ข้าคือหงส์พันปี – ตอนที่ 462 เสี่ยวเฮอไม่ได้พูดเกินจริงเลยแม้แต่น้อย

เฉินเสียนกุมขมับและกล่าวว่า “นั่นหมายถึงอนาคต อย่าเพิ่งเรียกตอนนี้ ไม่เช่นนั้นถ้าหากมีใครมาได้ยินเขา คนจะมาจับเขาไปเป็นพ่อของคนอื่นเสียก่อน เจ้าเชื่อหรือไม่”

เฉินเสียนคิดว่าเพราะเธอยังไม่เคยสอนเขา เขาจึงไม่รู้เรื่องนี้ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่คิดว่าเจ้าน่องน้อยจะยังจำคำพูดที่เธอพูดออกไปอย่างไม่คิดในวันนั้นได้

โลกภายในใจของเจ้าน่องน้อยช่างหลากหลายและละเอียดอ่อน บางครั้งเขาไม่แสดงออก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่รู้และไม่เข้าใจ

เจ้าน่องน้อยมองเฉินเสียนอย่างกังวลราวกับกลัวว่าซูเจ๋อจะถูกจับไปเป็นพ่อของคนอื่น เขาบอกว่า “ได้ ข้าจะไม่เรียก”

หลังจากนั้นเฉินเสียนจึงถามอย่างอ่อนโยนว่า “ทำไมเจ้าจึงชอบเขามากขนาดนี้”

เจ้าน่องตอบอย่างเรียบง่ายด้วยแววตาที่งัวเงียว่า “เขาดี”

เจ้าน่องน้อยผล็อยหลับไปในอ้อมแขนของเฉินเสียน เฉินเสียนกอดเจ้าน่องน้อยไว้พลางหันไปมองหิมะที่ตกอยู่นอกหน้าต่างอย่างใจลอย

เธอขบคิดถึงคำตอบของเจ้าน่องน้อยอยู่นาน… เขาดี เธออดไม่ได้ที่จะเห็นด้วยกับเขา แม้แต่เด็กยังรู้ว่าเขาดี แล้วเธอจะไม่รู้ได้อย่างไร

ไม่รู้ว่าซูเจ๋อกลับเรือนไปหรือยัง เขาจะตากหิมะอยู่หรือเปล่า?

ตอนที่เพิ่งออกมาจากโรงเรียนไท่ เฉินเสียนอยากจะทิ้งร่มไว้ให้เขา เพราะถึงอย่างไรพระตำหนักไท่เหอก็อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนไท่ พวกเธอสองแม่ลูกวิ่งเพียงแค่ครู่เดียวก็ถึง

แต่ที่นี่อยู่ห่างจากนอกพระราชวังมาก

ทว่าอย่างไรก็ตาม เฉินเสียนยังกลัวว่าจะมีใครมาเห็นว่าเธอกับเขาใช่ร่มคันเดียวกัน ดังนั้นเธอจึงต้องล้มเลิกความคิดที่จะทิ้งร่มไว้ให้เขา

เมื่อซูเจ๋อกลับไปถึงเรือน เสื้อผ้าและผมเผ้าของเขาคงจะเต็มไปด้วยหิมะขาวโพลน

เฉินเสียนคิดว่าพ่อบ้านในเรือนของเขาคงจะเตือนให้เขาเปลี่ยนไปสวมเสื้อผ้าที่แห้ง

เขาไม่ชอบผิงไฟให้อุ่น และภายในห้องก็ไม่มีเตาผิง ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปอย่างเงียบเหงา หิมะตกหนักเช่นนี้ เขาจะหนาวหรือไม่นะ?

ตอนที่อยู่ที่โรงเรียนไท่ เฉินเสียนมีเรื่องเกี่ยวกับเจ้าน่องน้อยที่อยากจะถามเขา แต่เมื่อคิดดูอีกที ถึงอย่างไรเธอก็ไม่ควรถามเขาเกี่ยวกับความเป็นมาของเจ้าน่องน้อยในพระราชวังที่อันตรายแห่งนี้

เพราะหากมีใครมาได้ยินคำพูดเหล่านั้นเข้า พวกเขาทั้งสามคนจะตกอยู่ในหายนะที่ร้ายแรงมาก

ดังนั้นเฉินเสียนจึงได้แต่อดทน เธอจำเป็นต้องรอจนถึงเวลาที่เหมาะสมจึงจะถามได้

ก่อนที่เธอจะได้ยินคำตอบจากปากของซูเจ๋อ เธอจะบุ่มบ่ามฟันธงไม่ได้ ถึงแม้การคาดเดาภายในใจจะเป็นเหมือนกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก แต่เธอก็ต้องระงับมันไว้ให้ได้ เธอเองก็อยากรู้ว่าซูเจ๋อจะว่าอย่างไร

หลังจากนั้นเจ้าน่องน้อยก็ไม่ได้ไปที่โรงเรียนไท่อีกเลย เขาอยู่เฉยๆ ที่พระตำหนักไท่เหออย่างเชื่อฟัง โดยที่ทุกวันเฉินเสียนจะสอนให้เขาท่องจำคำศัพท์วันละสองสามตัว

เมื่อไม่มีใครอยู่ใกล้ๆ เฉินเสียนจะวางกระดาษแผ่เอาไว้และสอนเจ้าน่องน้อยให้เขียนชื่อของตัวเองทีละขีดๆ

เจ้าน่องน้อยรู้ว่าตนเองชื่อซูเซี่ยน

เพียงแต่หลังจากเขียนคำนั้น หมึกยังไม่ทันแห้งก็ถูกเฉินเสียนใช้หมึกทาทับ หรือไม่ก็ฉีกจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

เจ้าน่องน้อยเองก็เหมือนจะรู้ว่าเขายังเปิดเผยชื่อของตนเองต่อธารกำนัลไม่ได้ จึงได้แต่คุยกันตอนอยู่กันลำพังเพียงเขากับแม่ของเขา

ทางด้านพระสนมฉี อาการบาดเจ็บขององค์ชายห้าดีขึ้นมากแล้ว แต่ความกล้าหาญของเขากลับถูกขู่ขวัญจนหายไปโดยสมบูรณ์ ซึ่งมันทำให้พระสนมฉีรู้สึกกริ้วเป็นอย่างมาก

นับแต่นี้องค์ชายห้าจะไม่มีท่าทีหยิ่งยโสอีกต่อไปไม่ว่าจะพบใคร เมื่อออกไปจากห้องนอนเขาจะมองไปรอบๆ และกลัวจนหัวหด

แม้แต่รอยด่างบนกิ่งไม้ก็ทำให้เขาตกใจกลัวจนล้มลงกับพื้นได้

จักรพรรดิยิ่งไม่ชอบเขามากขึ้นเรื่อยๆ และผิดหวังในตัวเขามาก ตรงกันข้าม องค์ชายใหญ่ซึ่งเป็นโอรสขององค์จักรพรรดินียังดูน่ารักกว่ามากเมื่ออยู่ต่อหน้าองค์จักรพรรดิ ทั้งยังได้อยู่ใกล้ชิดกับองค์จักรพรรดิด้วย

เมื่อสมเด็จพระราชชนนีได้ยินว่าองค์ชายห้ามีเรื่อง พระองค์จึงเสด็จมาที่ตำหนักเพื่อเยี่ยมเยือน

ในบรรดาองค์ชายทั้งหมด สมเด็จพระราชชนนีทรงโปรดองค์ชายห้ามากที่สุด เพราะองค์ชายห้ามักจะทำให้พระนางพอพระทัยได้เสมอ

แต่ทันทีที่เห็นว่าองค์ชายห้ากลับกลายเป็นเช่นนี้ พระองค์จึงปวดใจเป็นอย่างมาก

พระสนมฉีเห็นดังนั้นจึงทรุดตัวลงต่อหน้าสมเด็จพระราชชนนี ร่ำไห้น้ำหูน้ำตานองหน้า นางคร่ำครวญว่า “ขอสมเด็จพระราชชนนีทรงทวงความยุติธรรมให้หม่อมฉันและองค์ชายด้วยเพคะ ทั้งหมดเป็นเพราะการทำร้ายของจิ้งเสียนแห่งตำหนักไท่เหอ! องค์ชายของหม่อมฉันถูกลูกชายของนางทุบเศียรที่ห้องตำรา! นางบอกว่าองค์ชายมาหาเรื่องเอง ทั้งยังจงใจล่อจระเข้ในทะเลสาบมา และตั้งใจผลักองค์ชายไปเป็นอาหารของจระเข้เพคะ!”

สมเด็จพระราชชนนีทรงโปรดปรานองค์ชายห้า เมื่อได้ยินเช่นนั้นจะทนฟังได้ที่ไหน ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อพูดถึงจิ้งเสียนพระองค์ก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายพระทัย สมเด็จพระราชชนนีทรงไม่ชอบพระทัยเลยตอนที่มีพระราชโองการให้จิ้งเสียนและลูกของนางอาศัยอยู่ที่พระตำหนักไท่เหอ

ไม่มีเหตุผลเลยที่อดีตองค์หญิงเพียงแค่คนเดียวจะยังจะต้องมาอยู่ในวัง นอกจากนี้นี่ยังไม่ใช่แค่คนนอก แต่เป็นศัตรู จะให้มาอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกันได้อย่างไร

วังหลังแห่งนี้เป็นตำหนักหลังขององค์จักรพรรดิ ไม่มีเหตุผลเลยที่จะต้องมาเลี้ยงดูองค์หญิงจากราชวงศ์ก่อน

ถ้าจิ้งเสียนและลูกชายอยู่เงียบๆ เสียหน่อย สมเด็จพระราชชนนีคงจะเพิกเฉยได้ แต่เมื่อได้ยินพระสนมฉีบอกว่าลูกชายของนางข่มขู่องค์ชายห้า นอกจากนี้ยังเข้าไปเรียนที่โรงเรียนไท่ สมเด็จพระราชชนนีจึงไม่สามารถอดกลั้นไว้ได้

สิ่งสำคัญคือคำพูดที่ออกมาจากปากของพระสนมฉี ซึ่งเฉินเสียนกับเจ้าน่องน้อยไม่มีทางเถียงได้

เมื่อฟังพระสนมฉีฟ้องจนจบ สมเด็จพระราชชนนีก็ทรงกริ้วเป็นอย่างมาก พระองค์ทรงตบโต๊ะและตรัสว่า “โรงเรียนไท่ที่สูงส่งเป็นห้องตำราที่เตรียมไว้สำหรับองค์หญิงและองค์ชาย ปล่อยให้คนนอกที่แสนต่ำต้อยเข้าไปทำให้ด่างพร้อยได้เช่นไร จักรพรรดิจะต้องทรงเลอะเลือนแล้วเป็นแน่!”

พระสนมฉีกล่าวทั้งน้ำตาว่า “เดิมทีหม่อมฉันก็คิดว่าไม่เหมาะสมเช่นกันเพคะ แต่หม่อมฉันต่ำต้อยเกินกว่าที่จะพูดอะไร”

สมเด็จพระราชชนนีตรัสว่า “มีอย่างที่ไหนกัน เหตุใดวังหลังแห่งนี้จึงได้กำเริบเสิบสานเช่นนี้! วันนี้ข้าอยากจะเห็นนักว่านางจะไร้กฎเกณฑ์เพียงใด!”

หลังจากนั้นสมเด็จพระราชชนนีจึงเตรียมไปที่พระตำหนักไท่เหอกับนางสนมด้วยท่าทีที่ดุดัน และคิดจะจัดการเฉินเสียนกับลูกของนาง

พระสนมฉีเหลือบมองและกล่าวว่า “พระราชชนนี ที่พระตำหนักไท่เหอแห่งนั้นมีจระเข้โอบล้อมอยู่เพคะ หม่อมฉันเกรงว่าสมเด็จพระชนนีจะทรงตกพระทัย คงจะดีกว่าถ้าจะไปประกาศเรียกให้จิ้งเสียนและลูกของนางมาที่ตำหนักของหม่อมฉัน เมื่อถึงตอนนั้นพระองค์จะตัดสินอย่างไรก็สุดแต่พระองค์เพคะ”

ถึงอย่างไรพระตำหนักไท่เหอก็คือพระตำหนักไท่เหอ ที่นั่นไม่ใช่ที่ของพระสนมฉี จำเป็นต้องพาพวกเขามาที่ตำหนักของนางเท่านั้น นางจึงจะทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการได้ ไหนจะมีสมเด็จพระราชชนนีคอยหนุนหลังอีก นางจะลงโทษจิ้งเสียนและลูกอย่างรุนแรงแค่ไหนก็ย่อมได้ทั้งนั้น

สมเด็จพระราชชนนีคิดๆ ดูก็รู้สึกว่าคำแนะนำของพระสนมฉีนั้นเหมาะสม จากนั้นจึงส่งคนให้ไปประกาศพระราชเสาวนีย์ที่พระตำหนักไท่เหอ

เฉินเสียนรู้ด้วยตนเองว่าเรื่องของพระสนมฉียังไม่จบเพียงแค่นี้ และนางจะต้องกลับมาอีกแน่ๆ

การยืมมือของสมเด็จพระราชชนนีก็อยู่ในการคาดเดาของเฉินเสียนเช่นกัน ถึงอย่างไรพระสนมฉีก็คอยสร้างความสุขให้สมเด็จพระราชชนนีอยู่เสมอ

เฉินเสียนเองก็ไม่ได้ชอบสมเด็จพระราชชนนีเลยแม้แต่น้อย ทำไมเธอต้องให้เกียรติพระองค์และพาเจ้าน่องน้อยไปที่ตำหนักของพระสนมฉีให้พวกนางเหยียบย่ำและลงโทษด้วย

เฉินเสียนไม่คิดจะรักษาน้ำใจอีกต่อไป

ดังนั้นเมื่อนางกำนัลมาที่พระตำหนักไท่เหอเพื่อประกาศพระราชเสาวนีย์ เฉินเสียนจึงทำเป็นหูทวนลม ไม่ต้องพูดถึงว่าเธอจะพาเจ้าน่องน้อยไปที่พระตำหนักของพระสนมฉี แม้แต่ออกไปจากพระตำหนักไท่เหอเธอก็จะไม่ออกไปแม้แต่ก้าวเดียว

สมเด็จพระราชชนนีรออยู่ครู่หนึ่งและแทบจะรอต่อไม่ไหว หลังจากสอบถามดูจึงรู้ว่าเฉินเสียนปฏิเสธไม่ยอมรับพระราชเสาวนีย์ พระองค์จึงทรงกริ้วเป็นอย่างมาก พระสนมฉีคอยสุมไฟอยู่ข้างๆ ว่า “จิ้งเสียนผู้นั้นช่างบังอาจนัก คิดไม่ถึงว่าแม้แต่พระราชเสาวนีย์ของพระราชชนนีก็ยังกล้าขัดขืน! เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นสมเด็จพระราชชนนีอยู่ในสายตา!”

สมเด็จพระราชชนนีทนรออยู่ที่พระตำหนักของพระสนมฉีอีกไม่ไหว ดังนั้นจึงทรงเสด็จไปยังพระตำหนักไท่เหอกับนางกำนัลทันที

ตอนนี้พระสนมฉีไม่จำเป็นต้องลงมือด้วยตัวเอง สมเด็จพระราชชนนีจะทรงจัดการสองแม่ลูกต่ำช้านั่นด้วยพระองค์เอง แน่นอนว่าพระสนมฉีจะต้องไปด้วย ไปดูเรื่องน่าตื่นเต้น

ทุกคนในพระตำหนักไท่เหอต่างหวั่นกลัว หากสมเด็จพระราชชนนีเสด็จจริงๆ นับประสาอะไรกับเฉินเสียนและเจ้าน่องน้อย แม้แต่นางกำนัลทุกผู้ทุกนางที่อยู่ที่นี่ต่างก็ต้องได้รับโทษ

ข้าคือหงส์พันปี

ข้าคือหงส์พันปี

องค์หญิงเฉินเสียนผู้โง่เขลา ถูกไล่ออกจากจวน ถูกทำให้เสียโฉม และยังมีทารกอยู่ในท้องของเธอ! ในวันที่สามีของเธอแต่งงานกับอนุภรรยา เธอมาแสดงความยินดี จัดการกับอนุคนใหม่อย่างรุนแรง และทำให้แขกในงานต่างตกใจ อนุคนใหม่ที่คิดว่าเธอเป็นเช่นไก่ที่อ่อนแอ? แต่ไม่คิดว่าจะสามารถต่อกรกับเธอได้?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset