แม้ว่าวังหลวงจะเป็นสถานที่ที่อันตราย แต่ตอนนี้มันต่างออกไปจากอดีต องค์จักรพรรดิพยายามทุกวิถีทางเพื่อต้องการชีวิตของเธอแต่ก็ไม่เคยสำเร็จ และเธอก็โล่งใจเล็กน้อยเมื่อนึกถึงมัน
ส่วนเรื่องงานเลี้ยงเฉลิมฉลองขององค์จักรพรรดินั้น ทำให้เธอมีโอกาสได้พบหน้าเจ้าน่องน้อย จึงทำให้เธออยากไปโดยธรรมชาติ
หลังจากเข้าไปในวังแล้ว ก็ยังเช้าอยู่ และยังเหลือเวลาอีกเยอะกว่าจะถึงเวลางานเลี้ยงเฉลิมฉลอง เฉินเสียนและฉินหรูเหลียงเลยไปหาเจ้าน่องน้อย
แต่คาดไม่ถึงคือเจ้าน่องน้อยเปลี่ยนที่ประทับ ย้ายไปอยู่ในอีกตำหนักตามลำพัง
องค์จักรพรรดิต้องการให้เธอได้เห็นกับตาของเธอเองถึงสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ณ พระตำหนักไท่เหอที่เจ้าน่องน้อยได้ย้ายมาประทับอยู่อย่างลำพัง
พระตำหนักไท่เหอนี้ไม่ได้อยู่ในส่วนของวังหลัง ในอดีตเคยถูกใช้เพื่อลงโทษองค์ชายและองค์หญิงขององค์จักรพรรดิในการคุมขัง ดังนั้นสถานที่นี้จึงค่อนข้างรกร้างและห่างไกล
เมื่อได้เข้ามาอยู่ที่พระตำหนักไท่เหอแล้วนั้น นอกจากจะมีคนมารับตัวออกไป ไม่อย่างนั้นก็ยากที่จะออกไปจากที่แห่งนี้
เนื่องจากพระตำหนักไท่เหอสร้างขึ้นบนทะเลสาบและล้อมรอบด้วยน้ำ มีเพียงสะพานไม้ที่เชื่อมระหว่างพระตำหนักและชายฝั่ง สะพานไม้นั้นมีโอกาสชำรุดลงได้ทุกเมื่อ หากว่าชำรุดและหักลงแล้ว พระตำหนักไท่เหอจะถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังและช่วยอะไรไม่ได้
ในทะเลสาบแห่งนี้ที่ล้อมรอบด้วยน้ำมีจระเข้ที่ดุร้ายและโหดร้ายหลายตัว หากใครลงไปในน้ำจระเข้จะว่ายเข้าไปและกลายเป็นอาหารของมันในทันที
นับประสาอะไรกับการลงไปในน้ำ แม้จะยืนอยู่บนฝั่งและมองดูลักษณะของจระเข้ก็สามารถทำให้กลัว
เนื่องจากเป็นที่ห่างไกลและรกร้าง องค์ชายและองค์หญิงต่างก็กลัวการทำความผิดแล้วถูกส่งมาขังไว้ที่นี่ ต่างก็ล้วนประพฤติตัวเรียบร้อยไม่ออกนอกลู่นอกทาง จึงทำให้ที่นี่รกร้างว่างเปล่าไป ทะเลสาบไม่ได้รับการบำรุงรักษา ทำให้กอกกก็งอกขึ้นด้านข้างเป็นเวลานาน คนในวังต่างก็กลัวที่จะตกลงไปในน้ำ ทำให้กอกกหญ้าที่ขึ้นมาบริเวณรอบไม่ได้รับการตัดแต่ง
เมื่อมองจากชายฝั่ง มองเห็นพระตำหนักไท่เหอที่ถูกบดบังโดยต้นอ้อรกสูงเป็นบางส่วน มองดูช่างเลือนราง แอบแฝงไปด้วยความงดงาม
เฉินเสียนหรี่ตาของเธอลงโดยไม่แสดงสีหน้าอะไร ภายใต้การแนะนำของคนในวัง ก้าวขึ้นไปบนสะพานไม้เพียงแห่งเดียวและเดินตรงไปที่พระตำหนักไท่เหอ
ทันทีที่เท้าของเธอเหยียบบนพื้นของพระตำหนักไท่เหอ เฉินเสียนเงยหน้าขึ้นไปและเห็นเจ้าตัวน้อยที่เดินเตร่ออกมาเล่นอยู่กับนางกำนัลในวัง
นัยน์ตาเรียวเล็กคู่นั้น ขาวดำแยกออกจากกันอย่างชัดเจน สะอาดและสุขสงบ เมื่อเผชิญหน้ากับผู้คนและสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเขา เขามีความปรารถนาดีโดยกำเนิดและความบริสุทธิ์ที่ไร้เดียงสา
ใบหน้าของเจ้าน่องน้อยนั้นเหมือนกับไข่ที่เพิ่งปอกเปลือก ทั้งสวยงามและอบอุ่น ร่างกายก็ถูกห่อหุ้มด้วยเสื้อขนเป็ดขนาดเล็ก เล็กสั้นและละเอียดอ่อน
เขามองไปที่เฉินเสียนและอ้าปากค้าง แต่กลับไม่ส่งเสียงใด ๆ ออกมา เขาปล่อยมือออกจากนางกำนัลที่จูงมือเขาอยู่ มือเล็ก ๆ นั้นกุมเข้าบีบที่มุมเสื้อขนเป็ด
ดวงตาที่เปียกชื้นจำเฉินเสียนได้อย่างชัดเจน เป็นเพราะว่าเขาเงียบ และเติบโตมาด้วยความเย็นชา ไม่เหมือนกับเด็กคนอื่น ๆ ที่เพื่อไม่ได้พบเจอแม่แท้ ๆ เป็นเวลานานก็จะวิ่งเข้าไปโผกอด
เมื่อเฉินเสียนเห็นเขา ไม่ว่าจิตใจที่แข็งกระด้างและรู้จักยับยั้งมากเพียงใด ก็สามารถเปลี่ยนไปยุ่งเหยิงและทรุดตัวลงอย่างสมบูรณ์
เขาเป็นคนเงียบ ๆ ไม่มีเสียงดัง ไม่ร้องไห้และไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังมีความสุขหรือเศร้า ด้วยเหตุผลนี้เองที่เฉินเสียนควรให้ความรักความสำคัญกับเขามากขึ้น
เธอได้แต่คิด เธออยากจะเห็นหน้าของเขาทุกวัน เหมือนกับแม่ธรรมดาคนอื่น ๆ ที่สามารถรักเขาปลอบเขา แต่พวกเขาไม่ใช่แม่ลูกธรรมดาเหมือนคนอื่น ๆ เงื่อนไขนี้จึงไม่สามารถปฏิบัติได้
เหมือนกับวันนี้ มีโอกาสเข้ามาในวังเพื่อมาเจอหน้าเขา ก็มีข้อจำกัด
เฉินเสียนกระชับกระโปรงของเธอและค่อยๆ ย่อตัวลง ดวงตาของเธอก็เปียกเล็กน้อย ทำให้รูม่านตาของเธอนั้นชัดเจนขึ้น เธอกางแขนออกและยิ้มอย่างอบอุ่นพร้อมกับกล่าว “เจ้าน่องน้อย มาหาแม่ทางนี้มา”
ในตอนแรกเจ้าน่องน้อยไม่ยอมเคลื่อนไหว ไม่รู้ว่าเขากลัวที่จะเดินคนเดียวหรือขี้ขลาด เฉินเสียนจึงรอเขาอย่างอดทนด้วยรอยยิ้ม
ต่อมาเจ้าน่องน้อยเริ่มขยับก้าวเล็ก ๆ แกว่งแขนเล็ก ๆ สองข้าง มือเล็ก ๆ ที่จ้ำม่ำเสมือนกับหมั่นโถวสองลูก เดินเซไปพร้อม ๆ กับแกว่งมือไปมา
เมื่อเดินไปได้ครึ่งทาง ดูเหมือนว่าเขาจะควบคุมการทรงตัวต่อไม่ได้แล้ว เท้าที่ก้าวไปเริ่มจะเซมากกว่าเดิมและเริ่มเดินเร็วขึ้น เมื่อมองออกไปก็เกือบใกล้จะถึึงอ้อมแขนของเฉินเสียนแล้ว แต่จู่ ๆ ก็สะดุดล้มลงกับพื้น
เฉินเสียนไม่พูดอะไร และไม่มีทีท่าลุกขึ้นเพื่อไปอุ้มเจ้าน่องน้อย เธอยังคงนั่งรออยู่ที่เดิม
เจ้าน่องน้อยค่อย ๆ ลุกขึ้นจากพื้นด้วยตัวของเขาเอง โดยไม่ร้องไห้ และวิ่งไปข้างหน้าอีกครั้ง ก่อนที่จะล้มลงอีกครั้ง ในที่สุดก็โถมตัวเองเข้าไปในอ้อมแขนของเฉินเสียน
เฉินเสียนกอดเขาแน่นทันที ทั้งจูบและกอดเขา ดวงตาที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำตากล่าว “ช่างเป็นลูกของแม่จริง ๆ เจ้าน่องน้อย”
เฉินเสียนเล่นกับเจ้าน่องน้อยอยู่พักหนึ่ง และสวมเสื้อผ้าตัวเล็กๆ ที่เธอนำมาให้เขา ดูแล้วช่างน่ารักและสดใสมากทีเดียว เฉินเสียนกอดเขาเล่นอยู่ครู่หนึ่งและไม่สามารถวางลงได้
“คราวที่แล้วได้ยินชัดว่าเจ้าเรียกแม่ ทำไมคราวนี้เจ้าไม่ยอมเรียกอีกล่ะ? ไหน เรียกให้แม่ได้ยินหน่อย?”
ไม่ว่าเฉินเสียนจะเกลี้ยกล่อมอย่างไร คราวนี้เจ้าน่องน้อยก็ไม่ทะเลาะกับเธอ ไม่ว่ายังไงก็ไม่ยอมพูดออกมา
อาจเป็นเพราะเฉินเสียนไม่ได้มาเยี่ยมเขาในวังเป็นเวลานาน ดังนั้นเขาจึงรู้สึกโกรธมาก
เจ้าน่องน้อยไม่ใกล้ชิดฉินหรูเหลียง และยังมองเขาด้วยตาขวาง เมื่อฉินหรูเหลียงเห็นเจ้าน่องน้อยแสดงท่าทางอารมณ์เช่นนี้ ก็ทำให้นึกถึงคนบางคนขึ้นมา รู้สึกไม่สบายใจ และไม่ริเริ่มเข้าไปใกล้ชิดกับเจ้าน่องน้อย
ในสายตาของเหล่านางกำนัลทั้งหลาย ความสัมพันธ์ของแม่และความสัมพันธ์ของพ่อต่างก็แสดงออกไม่เหมือนกันอย่างมาก
ได้เวลารับประทานอาหารของเจ้าน่องน้อยแล้ว คนในวังก็ส่งต้มจืดที่อ่อนนุ่มมาให้ เจ้าน่องน้อยไม่ใช่เด็กกินยาก เฉินเสียนป้อนเขาทานทีละช้อน ๆ
เมื่อได้เวลางานเลี้ยงเฉลิมฉลอง เฉินเสียนเตรียมตัวออกเดินทาง ส่วนเจ้าน่องน้อยก็อยู่ภายในพระตำหนักไท่เหอ ประการแรกคือองค์จักรพรรดิไม่ได้ทรงอนุญาตให้เธอพาเจ้าน่องน้อยออกจากพระตำหนักไท่เหอ ประการที่สอง เฉินเสียนก็ไม่อยากพาเขาไปข้องเกี่ยวใด ๆ กับผู้คนในวังหลวง
เฉินเสียนกล่าว “เจ้าน่องน้อย หากเจ้ายังไม่เรียกแม่ งั้นแม่ต้องไปแล้วนะ ถ้าแม่ไปแล้วเจ้าอยากจะเรียก แม่ก็ไม่ได้ยินแล้วนะ”
มือน้อย ๆ ของเจ้าน่องน้อยจับไปที่กระโปรงของเฉินเสียน
คนในวังที่งานเลี้ยงเฉลิมฉลองมาเชิญแล้วถึงสองครั้ง เฉินเสียนข่มใจลุกขึ้นและออกมาจากพระตำหนักไท่เหอพร้อมกับฉินหรูเหลียง
ตอนที่เธอเดินจากมา นางกำนัลจับมือเจ้าน่องน้อยไว้ แต่เขาสะบัดมือนางกำนัลออก และวิ่งตามหลังไปราวกับลูกวัวตัวน้อย
เมื่อเดินมาถึงสะพานไม้ เจ้าน่องน้อยก็หยุดมองไปที่เฉินเสียน ทันใดนั้นก็เรียกขึ้นมา “แม่”
เท้าของเฉินเสียนก็หยุดนิ่งลง
เธอหลับตาลง ดวงตาของเธอเปียกโชกไปด้วยน้ำตา แต่ริมฝีปากของเธอก็ยิ้ม และเธอตอบว่า “อืม ใช่แล้ว”
คราวก่อน “อือ อา” สองครั้ง ฟังดูเหมือนกำลังเรียกแม่ แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน เฉินเสียนได้ยินชัดเต็มสองหูว่าเขาเรียกแม่
เมื่อก่อนที่ยังอยู่ที่จวนแม่ทัพเขายังอายุได้ครึ่งขวบกว่า ๆ เฉินเสียนก็ตั้งตารอคอย และในที่สุดเด็กคนนี้ก็ทำได้
เธอหันกลับไปมองเจ้าน่องน้อย และกล่าวว่า “เจ้าน่องน้อยเป็นเด็กดีนะ วันหลังแม่จะมาหาใหม่”
เจ้าน่องน้อยดูอยากจะก้าวเท้าขึ้นไปบนสะพานไม้ แต่ก็ถูกนางกำนัลดึงไว้
เฉินเสียนกัดฟันและจากมาพร้อมกับฉินหรูเหลียง
ฉินหรูเหลียงปลอบเธอระหว่างทางและกล่าวว่า “เด็กคนนี้ฉลาด หากโง่เขลาหน่อยกว่าจะเริ่มพูดก็อายุเกือบจะสองขวบแล้ว แต่วันนี้ท่านพูดต่อหน้าเขาซ้ำ ๆ ไม่กี่ครั้ง ก็ทำให้เขาก็เรียกแม่ได้”
ช่างมีไหวพริบเหมือนพ่อของเขาไม่มีผิด
เฉินเสียนฟังแล้วรู้สึกสบายใจขึ้นมาและกล่าวว่า “นั่นคือลูกชายของข้า ถ้าเขาไม่ฉลาดแล้วใครจะฉลาด” หลังจากนั้นก็หยุดชะงักและนึกถึงสิ่งที่ซูเจ๋อพูดก่อนหน้านี้และกล่าวว่า “ไม่ โง่เขลาหน่อยจะดีกว่า” โง่เขลาจะได้มีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น