอนเหนือยังมีเปี่ยเซี่ยที่เพียบพร้อมด้วยกำลังทหารและรถม้า ต่างพร้อมตะครุบดั่งพญาเสือ แย่งเอาแผ่นดินพวกเราอยู่ด้วย”
ความคิดเห็นของเฮ่อโยวสอดคล้องกับขุนนางจำนวนมาก ต่างเห็นว่าต้องจัดการให้เหมาะสม จะได้ไม่ส่งผลกระทบต่อทั้งสองฝ่าย
อย่าว่าแต่ตอนนี้ต้าฉู่ไม่อาจรับมือกับเย่เหลียงหรือเป่ยเซี่ยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หากทั้งสองแคว้นบุกโจมตีพร้อมกันเมื่อไหร่ จะทำให้ต้าฉู่ตกที่นั่งลำบาก เต็มไปด้วยอันตรายทั้งปวง
เฮ่อฟั่งเงยหน้าจ้องเขม็งเฮ่อโยวอย่างเคียดแค้นแวบหนึ่ง กล่าวว่า “แค่ดูปราดเดียวก็ดูออกว่าเป็นแผนการของพวกเจ้า”
เฮ่อโยวกล่าวอย่างไม่แยแสว่า “ข้าว่าเจ้านั่นแหละที่คิดจะแก้แค้นอย่างเดียว ทำให้ต้าฉู่ตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย ทรัพย์สินในคลังหลวงมีน้อย แต่ท่านยังละโมบเอาเก็บเข้ากระเป๋าตัวเอง ตอนนี้คาดว่าคงอยากใช้การตายของผู้อื่นเพื่อลดความสนใจในตัวเจ้าสินะ”
“เจ้า”
จักรพรรดิกล่าวด้วยความกราดเกรี้ยว “อย่าทะเลาะกัน” เขามองเฮ่อโยวอย่างหนักอึ้ง “เจ้าเห็นว่าข้ายังสังหารซูเจ๋อไม่ได้หรือ?”
หากเขาตอบว่าฆ่าไม่ได้ จักรพรรดิก็ต้องสงสัยเจตนาของเขาเป็นแน่
เฮ่อโยวกล่าวว่า “ทูลฝ่าบาท ต้องฆ่าเขาแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่กระหม่อมคิดว่าเวลายังไม่เหมาะสม รอให้แน่ใจว่าข่าวนี้เป็นเรื่องเท็จค่อยสังหารก็ไม่สายพ่ะย่ะค่ะ หากเป็นข่าวเท็จก็ต้องสังหารซูเจ๋อเพื่อตัดปัญหาที่จะตามมาภายหลังพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิถามต่อว่า “แต่ถ้าหากเป็นเรื่องจริงล่ะ?”
เฮ่อโยวเข้าสู่บ่วงความเงียบงัน
จักรพรรดิสั่งให้ลากตัวเฮ่อฟั่งไปขัง แล้วโบกมือให้เฮ่อโยวถอยไป เขาครุ่นคิดอยู่ในห้องตำราหลวงคนเดียวครึ่งค่อนวัน แต่ก็ไม่ได้อะไรเลย
เมื่อก่อนเขาไม่รู้ตัว มาวันนี้จักรพรรดิรู้สึกว่าตัวเองเป็นจักรพรรดิที่ไร้ความสามารถสิ้นดี ต้องพะว้าพะวัง ถูกคนอื่นควบคุมตลอดเวลา
การปกครองต้าฉู่ของเขาที่ผ่านมา ถึงแม้จะสงบสุข แต่ก็ไม่ได้เจริญรุ่งเรืองกว่าเดิม ยังเทียบเป่ยเซี่ยกับเย่เหลียงที่ฟื้นฟูเร็วกว่าไม่ได้
ตอนนี้แคว้นที่อ่อนแอของเขาแทรกอยู่ตรงกลางสองแคว้นผู้ทรงแข็งแกร่ง เมื่อโดนทั้งสองแคว้นจ้องตาเป็นมัน จักรพรรดิจึงหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
ตกลงจะสังหารซูเจ๋อหรือไม่ บรรดาขุนนางไม่ได้เด็ดขาดเฉกเช่นเฮ่อฟั่ง ออกความเห็นว่าต้องมั่นใจว่าเป็นข่าวปลอมก่อนถึงจะสังหารได้ ไม่เช่นนั้นหากฆ่าในเวลานี้ จะทำให้เย่เหลียงมีข้ออ้างในการฉีกสัญญาสันติภาพ พอถึงเวลานั้นก็จะกลายเป็นนักโทษของต้าฉู่ไปโดยปริยาย
สถานการณ์เช่นนี้ดำเนินผ่านไปเป็นเวลาเกือบครึ่งเดือน
คนที่จักรพรรดิส่งไปพบเจอทูตจากเย่เหลียงระหว่างทาง และทราบเรื่องว่ามีมูลจริง
วัตถุประสงค์ที่เย่เหลียงส่งทูตมาก็เพื่อดูความเป็นตายร้ายดีของซูเจ๋อ
ก่อนหน้านี้ไม่ได้สังหารซูเจ๋อ ยามนี้จึงยิ่งสังหารไม่ได้ หากต้าฉู่สังหารทูตที่เจรจาสันติภาพกับเย่เหลียง นั่นจะหมายถึงไม่มีความจริงใจต่อเย่เหลียง แล้วจะคุยเรื่องอยู่ร่วมกันอย่างสันติภาพได้อย่างไร
ครั้งนี้มอบหมายให้ศาลยุติธรรมต้าหลี่เป็นผู้ไต่สวนคดี
เขาจำเป็นต้องตัดสินอย่างเที่ยงธรรม
หลักฐานที่มัดตัวว่าซูเจ๋อมีความผิดก่อนหน้านี้ ยามนี้นำออกมายังชั้นศาล แล้วให้ซูเจ๋อเขียนเทียบลายมือดู โดยทำการตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ซึ่งตัวหนังสือทั้งสองส่วนดูผิวเผินจะเหมือนกันมาก ศาลยุติธรรมต้าหลี่เชิญผู้เฒ่าที่เชี่ยวชาญด้านอักษรมาตรวจสอบ หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียดยิบย่อยมาหนึ่งวันเต็มๆ ผู้เฒ่าจึงสรุปว่าผู้เขียนตัวหนังสือทั้งสองฉบับไม่ใช่คนเดียวกัน
ถึงลายมือจะคล้ายกันเพียงใด หากแต่ด้วยความเคยชินของแต่ละคน จุดเล็กๆยังคงต่างกันอยู่บ้าง
หัวหน้าไต่สวนที่ปิดคดีถูกฆ่าตายในลานประหารแล้ว แต่ลูกน้องและคนสนิทของเขายังคงอยู่ ศาลยุติธรรมจึงจับตัวมาสอบสวน ซึ่งสุดท้ายก็เค้นคอหาความจริงเจอ
สามวันให้หลัง ศาลยุติธรรมก็ส่งผลไต่สวนถวายเข้าวัง ซึ่งมีผลการเปรียบเทียบลายมือตัวหนังสือ คำสารภาพของขุนนางที่เกี่ยวข้อง ทุกอย่างล้วนชัดเจนเป็นขั้นตอน ซึ่งพิสูจน์ว่าหลักฐานพวกนี้เป็นของปลอม เป็นการใส่ร้ายป้ายสีบัณฑิตซูเจ๋อ
ยามนี้ทูตจากเป่ยเซี่ยกับเย่เหลียงล้วนอยู่ระหว่างเดินทางมายังต้าฉู่ เกรงว่าคงจะอยู่ขึ้นปีใหม่ด้วยกันซะแล้ว ทูตจากเป่ยเซี่ยมาถามไถ่ความปลอดภัยขององค์หญิงจิ้งเสียน ส่วนทูตจากเย่เหลียงมาถามไถ่ว่าซูเจ๋อยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ทุกครั้งที่จักรพรรดินึกถึงเรื่องนี้ เขาก็โมโหจนเกือบบ้าคลั่งอยู่กับที่
จักรพรรดิอับจนหนทางสุดท้ายก็ต้องประกาศว่าบัณฑิตซูเจ๋อไร้ความผิด อีกทั้งยังกลับมารับตำแหน่งเป็นราชครูของเหล่าองค์ชาย องค์หญิงต่อในโรงเรียนไท่
ทว่าซูเจ๋อเพิ่งหลุดออกจากคุก สุขภาพอ่อนแอ ให้รักษาตัวอยู่ในเรือนก่อน พอหายดีแล้วค่อยกลับมารับตำแหน่งต่อ
ซูเจ๋อได้กลับเรือนของตัวเองอีกครั้ง ซึ่งของทุกอย่างในเรือนถูกขนออกไปจนว่างเปล่า บรรยากาศเงียบขรึมยิ่งนัก
ตอนนั้นข้ารับใช้และบริวารถูกจับตัวไปหมด ตอนนี้เหลือเพียงสามสี่คน ยังดีที่พ่อบ้านรับมือไหว เพียงแต่สถานการณ์ไม่สู้ดีนัก กลับมาก็ป่วยหนัก
โชคดีมีซูเจ๋อรักษาให้พวกเขา อาการจึงค่อยๆดีขึ้นตามลำดับ
พ่อบ้านกับข้ารับใช้กล่าวด้วยความซาบซึ้งว่า “เดิมทีควรเป็นพวกบ่าวดูแลใต้เท้า ตอนนี้ใต้เท้ากลับต้องดูแลบ่าว ช่างรู้สึกละอายใจยิ่งนัก”
ซูเจ๋อกล่าวอย่างนุ่มนวลอ่อนหวานว่า “พวกเจ้าก็พลอยลำบากไปกับข้า ข้าควรซาบซึ้งพวกเจ้า ดูแลอย่างจริงใจ”
บรรดาข้ารับใช้กล่าวว่า “ใต้เท้าพูดเยี่ยงนี้ พวกบ่าวรับไม่ไหวเจ้าคะ หากไม่ใช่ใต้เท้า พวกข้าคงไร้ที่ซุกหัวนอนกลายเป็นคนเร่ร่อน เพราะใต้เท้าถึงทำให้พวกเรากินดีอยู่ดีตลอดหลายปีที่ผ่านมาใต้เท้าเป็นผู้ช่วยชีวิตพวกเรา ไยต้องกลัวทัณฑ์ทรมานทางผิวกายด้วย”
ซูเจ๋อพยักหน้าหงึกๆ กล่าวว่า “ขอบใจ”
อยู่ด้วยกันมาหลายปีจนกลายเป็นครอบครัวเดียวกันตั้งนานแล้ว เรือนเขามีทาสรับใช้ไม่มาก ทว่าทุกคนล้วนซื่อสัตย์ ภักดี เป็นพวกที่หนักแน่น ยามคับขันก็กัดฟันปิดปากเสียสนิท
ไม่เช่นนั้นตอนนั้นซูเจ๋อคงไม่เลือกพวกเขา
ณ สวนสระวสันตฤดู เฉินเสียนกลับมาใช้ชีวิตปกติดังเดิม เธอไม่เคยอยู่นิ่งๆ หากมีเวลาจะเอาตำราที่ซูเจ๋อมอบให้มาอ่านให้จบ หากเล่มไหนจำไม่ได้ก็จะอ่านเป็นรอบที่สอง
จนกว่าเธอจะท่องจนขึ้นใจ นึกหัวข้อไหนออกก็สามารถหยิบยกมาใช้ได้ทันทีทันใด
เฉินเสียนพบว่าที่แท้สมองของเธอยังสามารถมีพื้นที่จดจำได้มากขนาดนี้
ทว่าสุขภาพเธอไม่ดีเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ในยามที่นั่งอยู่บนตั่งไม้เป็นเวลานาน เธอก็จะต้องถือเตาอุ่นมือ
ข้างโต๊ะได้วางหุ่นกระบอกไว้สองอัน ถึงแม้หุ่นกระบอกจะมีสีดำที่เกิดจากรอยไหม้ ทว่าลักษณะยังคงสื่อให้รู้ว่าอันหนึ่งเป็นบุรุษเพศ ส่วนอีกอันเป็นสตรีเพศได้อย่างชัดเจนลงตัว
เมื่อเธอพลิกหน้าตำราเป็นครั้งครา กระดาษสีเหลืองซีดพลันฉายแสงจางๆ แล้วก็เดินผ่านหุ่นกระบอกคู่นั้นไปมา
นอกหน้าต่างเริ่มมีหิมะโปรยปรายลงมาเรื่อยๆ