เร็ว ๆ นี้เฮ่อเซียงรู้สึกเป็นกังวลกับเรื่องกับเฮ่อโยว ทำให้เขาเป็นลมหมดสติลงตรงกลางบ้าน ช่วงนี้เลยพักฟื้นรักษาตัวอยู่ที่บ้าน ไม่ได้เข้าราชสำนัก
เฮ่อเซียงรู้ว่าที่เรื่องทั้งหมดเป็นแบบนี้ล้วนเป็นเพราะเฮ่อโยว ในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่แต่ลูกชายสองคนกลับทะเลาะขัดแย้งกัน ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ ประกอบกับอาการป่วยที่ขึ้น ๆ ลง ๆ ก็ไม่สามารถหายกลับเป็นปกติได้
องค์จักรพรรดิครุ่นคิดอยู่นาน และเสด็จไปที่จวนเฮ่อ เพื่อเยี่ยมเยียนเฮ่อเซียง
เมื่อเห็นว่าเฮ่อเซียงป่วยจริง ผมของเขาเป็นสีเทา ป่วยจนไม่มีเรี่ยวแรง ริ้วรอยบนใบหน้าก็เพิ่มขึ้นมาก ราวกับอายุมากขึ้นกว่าสิบปี
องค์จักรพรรดิตรัสด้วยเสียงทอดถอนใจ “ไม่เจอกันแค่ไม่เท่าไหร่ อ้ายชิงเป็นถึงขนาดนี้ ข้ารู้สึกปวดใจยิ่งนัก”
เฮ่อเซียงกล่าว “หม่อมฉันขอบพระทัยในความใส่พระทัยของฝ่าบาท ฝ่าบาทเสด็จมาถึงที่นี่ หม่อมฉันรู้สึกผิดที่ไม่ได้ให้การต้อนรับอย่างดี”
“ตอนนี้อ้ายชิงป่วยหนักขนาดนี้ เรื่องพิธีรีตองก็เลี่ยงไปเถอะ อาการป่วยของโรคนี้ช่างรวดเร็วนัก อ้ายชิงต้องระมัดระวังให้มาก”
ในใจของเฮ่อเซียงเต็มไปด้วยความสงสัย องค์จักรพรรดิจะไม่รู้ได้อย่างไร เขาจึงกล่าวว่า “วันนี้กรมอาญานำสำนวนออกตรวจสอบ หวังว่าคดีความของเฮ่อโยวจะปิดได้ในเร็ว ๆ นี้ ประชาชนภายนอกต่างก็ตั้งหน้าตั้งตารอเช่นกัน หวังว่าราชสำนักจะให้คำอธิบายโดยเร็วที่สุด”
เฮ่อเซียงอธิบายด้วยอาการเหี่ยวแห้งและเศร้าใจ
องค์จักรพรรดิถอนหายใจอีกครั้ง “เฮ่อฟังเป็นอ้ายชิงที่มีความสามารถข้างกายข้ามาโดยตลอด ถึงแม้ว่าข้าจะรู้สึกเสียใจ แต่ก็ทนเห็นอ้ายชิงสูญเสียลูกชายไปไม่ได้ ยังจะทำให้อาการป่วยไม่หายง่าย ๆ”
เฮ่อเซียงเข้าใจความหมายในคำพูดขององค์จักรพรรดิ และกล่าวว่า “ได้รับความเห็นอกเห็นใจขององค์จักรพรรดิ หม่อมฉันรู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นพ่ะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิต้องการจะพูดออกมาให้ชัดเจนและตรัสว่า ”หากเฮ่อฟังไม่ได้เป็นคนบงการในคดีนี้ ถึงแม้เขาจะมีความผิด แต่โทษก็ไม่ถึงตาย อ้ายชิง ข้าทนดูไม่ได้ที่จะเห็นเจ้าสูญเสียลูกชายตัวเอง ควรจะทำเช่นไร ในใจของอ้ายชิงน่าจะรู้ดี”
เฮ่อเซียงสะดุ้ง “หม่อมฉันมิกล้าวินวอนขอให้องค์จักรพรรดิอภัยโทษให้กับลูกของหม่อมฉัน ต้าฉู่มีกฎหมาย หม่อมฉันมิอาจฝ่าฝืนกฎหมายได้ แต่องค์จักรพรรดิ…สามารถที่จะประทานความเมตตาสงสารได้จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิกุมมือและตรัสว่า “ข้าก็ไม่ต้องการให้เฮ่อฟังต้องมาจบชีวิตลงเช่นนี้”
หลังจากที่องค์จักรพรรดิเสด็จกลับ เฮ่อเซียงราวกับได้รับพลังวิเศษ เขาไม่ได้สนใจแม้แต่น้อยว่าตัวเองกำลังป่วยหนัก กลับมีพละกำลังลุกขึ้นมาจัดการเรื่องนี้
เขาออกจากบ้านตั้งแต่เช้า และกลับมาดึกดื่นแทบทุกวัน ขนาดที่เฮ่อโยวก็แทบไม่ได้เจอหน้าเขาเลย
ต่อมา คดีความของเฮ่อฟังก็นับว่าได้ข้อสรุปในที่สุด คดีนี้ไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับผู้สมรู้ร่วมคิดจำนวนมากเท่านั้น แต่ยังมีหลักฐานรอบใหม่พิสูจน์ให้เห็นว่าเฮ่อฟังไม่ใช่ผู้บงการในคดีนี้ เขาทำหน้าที่แทนผู้อื่นเท่านั้น สุดท้ายแล้วผู้ที่เป็นคนอยู่เบื้องหลังของเรื่องนี้คือเสนาบดีฝ่ายโยธาธิการ
เสนาบดีฝ่ายโยธาธิการละเลยในหน้าที่ ปิดบังหลอกลวงและรับเงินอย่างมากมายมหาศาล สุดท้ายก็ถูกส่งไปยังลานประหาร และครอบครัวของเขาก็ถูกรื้อค้นบ้านและถูกเนรเทศในที่สุด
เมื่อเสนาบดีฝ่ายโยธาธิการถูกส่งไปคุมตัวไปยังลานประหารเขายังตะโกนด่าออกมา หลังจากที่มีดกดลงไป ก็มาถึงจุดจบของเรื่องนี้
เพราะเฮ่อฟังไม่ได้เป็นผู้บงการ ทำให้ถูกลดโทษประหารชีวิต ตัวเขายังถูกคุมขังอยู่ภายในคุกที่กรมอาญา รอให้คดีความสิ้นสุดลงก็สามารถออกมาได้
เมื่อเฮ่อเซียงกลับบ้านอย่างเหนื่อยล้า เฮ่อโยวกำลังรอเขาอยู่
เฮ่อโยวมีสีหน้าเย็นชาและถามด้วยเสียงแข็ง “พ่อเป็นผู้รู้เห็นเรื่องทั้งหมดใช่ไหม?”
เฮ่อเซียงไม่อยากใส่ใจเขา เขาเดินตรงไปและอ้อมเข้าประตูห้อง
เฮ่อโยวกล่าวข้างหลังเขาว่า “คนที่สมควรต้องตายคือเฮ่อฟัง แต่ท่านกลับมาโยนความไปให้คนอื่น ทำให้ครอบครัวของเขาเดือดร้อนมากแค่ไหน ท่านพ่อรู้บ้างไหม!”
“ในฐานะที่เป็นถึงหนึ่งในอัครมหาเสนาบดี รู้กฎหมายแล้วยังฝ่าฝืนกฎหมาย ใช้ผลประโยชน์ส่วนตัวเพื่อทำลายเสนาบดี ท่านไร้ประโยชน์ในการเป็นอัครมหาเสนาบดีที่สุด!”
เฮ่อเซียงหยุดจังหวะฝีเท้าของเขาลง รู้สึกเหี่ยวเฉาลง
เฮ่อโยวถอยหลังไปสองก้าวและกล่าว “คนอย่างท่านไม่คู่ควรที่จะเป็นหัวหน้าขุนนางทั้งหลาย ท่านมีแต่จะทำให้ราชสำนักสกปรกและเสื่อมโทรมมากขึ้นเท่านั้น ข้าเคยคิดว่าคนแก่อย่างท่านเป็นคนดื้อรั้น สายตาพร่ามัว แต่มาวันนี้ท่านไม่รู้จักถูกผิด เห็นชั่วเป็นดี ข้าไม่เคยผิดหวังในตัวท่านเท่านี้มาก่อนเลย”
ร่างกายแก่ชราของเฮ่อเซียงสั่นไหว หันกลับมามองเฮ่อโยว
นับตั้งแต่วินาทีที่เขานำหายนะไปสู่ผู้อื่น เขามักถูกประณามจากมโนธรรมของเขาเสมอ วันนี้คำพูดของเฮ่อโยว ทำให้ใจของเขาอับอายมากขึ้น
เขาอาจจะทำผิดพลาดไปที่ช่วยเฮ่อฟังด้วยวิธีนี้
ต้องใช้หลายสิบชีวิตมาแลกกับชีวิตลูกชายของเขาแค่คนเดียว คนอื่นเป็นผู้บริสุทธิ์ไม่ได้รู้เห็นกับเรื่องนี้เลย แต่เฮ่อฟังยังไงก็มีส่วนผิด
เฮ่อโยวกล่าว “ตาแก่ ถึงแม้ครั้งนี้เฮ่อฟังจะรอดพ้นจากความตาย แต่ครั้งหน้าข้าจะต้องทำให้เขาตายอย่างทุกข์ทรมานให้ได้ ถ้าท่านแน่จริง ก็นำเรื่องนี้ไปฟ้ององค์จักรพรรดิ ให้ชีวิตของข้าแลกด้วยชีวิตของเขา ชาตินี้จะไม่ยอมอยู่ร่วมใต้ฟ้าเดียวกัน มีเขาต้องไม่มีข้า มีข้าก็ต้องไม่มีเขา”
พูดจบเขาก็เดินจากไป ปล่อยให้เฮ่อเซียงเดินโซเซไปสองก้าว หมดสิ้นเรี่ยวแรงไปจับประตูเพื่อพยุงร่างกายเอาไว้ มองดูแผ่นหลังของเฮ่อโยวที่เดินจากไป ตาเขาเปียกชื้นไปด้วยน้ำตา
สายลับทั้งสองชุดที่องค์จักรพรรดิส่งมาเฝ้าติดตามที่จวนฉินได้หายตัวไปอย่างน่าประหลาด และไม่พบร่องรอยเบาะแสใด ๆ ซึ่งทำให้องค์จักรพรรดิรู้สึกไม่สบายพระทัยเป็นอย่างมาก
ถึงแม้ว่าในจวนฉินจะไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ แต่เรื่องนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับเฉินเสียนและฉินหรูเหลียงอย่างปฏิเสธไม่ได้
องค์จักรพรรดิยังได้รับข่าวคราวว่าในระยะนี้เฉินเสียนออกจากจวนบ่อยครั้ง เพื่อไปนั่งเรือเล่นที่แม่น้ำหยางชุน เธอและหมอดูที่ชื่อว่าหลิวอีกว้าค่อยข้างสนิทสนมใกล้ชิดกัน
องค์จักรพรรดิยังส่งคนไปติดตามเฝ้าดูและรู้มาว่าหลิวอีกว้าเป็นนักเลงในนครหลวงซึ่งมักคุ้นกับการโกงเงินของคนรวยโดยเฉพาะ
เกรงว่าเฉินเสียนก็ถูกเขาหลอก เขาดูดวงให้เฉินเสียนและบอกว่า เธอจะมีเคราะห์ร้าย คงอยู่ได้ไม่ถึงอายุสามสิบปี
เฉินเสียนมีอนาคตที่ไม่แน่นอนและรู้สึกท้อแท้ ดังนั้นเธอจึงปล่อยตัวและสนุกไปกับมัน
หิมะที่กำลังจะมาถึงนครหลวงอย่างเชื่องช้า เมื่อฤดูหนาวมาถึง ก็ตกลงมาอย่างค่อย ๆ
ในทุก ๆ ปีนครหลวงจะขาดไม่ได้กับหิมะที่ตกอย่างหนักไม่ขาดสาย ที่ที่ลืมตาขึ้น มีหิมะขาวโพลนกว้างใหญ่ และเกล็ดหิมะที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าคล้ายกับขนห่านที่อ่อนนุ่ม ซึ่งในไม่ช้าก็ปกคลุมไปทั่วนครหลวงที่เจริญรุ่งเรืองแห่งนี้
บ้านสูงและต่ำและถนนที่อยู่ไกลและใกล้ถูกปกคลุมไปด้วยสีขาวบริสุทธิ์พร่างพราย
น้ำในแม่น้ำหยางชุนค่อย ๆ กลายเป็นน้ำแข็ง และเรือที่จอดอยู่บนแม่น้ำก็ดูแข็งแกร่งมั่นคงมากขึ้น ม่านลูกปัดบนเรือยังคงสวยงามและเป็นทัศนียภาพที่งดงามบนแม่น้ำหยางชุน
กิ่งของต้นหลิวทั้งสองข้างถูกปกคลุมด้วยหิมะเป็นสีขาว และเมื่อน้ำหนักถึงระดับหนึ่ง หิมะจะตกลงมาจากกิ่งก้าน
สถานที่ที่รุ่งเรืองและมีความสุขที่สุดที่เท้าขององค์จักรพรรดิยืนอยู่คือสถานที่ที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ แต่เมื่อเทียบกับอาณาจักรต้าฉู่ในพื้นที่อื่นออกไปนั้น คือความโชคร้ายและภัยพิบัติ
หลังจากน้ำท่วมในฤดูใบไม้ร่วง ความหนาวเย็นของฤดูหนาวก็มาเยือนอีกครั้ง มีผู้ลี้ภัยอยู่ทุกหนทุกแห่งที่ไม่สามารถย้ายถิ่นฐานได้ ไม่มีอาหารและเสื้อผ้า พวกเขาจะใช้อะไรเพื่อเอาชีวิตรอดในกลางฤดูหนาวนี้ได้อย่างไร?
นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของช่วงเวลาที่หนาวที่สุด
แค่เรื่องทูลเกล้าฯ ถวายรายงานในราชสำนักของแต่ละที่ก็วุ่นวายมากพอแล้ว ไหนจะเรื่องทรัพย์สินในท้องพระคลังที่ว่างเปล่า เสบียงอาหารไม่เพียงพอ จะมีเวลาที่ไหนไปดูแลบรรเทาสาธารณภัยได้ ทำได้เพียงแค่ให้แต่ละที่จัดการปัญหาด้วยตัวเองกันไป
ในเมืองและมณฑลที่สถานการณ์ค่อนข้างรุนแรง จิตใจของประชาชนวุ่นวาย และนำไปสู่การจลาจล อย่างไรก็ตามเรื่องการจลาจลขนาดเล็กไม่ได้กระตุ้นความสนใจต่อราชสำนักต้าฉู่เลยแม้แต่นิดเดียว
ในวันเหมายัน องค์จักรพรรดิเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงและเชิญเฉินเสียนและฉินหรูเหลียงเข้ามาร่วมงานเลี้ยงเฉลิมฉลองในวังด้วย
แม้ตอนนี้ฉินหรูเหลียงจะไม่ได้เป็นท่าแม่ทัพใหญ่แล้ว แต่ก็นับเป็นท่านราชบุตรเขยขององค์หญิงจิ้งเสียน อีกทั้งเจ้าน่องน้อยก็ยังอยู่ในวังหลวง จึงไม่มีเหตุผลที่ทั้งสองจะปฏิเสธการไปร่วมงานได้
ไม่บ่อยนักที่จะได้เจอกับเจ้าน่องน้อย เฉินเสียนตั้งใจบรรจงเลือกของเล่นและเสื้อผ้าสำหรับเด็กขวบสองขวบเพื่อนำเข้าวังไปพร้อมกัน