เฉินเสียนจ้องมองไปที่ฉินหรูเหลียง พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ตอนนี้เหล่าทหารเวรยามต่างพากันตามหาเขา แล้วทำไมข้าถึงตามหาเขาไม่ได้ล่ะ? อีกอย่างเขาเองก็ได้รับบาดเจ็บ หากถูกเหล่าทหารเวรยามจับได้ขึ้นมาแล้วละก็ เรื่องราวคงบานปลายไปกันใหญ่แน่”
ฉินหรูเหลียงเม้มปากเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ท่านยังรู้อยู่หรือว่าเขาถูกทหารเวรยามตามล่าตัวอยู่! เวลาแบบนี้ท่านยังจะกล้าออกไปได้ยังไงกัน?”
เฉินเสียนกำเศษผ้าไว้แน่น เธอสูดลมหายใจเข้าลึกพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ข้าจะระมัดระวังตัวเป็นอย่างดี หยุดรถม้าตรงปากทางข้างหน้านั่น”
ฉินหรูเหลียงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า : “เฉินเสียน ท่านไปไม่ได้ ข้าไม่ยอมให้ท่านไปอย่างเด็ดขาด”
คนบังคับรถม้าเป็นคนของฉินหรูเหลียง แม้ว่าจะผ่านปากทางข้างหน้านั้นไป แต่หากฉินหรูเหลียงไม่อนุญาตให้เขาจอด เขาก็ไม่กล้าที่จะจอดเช่นกัน
ได้ยินเพียงฉินหรูเหลียงตะโกนออกคำสั่งเสียงดังว่า : “รีบกลับไปที่จวน ห้ามหยุดแม้แต่นิดเดียว”
คนบังคับรถม้าจึงฟาดแส้ลงบนหลังม้า ไม่เพียงแต่ห้ามหยุดรถ แต่ต้องรีบกลับไปเร็วขึ้นกว่าเดิมด้วย
รถม้าวิ่งอยู่บนถนนที่เต็มไปด้วยหิมะ จึงค่อนข้างส่ายและไม่มั่นคง โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่คนสองคนในรถม้ากำลังทะเลาะต่อสู้กันอยู่
หลายต่อหลายครั้งที่คนบังคับรถม้าควบคุมรถม้าไม่ค่อยได้ รถม้าเกือบจะคว่ำตั้งหลายหน
เฉินเสียนที่ไม่ได้อ่อนแอ บวกกับแขนของฉินหรูเหลียงยังไม่ได้ฟื้นฟูหายสนิท เธอยังพอสู้รบตบมือกับฉินหรูเหลียงได้อยู่พักหนึ่ง แต่ร่างกายของเธอไม่ได้เป็นเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ผ่านไปเพียงครู่หนึ่งเธอก็หมดแรงลง จึงถูกฉินหรูเหลียงหมุนมือทั้งคู่ไขว้หลัง แล้วรวบตัวเธอเข้ามากอด
เฉินเสียนหายใจหอบไม่หยุด ได้ยินเสียงของฉินหรูเหลียงดังขึ้นข้างหูว่า : “ข้าขอเตือนท่านด้วยความหวังดีว่าท่านควรจะเก็บแรงไว้หน่อย ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่อาจปล่อยท่านไปทำเรื่องที่เสี่ยงอันตรายแบบนั้นโดยเด็ดขาด”
แต่เมื่อเขาพูดจบ สีหน้าของฉินหรูเหลียงก็เปลี่ยนไปในทันที
ในรถม้านั้นมืดสนิทไร้ซึ่งความสว่าง ฉินหรูเหลียงรวบแขนสองข้างของเฉินเสียนไขว้หลังเอาไว้ พร้อมกับป้องกันเฉินเสียนใช้เท้าหลังเตะอีกด้วย แต่ไม่ทันได้ระวังมือสองข้างที่ไขว้หลังของเฉินเสียน เธอจับไปยังจุดใต้เอวทันที
ฉินหรูเหลียงสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่
ให้ตายสิผู้หญิงคนนี้ ทีที่แบบนี้ล่ะจับแม่นเสียไม่มี จับจุดประตูชีวิตของเขาแม่นยำไม่คลาดเคลื่อนแม้แต่นิดเดียว
ฉินหรูเหลียงรีบพูดขึ้นด้วยความลนลาน : “เฉินเสียน ท่านกำลังจับอะไรอยู่!”
เฉินเสียนพูดขึ้นอย่างใจเย็นว่า : “ฉินหรูเหลียง วันข้างหน้าหากไม่อยากไร้สิ้นลูกหลานสืบสกุล ร่วมหลับนอนกับหญิงอื่นไม่ได้ ก็ควรจะปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ แล้วข้าจะปล่อย……ไข่ของท่าน”
“ท่าน……” ฉินหรูเหลียงนึกไม่ถึงเลยแม้แต่นิดเดียว ว่าเขาจะถูกเฉินเสียนจับมาต่อรองด้วยวิธีนี้ เขาฉุนจัดจนตัวสั่นเทา : “ท่านยังมียางอายอยู่หรือเปล่า ไม่ดูเลยว่ากำลังจับตรงไหนของผู้ชาย!”
“พูดให้มันน้อยๆ หน่อย ตอนนี้ท่านจะปล่อยหรือไม่ปล่อย?” เฉินเสียนค่อยๆ เพิ่มน้ำหนักมือขึ้น
ตรงนั้นทั้งไวต่อสัมผัสและอ่อนนุ่มเป็นที่สุด เพียงแค่บีบเบาๆ ฉินหรูเหลียงก็ปวดจนหน้าเขียวไปหมดแล้ว เขาขบกรามแน่นพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “เฉินเสียน ท่านมันเป็นหญิงที่ไร้ซึ่งยางอาย”
ไม่รู้เป็นเพราะอะไร เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่แทบจะบ้าคลั่งของฉินหรูเหลียงแล้ว เฉินเสียนกลับรู้สึกสบายใจเข้าไปใหญ่
เฉินเสียนพูดขึ้นอย่างไม่ได้สนใจว่า : “ถูกต้อง ข้ามันเป็นหญิงไร้ยางอาย แล้วจะทำไมล่ะ? เมื่อครู่นี้ท่านแน่มากไม่ใช่หรือ? เชื่อหรือเปล่าว่าข้าจะบีบมันให้แหลกละเอียดเละเป็นจุณเชียว! ยังจะไม่รีบปล่อยมืออีก!”
ฉินหรูเหลียงรู้สึกว่าหากเขายังไม่รีบปล่อยมือแล้วล่ะก็ เฉินเสียนคงจะไม่ออมมือแน่ๆ และคงจะบีบของของเขาเละเหมือนไข่ไก่เป็นแน่แท้
ช่วยไม่ได้แล้ว ฉินหรูเหลียงจึงทำได้แค่เพียงค่อยๆ คลายมือออกจากเฉินเสียน ให้แขนทั้งสองข้างของเฉินเสียนอิสระอีกครั้ง เธอขยับไหล่อยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยๆ ปล่อยมือออกจากตรงนั้นของฉินหรูเหลียง
เมื่อครู่นี้ที่ถูกเธอจับแบบนั้น มือหนักไม่เบาเลย ใต้ท้องน้อยของเขาจึงรู้สึกปวดระบมไปหมด พลอยทำให้ฉินหรูเหลียงยังตั้งตัวไม่ติด
เวลานี้เอง นึกไม่ถึงเลยว่ายังไม่ทันจะสั่งให้รถม้าหยุดรถ จู่ๆ เฉินเสียนก็เปิดม่านหน้าต่างของรถม้าเพื่อเตรียมกระโดดออกไป
ฉินหรูเหลียงเห็นแล้วจึงตกใจเป็นอย่างมาก รีบยื่นมือไปคว้าตัวเธอทันที : “เฉินเสียน!”
เพียงแต่ฉินหรูเหลียงช้าไปหนึ่งเก้า เฉินเสียนกระโดดออกไปก่อนที่เขาจะคว้าโดนตัวเธอ
รถม้าวิ่งค่อนข้างเร็ว เธอกระโดดออกไปอย่างไม่กลัวและไม่สนใจอะไรแบบนี้ จะบาดเจ็บเอาได้ง่ายๆ
ฉินหรูเหลียงรู้สึกสะดุ้งไปทั้งใจ รีบชะโงกหน้าออกไปดู เห็นเฉินเสียนกระเด็นลงบนหิมะไถลออกไปค่อนข้างไกล เพราะเธอไม่ได้กะน้ำหนักตัวและฝีเท้าให้ดี กระโดดลงบนหิมะอย่างจัง
เขาจึงรีบสั่งให้คนบังคับรถม้าหยุดรถในทันที คนบังคับรถม้าใช้เวลาหยุดรถพอควร และไถลไปค่อนข้างไกล
เฉินเสียนรู้ดีว่าทำแบบนี้อันตรายมาก แต่เธอก็ได้เล็งกองหิมะที่สูงแล้วหนาที่สุดไว้แล้ว ไม่ว่าจะกระโดดลงไปยังไง ก็จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอะไร อย่างมากก็แค่เจ็บนิดๆ หน่อยๆ
ความรู้สึกที่เย็นยะเยือกสัมผัสเข้ากับไหล่และแขนผ่านเสื้อผ้าที่เธอสวมใส่
เธอใช้แขนทั้งสองข้างเป็นเกราะกำบังและหนุนศีรษะไว้อย่างชำนาญ เพื่อหลีกเลี่ยงการได้รับบาดเจ็บ
ฉินหรูเหลียงกระโดดลงจากรถม้า เห็นเธอค่อยๆ คลานลุกขึ้นจากกองหิมะ แล้วค่อยๆ ปัดเศษหิมะออกจากตัวเธอ
เฉินเสียนหันกลับไปมองเขา พูดขึ้นในระยะไกลว่า : “ท่านกลับไปเถอะ ข้าจะกลับไปก่อนฟ้าสางแน่นอน”
เมื่อพูดจบ ฉินหรูเหลียงยังไม่ทันจะตามมา เฉินเสียนก็หมุนตัวแล้ววิ่งเข้าไปในตรอกที่มืดมิดข้างถนนอย่างรวดเร็ว แล้วเขาจะไปตามหาจากที่ไหนกันเล่า
ฉินหรูเหลียงยืนอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง สุดท้ายแล้วเขาจึงค่อยหมุนตัวเดินกลับไปที่รถม้า ในขณะที่กำลังก้าวขาขึ้นรถม้า ก็เห็นเข้ากับอะไรบางอย่างบนกองหิมะ
เขาโค้งตัวแล้วเก็บสิ่งนั้นขึ้นมา วางลงบนฝ่ามือแล้วมองดูดีๆ จึงเห็นว่าเป็นปิ่นไข่มุกระย้าเล่มนั้น
เธอเสียบลงบนผมอย่างไม่ได้สนใจอะไรมาก แม้กระทั่งมันหายไปตอนไหนเจ้าตัวก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ ดูแล้ว เธอก็คงจะไม่ได้ใส่ใจอะไรแม้แต่นิด
ฉินหรูเหลียงกำมันไว้แน่น กลับไปนั่งบนรถม้า ให้คนบังคับรถม้ารีบเดินทางโดยไว
เธอเองได้ทำเพื่อซูเจ๋อขนาดนั้น จึงไม่ได้สนใจคนอื่นเลย และเขาเองก็ควรจะชินตั้งนานแล้ว
น่าเสียดาย ที่ในใจของเขากลับยังโอบอุ้มความหวังอันน้อยนิดนั่น ไม่สามารถจะตายใจได้
บางทีก็อาจจะต้องรอจนถึงวันหนึ่ง วันที่เห็นพวกเขาสามพ่อแม่ลูกอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว เขาจึงค่อยหลุดพ้นได้กระมัง
เฉินเสียนตามหาทั่วทั้งตรอกอย่างบ้าคลั่ง
จู่ๆ หิมะก็ตกลงมาอย่างไม่รู้ตัว
เกล็ดหิมะค่อยๆ ร่วงหล่นจากฟากฟ้าที่ว่างเปล่าในยามค่ำคืน ปลิวว่อนกลางอากาศ พลอยทำให้ค่ำคืนที่อ้างว้าวและเงียบสงัดนี้ยิ่งหนาวเหน็บมากขึ้นกว่าเดิม
แต่ภายในใจของเฉินเสียนกลับรู้สึกดีใจ เธอยังคงแอบหวังลึกๆ ในใจ ตกเถอะ หิมะนี้ตกยิ่งแรงก็ยิ่งดี แบบนี้ถึงจะสามารถกลบเกลื่อนร่องรอยไปได้ ชะล้างผืนใต้หล้านี้
รอยเท้าของเธอบนทางเดินนั่น เพียงไม่นาน ก็ถูกกลบเกลื่อนจนหมดสิ้น จะได้ไม่มีใครรับรู้ว่าเธอกำลังมาที่ประตูหลังเรือนของซูเจ๋อ เธอยืนหายใจหอบอยู่ครู่หนึ่ง ในใจเป็นกังวลจนแทบคลั่ง
หากเขาทิ้งร่องรอยคราบเลือดหลงเหลือเอาไว้ ก็จะถูกกลบฝังจนหมดสิ้น
เพราะฉะนั้นหิมะที่ตกหนักระลอกนี้จึงมาได้ทันเวลาพอดี ฟ้าสวรรค์เป็นใจเมตตาช่วยพวกเราโดยแท้
เฉินเสียนเคาะประตูอยู่ครู่หนึ่ง เพียงไม่นานก็มีคนมาแอบมองผ่านช่องประตู จากนั้นก็รีบเปิดประตูทันที
ประตูนี้ไม่มีผู้เข้าออกบ่อย ไม่ว่าจะเป็นตอนไหนเวลาใด ก็จะต้องเฝ้าระมัดระวังเป็นพิเศษเสมอ
พ่อบ้านค่อนข้างสนิทสนมกับเฉินเสียน เขาถามขึ้นว่า : “องค์หญิง ทำไมจู่ๆ จึงมาถึงที่นี่ขอรับ?”
เสียงที่แหบพร่าของเฉินเสียนราวกับว่ามันได้กลมกลืนไปกับเสียงหิมะตกไปแล้ว เธอพูดขึ้นว่า : “ซูเจ๋อกลับมาแล้วหรือยัง?”
เธอเองไม่รู้ว่าหลังจากที่ซูเจ๋อได้รับบาดเจ็บแล้วเขาจะไปที่ไหนได้อีก จึงทำได้แค่เสี่ยงดวงตรงมาที่เรือนของเขา และหากเขากลับมาจริงๆ แล้วมีทหารตามมาล่ะก็ จะอันตรายขนาดแค่ไหนกัน
พ่อบ้านไม่พูดพร่ำเพื่อ เขานำทางแล้วจึงรีบพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า : “องค์หญิง เชิญตามข้าน้อยมาขอรับ”
เฉินเสียนเดินตามพ่อบ้านไปด้วยจิตใจที่หล่นฮวบ ดูท่าซูเจ๋อคงกลับมาแล้ว
เฉินเสียนเดินเข้าประตูพลางพูดขึ้นว่า : “เขาเข้ามาจากประตูทางไหน?”
“ประตูหลังเรือนที่เดียวกันกับองค์หญิงขอรับ”
เฉินเสียนจึงพูดขึ้นว่า : “สั่งคนสองคนไปตรวจดูบริเวณใกล้ๆ ตรอก ดูให้ละเอียดถี่ถ้วน หากมีร่องรอยคราบเลือดหลงเหลือ ให้รีบใช้หิมะกลบฝังทันที”
พ่อบ้านไม่กล้าประมาทชักช้า รีบสั่งให้บ่าวรับใช้คนสองคนนำโคมไฟออกไปตรวจสอบในทันที
เฉินเสียนย้ำเตือนอีกครั้งว่า : “จำไว้ว่าตอนกลับมา ต้องอย่าลืมกำจัดรอยเท้าให้หมดสิ้น”