ปรากฏว่าไม่ใช่มีเพียงแต่นางเท่านั้นที่มองเจ้าน่องน้อยแล้วทำให้นึกถึงซูเจ๋อ ขาดแค่เพียงคนที่มาคอยปลุกนาง
แม่นมซุยไม่ค่อยไว้วางใจ หลังจากที่นำเจ้าน่องน้อยไปให้เสี่ยวเฮอดูแล ก็กลับเข้าไปที่ห้องตำราอีกครั้ง และกล่าวว่า “องค์หญิง ไม่ต้องคิดมากหรอกเพคะ”
เวลาผ่านไปสักพักหนึ่ง เฉินเสียนถาม “เหมือนไหม?”
แม่นมซุยนิ่งเงียบ
เฉินเสียนเงยหน้าขึ้นมามองนาง และถามอีกครั้งหนึ่ง “เจ้าคิดว่าพวกเขาเหมือนกันไหม?”
แม่นมซุยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และกล่าวว่า “เหมือนหรือไม่เหมือน องค์หญิงไม่ต้องไปฟังคำพูดเหลวไหลของคนอื่นหรอกเพคะ แล้วในใจขององค์หญิงล่ะคิดอย่างไรเพคะ?”
ในที่สุดเฉินเสียนก็ยิ้มอย่างขมขื่น ตีไปที่หน้าผากของตัวเอง และบ่นว่า “ข้าไม่ควรฟังที่เสี่ยวเฮอพูดไร้สาระเลย พอมีความคิดแบบนี้แล้ว ข้าก็หยุดคิดไม่ได้ ได้แต่คิด ๆ ๆ อยู่อย่างนั้น”
ซูเจ๋อ
ทั้งที่รู้ว่าเขาอยู่ที่โรงเรียนไท่ทุกวัน และพระตำหนักไท่เหอก็อยู่ไม่ห่างไกลจากโรงเรียนไท่นัก แต่นางกลับทำได้เพียงคิดถึงเขาอยู่ในพระตำหนักไท่เหอ
คิดถึงเขามาก แต่ตัวเองก็กลับไปเจอเขาไม่ได้ ปล่อยให้ลูกชายเป็นตัวแทนไปพบหน้าเขา แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
เฉินเสียนคิด ลูกของนางเฉลียวฉลาด หากซูเจ๋อมีอะไรที่อยากพูดกับนาง ก็คงจะพูดกับลูกของนาง ลูกชายก็น่าจะจำได้บ้างสองสามคำ และกลับมาบอกนาง
นางคิดมาโดยตลอด ถึงแม้ว่าเจ้าน่องน้อยจะไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของซูเจ๋อ แต่วันนี้ก็ได้กลายเป็นสายสัมพันธ์ระหว่างนางกับซูเจ๋อแล้ว นางรู้สึกพึงพอใจมาก
เจ้าน่องน้อยจะตามเขาไปที่โรงเรียนไท่ ชอบเวลาที่ได้ใกล้ชิดเขา สำหรับเฉินเสียนแล้วนับว่าเป็นเรื่องดี อย่างน้อยในวันข้างหน้าที่เจ้าน่องน้อยและซูเจ๋อได้ใช้เวลาร่วมกัน จะได้ไม่มีอุปสรรคและความขัดแย้งเกิดขึ้น
แต่มาวันนี้เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ นางกลับรู้สึกว่าตัวเองคิดไกลเกินไป
แต่เฉินเสียนกลับละเลย ก่อนหน้านี้เจ้าน่องน้อยได้เจอหน้าซูเจ๋อเพียงไม่กี่ครั้ง บุคลิกที่เงียบและนิ่งของเขานั้น นอกจากคนใกล้ชิด ใครก็ไม่สามารถมาทำตัวใกล้ชิดเขาได้ ทำไมเขากลับชอบที่จะเข้าหาและทำตัวใกล้ชิดกับซูเจ๋อ?
เมื่อตอนที่ซูเจ๋อบุกเข้ามาที่พระตำหนักไท่เหอเพื่อจะพาเขาออกไป ทำไมเขาถึงกลับรู้สึกดีใจเช่นนั้น?
เมื่อตอนที่ซูเจ๋อเดินผ่านฝั่งตรงข้ามของพระตำหนักไท่เหอ ทำไมเขาถึงต้องวิ่งตามออกไป?
หลังจากเข้าเรียนที่โรงเรียนไท่ เจ้าน่องน้อยก็ไม่เคยเล่นด้วยกันกับองค์หญิงและองค์ชาย เป็นไปได้หรือที่จะชอบฟังแต่เสียงของพวกเขาอ่านหนังสือ? ไม่ใช่ เป็นเพราะว่าเขารู้ว่าซูเจ๋อก็อยู่ในโรงเรียนไท่แห่งนี้
เขาอยากไปโรงเรียนไท่ เพราะว่าเขาต้องการไปใกล้ชิดกับซูเจ๋อ
แม่นมซุยก็ไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไรดี เรื่องวันนี้เป็นเพราะเสี่ยวเฮอพูดไปไม่คิด
และจังหวะนั้น อวี้เยี่ยนก็กำลังวิ่งเข้ามาที่ห้องตำรา และกล่าวว่า “องค์หญิง มีคนมาที่พระตำหนักไท่เหอของพวกเราเพคะ”
เฉินเสียนก้มหน้าลง น้ำเสียงของเธอมืดมน “ใคร?”
อวี้เยี่ยนกล่าวด้วยความกลัวและความไม่สบายใจ “ดูเหมือนจะเป็นพระสนมฉีพาพระโอรสของพระนางมาเพคะ”
เฉินเสียนตอบ “ข้ากำลังไม่มีความสุข พวกเขาแม่ลูกมาเพื่อรับเคราะห์ร้ายงั้นหรือ”
เฉินเสียนกล่าวพร้อมกับลุกขึ้น และสะบัดเสื้อผ้าของนาง เดินออกไปด้วยสีหน้าที่ดูไม่ออกว่ากำลังคิดอะไร อวี้เยี่ยนมองอย่างตกใจ และกระซิบถามแม่นมซุย “องค์หญิงเป็นอะไรหรือ ทำไมวันนี้รู้สึกแปลก ๆ ดูผิดปกติ”
แม่นมซุยกล่าว “เจ้าอย่าเพิ่งถามตอนนี้ ไปดูพระสนมฉีทางนู้นก่อน”
ในเวลานี้ก็ผ่านไปหลายวันมากแล้วสำหรับเรื่องที่องค์ชายห้าตกใจกลัวจนร้องไห้อึแตกฉี่แตกใส่กางเกง ในที่สุดองค์ชายห้าก็ค่อย ๆ ฟื้นออกมาจากฝันร้ายของเขาสักที
พระสนมฉีที่เห็นว่าพระโอรสของนางนั้นดูหมองมัวไม่ร่าเริง ในใจรู้สึกยอมไม่ได้กับเรื่องนี้ จะต้องให้ลูกชายของเฉินเสียนต้องรับบทเรียนจากเรื่องนี้ จึงจะทำให้นางระงับความโกรธลงได้
ในอดีตที่องค์ชายห้าชอบรังแกเจ้าน่องน้อยอยู่บ่อยครั้ง พระสนมฉีกลับปล่อยไว้ไม่สนใจ แถมยังบอกอีกว่า องค์ชายห้าสามารถเหยียบอยู่บนหัวใครก็ได้ แต่ไม่มีวันที่จะถูกคนอื่นมาเหยียบบนหัว
มาวันนี้ พระสนมฉีจะยอมให้เจ้าน่องน้อยเหยียบหัวพระโอรสของพระนางได้อย่างไรกัน ทั้งที่เป็นเพียงแค่เด็กชั้นต่ำที่เกิดจากแม่ แต่ไม่มีพ่อคอยสั่งคอยสอน
ดังนั้นพระสนมฉีจึงลากองค์ชายห้าเพื่อมาที่พระตำหนักไท่เหอ
เมื่อองค์ชายห้าได้ยินดังนั้น กลับร้องไห้หนักเหมือนเด็กทารก และทำยังไงก็ไม่ยอมมา
พระสนมฉีตรัส “ไอ้คนชั้นต่ำนั่นทำให้เจ้ากลัวถึงขนาดนี้ เจ้าไม่คิดจะเอาคืนหน่อยหรือ? แม่จะพาเจ้าไปล้างแค้นตอนนี้เลย มีแม่อยู่ทั้งคน เจ้าจะกลัวอะไร?”
องค์ชายห้าร้องไห้น้ำตาคลอเบ้า “แต่จระเข้…จระเข้กินคน…”
พระสนมฉีตรัส “คนในพระตำหนักไท่เหอก็ยังอยู่กันได้ปกติดีทุกคน หรือคิดว่าแม่และเจ้ากะถูกกินไปง่าย ๆ งั้นหรือ? จระเข้มันอยู่ในทะเลสาบ มันไม่ขึ้นมาบนฝั่งหรอก”
“คราวก่อนเสด็จแม่ก็พูดแบบนี้…”
“แต่ครั้งนี้มีแม่อยู่กับเจ้า จระเข้เหล่านั้นไม่กล้าขึ้นมาทำอะไรไม่ดีหรอก เจ้าลองคิดดูก่อนหน้านี้ ไอ้คนชั้นต่ำนั่นยังถูกเจ้ารังแกได้ทุกวัน แต่วันนี้มันกลับเหยียบขึ้นมาบนหัวของเจ้า!”
องค์ชายห้ามีนิสัยชอบการเอาชนะ เมื่อพระสนมฉีพูดถึงเจ้าน่องน้อย เขารู้สึกโกรธมาก และไม่ยอม
พระสนมฉีตรัส “ครั้งนี้หากไม่ใช่เป็นเพราะเขา เจ้าก็คงไม่ต้องถูกเสด็จพ่อดุว่า แม่จะพาเจ้าไปพระตำหนักไท่เหอตอนนี้ รอให้เห็นหน้าไอ้คนชั้นต่ำนั่น เจ้าก็เข้าไปรังแกเขาให้หนัก ๆ หลังจากเจ้าระบายอารมณ์โกรธนี้ไปแล้ว เจ้าก็จะไม่รู้สึกกลัวอีกต่อไป ไม่ต้องกลัว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแม่จะอยู่กับลูก แม่จะปกป้องลูกเอง”
พระสนมฉีคิดมาเสมอว่า เพียงแค่รังแกคนอื่น จะทำให้องค์ชายห้ามีความกล้าหาญมากขึ้น และเมื่อองค์ชายห้าถูกคนอื่นรังแก จะยิ่งทำให้เขาขี้ขลาดลงไปเรื่อย ๆ
พระโอรสของนาง รังแกคนอื่นได้อย่างเดียว และไม่ยอมให้ใครมารังแก
องค์ชายห้าเชื่อฟังคำพูดของพระสนมฉี จากนั้นจึงเดินตามพระสนมฉีไปยังพระตำหนักไท่เหอ
เมื่อมาถึงสะพานไม้ ทำยังไงองค์ชายห้าก็ไม่ยอมเดินต่อ
เมื่อเฉินเสียนเดินออกมายืนอยู่หน้าพระตำหนักไท่เหอ ก็มองเห็นองค์ชายห้าและพระสนมฉียืนถ่วงเวลาอยู่ที่สะพานไม้ นางกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าองค์ชายห้าจะกลัวจระเข้ในทะเลสาบแห่งนี้เอามาก องค์ชายห้าไม่ต้องกังวลใจไป ถึงแม้ว่าจระเข้เหล่านี้จะกินคน แต่ตอนนี้มันไม่สามารถกระโดดขึ้นมาได้ชั่วคราว”
องค์ชายห้าตะโกนออกไป “ท่านโกหก! คราวก่อนก็เห็นว่ามันคลานขึ้นมาได้”
เฉินเสียนหัวเราะชอบใจ “คราวก่อนเป็นแค่เรื่องบังเอิญ”
ในเมื่อมีความบังเอิญครั้งแรก มันจะต้องมีครั้งที่สองอีกแน่นอน องค์ชายห้าทนฝืนใจต่อไม่ไหว และจะกลับไปในทันที
พระสนมฉีรู้สึกโกรธ นางจึงรวบรวมความกล้า เพื่อจะไม่ทำลายศักดิ์ศรีของตัวเอง! เพียงแค่นางไม่แสดงออกบนใบหน้าเท่านั้น และหันหลังกลับไปอุ้มองค์ชายห้าขึ้นมา โดยไม่สนว่าเขาจะปฏิเสธ และค่อย ๆ เดินข้ามสะพานไม้จนมาถึงพื้นที่ว่างเปล่าของพระตำหนักไท่เหอ
พระสนมฉีวางองค์ชายห้าลง เขาคงไม่กล้าที่จะวิ่งกลับออกไปบนสะพานไม้นั่นแล้ว
พระสนมฉีหัวเราะเย้ยหยัน “องค์หญิงจิ้งเสียน เจ้าไม่ต้องมาทำให้ลูกชายของข้าตกใจอีกแล้ว จะต้องให้ลูกชายของข้าหวาดกลัวอยู่แบบนี้ เจ้าถึงจะพอใจหรือไง?”
เฉินเสียนหัวเราะและกล่าวว่า “พระสนมฉีเข้าใจผิดแล้ว จระเข้ในทะเลสาบแห่งนี้มีความดุร้าย ข้าก็แค่เตือนให้พวกท่านระมัดระวัง ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว งั้นก็เชิญเข้าไปนั่งข้างในก่อน”
ในอดีตองค์หญิงจิ้งเสียนเป็นคนสติไม่ค่อยดี พระสนมฉีเลยไม่เก็บมาใส่ใจ แต่มาดูตอนนี้ กลับเห็นว่าดูมีสติดี แต่พระสนมฉีก็กลับไม่ได้สนใจเช่นเคย
พระสนมฉีแอบเหล่มองเฉินเสียน นำองค์ชายห้าเดินผ่านเฉินเสียนอย่างหยิ่งทะนง และเดินนำเข้าไปยังห้องโถงพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้
พระสนมฉียังคงมองเฉินเสียนที่เดินตามหลังเข้ามาอย่างรังเกียจ และตรัสออกมาว่า “ข้าจำได้ครั้งก่อนที่เจอเจ้า เป็นวันก่อนที่เจ้าจะแต่งงาน วันนี้ก็ผ่านมาแล้วสองปีกว่า ช่างน่าประหลาดใจจริง ๆ โรคเสียสติของเจ้าก็คงหายดีแล้ว”
เฉินเสียนยิ้มมุมปาก สะบัดชายกระโปรงเพื่อนั่งลง และมือก็จับไปที่ฝาของถ้วยชาเพื่อเปิดออก และโบกสะบัดมือเล็กน้อยเพื่อดมกลิ่นชาที่ลอยขึ้นมา และกล่าวว่า “พระสนมฉีนึกอย่างไรถึงมาที่นี่?”