เฉินเสียนมองไปยังผ้าม่านที่อบอุ่น ยังรู้สึกไม่ง่วงนอน
ฉากในค่ำคืนนี้เกิดขึ้นในหัวของเธออีกครั้ง เธอยืนมือไปสัมผัสที่กระดูกไหปลาร้าของตัวเอง ตรงบริเวณรอยจูบนั้นยังคงรู้สึกร้อนจางๆอยู่
เจ้าน่องน้อยนอนหลับอย่างสบายใจอยู่ด้านข้าง
เฉินเสียนค่อยลุกเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ แล้วเดินไปโต๊ะเครื่องแป้ง เผยให้เห็นผิวในกระจกทองแดง เธอสามารถมองเห็นรอยจูบนั้นได้อย่างชัดเจน สีแดงสวยงามราวกับดอกเหมย
เฉินเสียนคิดว่าที่อวี้เยี่ยนไม่ค่อยสบอารมณ์นั้น คงต้องรอสักสองวันก็จะดีขึ้นเอง เมื่อก่อนตอนที่อยู่ในสวนสระวสันตฤดูก็เช่นกัน ไม่คิดว่าครั้งนี้อวี้เยี่ยนจะกลับไปเป็นเหมือนครั้งนั้น
อวี้เยี่ยนยืนอยู่ด้านนอก ยังไม่ทันได้เข้ามาแล้วถามอยู่ด้านหน้าประตูด้านนอกว่า “องค์หญิงหลับหรือยังเพคะ?”
เมื่อครู่นี้เฉินเสียนไม่ได้สนใจในสีหน้าอารมณ์ที่ซับซ้อนของอวี้เยี่ยน นั้นไม่ใช่สีหน้าของเธอที่ควรจะมีในเด็กสาวใช้คนนี้ ถ้าเกิดคืนนี้นางอัดอั้นไม่ได้พูดออกมา เกรงว่าทั้งคืนคงจะนอนไม่หลับกันแน่
เฉินเสียนยืนมือไปหยิบเสื้อที่พาดไว้ที่ฉากบานพับแล้วพูดว่า “เข้ามาเถิด”
อวี้เยี่ยนเข้ามา มองเฉินเสียนอย่างกลัดกลุ้มแล้วพูดขึ้นว่า “บ่าวมีเรื่องจะคุยด้วยเพคะ แต่เกรงว่าเสียงดังจะไปรบกวนเจ้าน่องน้อย ขอเชิญองค์หญิงเสด็จไปด้านนอกเพคะ”
เฉินเสียนหันไปมองเจ้าน่องน้อยที่หลับอยู่ เธอจึงม้วนเสื้อผ้าแล้วเดินออกไปด้านนอก
คิดไม่ถึงว่าอยู่ๆอวี้เยี่ยนจะมาคุกเข่าลงตรงหน้าเธอ
เฉินเสียนขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “อวี้เยี่ยน นี่เจ้ากำลังทำอะไร”
“บ่าวมีเรื่องที่จะพูดเพคะ ขอเพียงองค์หญิงได้โปรดฟังบ่าวพูด เมื่อบ่าวพูดจบแล้วถ้าเกิดองค์หญิงยืนหยัดที่จะเชื่อเขาไม่เปลี่ยนแปลง เช่นนั้นบ่าวก็คงไม่มีคำพูดอะไรต่อไป จะไม่ขัดขวางการอยู่ด้วยกันของเขาและองค์หญิงเหมือนอย่างเมื่อก่อนและคืนนี้อีกต่อไป”
เฉินเสียนมองไปที่นาง จากนั้นก็นั่งลงไปบนเก้าอี้ แล้วพูดขึ้นเสียงเบาว่า“ เจ้ามีปมปัญหาในใจ เมื่อก่อนตอนที่ข้าถามเจ้าเจ้าก็ไม่ยอมเอ่ยปากพูด แต่วันนี้เจ้ากลับมาพูดด้วยตัวเองเลย เอาล่ะ คืนนี้พูดออกมาให้ชัดเจนแล้วกัน ข้าจะรับฟังเอง”
“เมื่อก่อนที่บ่าวไม่ยอมพูด เพราะว่าในใจของบ่าวเกิดความสับสน เอ้อร์เหนียงปฏิบัติรับใช้องค์หญิงกับเจ้าน่องน้อยเป็นอย่างดี บ่าวเห็นด้วยตาของบ่าวเอง บ่าวทนไม่ได้ที่จะเห็นองค์หญิงกับแม่นมซุยแตกแยกกัน ไม่ว่าในกรณีใดๆก็ตามมันไม่ใช่ความผิดของเอ้อร์เหนียง บ่าวไม่ใช่คนที่ไม่มีเหตุผลนะเพคะ ”อวี้เยี่ยนพูดทั้งน้ำตา
เฉินเสียนพูด“เจ้าลุกขึ้นมาพูดดีๆ ไม่ต้องร้องไห้แล้ว”
อวี้เยี่ยนเช็ดน้ำตาแล้วพูดว่า “ไม่เพคะ เรื่องนี้ไม่มีทางที่จะพูดดีๆได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทิ่งแทงใจบ่าวมาโดยตลอดเพคะ”
เฉินเสียนค่อยๆขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าทำไม รู้สึกได้ว่าคำพูดของอวี้เยี่ยนต่อไปนี้มันไม่ใช่เรื่องที่เธออยากจะได้ยิน
อวี้เยี่ยนพูด “เมื่อก่อนเขาเป็นอาจารย์ขององค์หญิงตั้งแต่ยังเล็กจนโต องค์หญิงเกลียดเขามาโดยตลอด เพราะเขาละทิ้งจักรพรรดิองค์ก่อน แล้วมาพึ่งมากับราชสำนักใหม่ ถ้าเกิดองค์หญิงสามารถละทิ้งเรื่องราวของราชวงค์ก่อนหน้าได้ ก็ไม่เป็นไรเพคะ บ่าวก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ขอเพียงองค์หญิงใช้ชีวิตอย่างมีความสุขก็พอเพคะ”
เรื่องนี้มันไม่ใช่ความลับตั้งนานแล้ว ตอนนี้เฉินเสียนกับเฉินเสียนคนเก่านั้นไม่เหมือนกัน เฉินเสียนคนก่อนนั้นสูญเสียตัวเองอยู่ในการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงของพระราชวัง ดังนั้นจึงไม่สามารถมองเหตุการณ์ต่างๆได้อย่างชัดเจน
แต่ตอนนี้เฉินเสียนคิดได้ว่า เมื่อราชวงค์เก่ามีแนวโน้มที่จะสูญสิ้น ถ้าซูเจ๋อไม่ทำเช่นนั้น ขุนนางคนสำคัญของราชสำนักก็ไม่มีทางจะปกป้องไว้ได้ แล้วเขาก็ไม่มีทางที่จะปกป้องเฉินเสียนไว้ได้
แต่เรื่องพวกนั้น เป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นกับเฉินเสียนคนก่อน แม้ว่าซูเจ๋อจะทำผิดไปแล้ว แต่สำหรับเธอในตอนนี้มันได้มีอะไรเกี่ยวข้องกัน เธอไม่ได้สนใจอยู่แล้ว
เธอไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้องเรื่องราวได้อดีตเหล่านั้น
เฉินเสียนพูดเบาๆว่า “เรื่องที่เจ้าพูดมาพวกนั้นข้ารู้เรื่องหมดแล้ว”
อวี้เยี่ยนพูด“เพียงแค่องค์หญิงปล่อยวาง บ่าวก็ไม่มีอคติอะไรกับใต้เท้าซูอย่างแน่นอน ในเมื่อใต้เท้าซูคืออาจารย์ของอค์หญิง แล้วองค์หญิงก็ยึดมั่นที่จะรักเขา”
อวี้เยี่ยนพูดต่อด้วยน้ำเสียงแข็งว่า“ตั้งแต่ที่องค์หญิงกลับมาจากชายแดน บ่าวก็เริ่มที่จะขัดขวาง ไม่ใช่เพื่อสิ่งใดแต่เพราะเพื่อเจ้าน่องน้อย”
เธอน้ำตาคลอแล้วหันไปถามเฉินเสียนว่า“องค์หญิงยังจำคุณชายเหลียนได้หรือไม่เพคะ?”
“เหลียนชิงโจว ข้าจะไปลืมได้อย่างไร”เพียงแต่ตั้งแต่เฉินเสียนกลับมาเมืองหลวงก็ไม่เคยได้พบเขาอีก ไม่รู้ว่าเขาไปอยู่ที่ไหน นานแล้วที่ไม่ได้ยินข่าวคร่าวของเขาเลย
อวี้เยี่ยนพูด “บ่าวจำได้เป็นอย่างดี ตอนที่องค์หญิงออกจากเมืองหลวงได้กำชับไว้ว่า ถ้าเกิดมีคนจากพระราชวังมาก็ให้บ่าวกับเอ้อร์เหนียงพาเจ้าน่องน้อยไปให้คุณชายเหลียนช่วย”
“คุณชายเหลียนเป็นคนดี เขาต้องยื่นมือเข้ามาช่วยอย่างแน่นอน แล้วเวลานั้นเขาก็ยังไม่ได้ออกจากเมืองหลวง คุณชายเหลียนออกจากเมืองหลวงหลังจากที่เจ้าน่องน้อยเข้าพระราชวังไปแล้ว”อวี้เยี่ยนพูดอย่างไม่หยุด
“ก่อนหน้านั้น พ่อบ้านในจวนได้ส่งคนไปคอยเฝ้าอยู่ในพระราชวัง ถ้าเกิดทางพระราชวังจะส่งคนมา ก็สามารถรู้ได้ก่อน เช่นนั้นก็สามารถปกป้องเจ้าน่องน้อยไม่ต้องจากไปได้ก่อนเพคะ”
“องค์หญิงและแม่ทัพต่างก็ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง ถ้าเกิดเจ้าน่องน้อยถูกให้เข้าพระราชวัง บ่าวก็ไม่รู้ว่าเขาจะอยู่ในพระราชวังได้อย่างไร พวกหม่อมฉันก็พร้อมที่จะไป…… แต่เอ้อร์เหนียงเธอ……”
เฉินเสียนจับไปที่เก้าอี้ ปลายนิ้วรู้สึกได้ถึงความเย็น
เธอไม่เคยได้ยินอวี้เยี่ยนหรือแม่นมซุยพูดถึงเรื่องพวกนี้อย่างละเอียดมาก่อน
เฉินเสียนถาม“แต่ว่าเอ้อร์เหนียงทำไม?”
อวี้เยี่ยนพูด “เอ้อร์เหนียงตั้งใจที่จะยืดเวลาเอาไว้ ยืดเวลาจนคนในพระราชวังมาถึง พวกหม่อมฉันจึงไม่ได้ไปกันหมด ได้แต่เพียงจ้องมองเจ้าน่องน้อยถูกคนในพระราชวังนำตัวไป”
อวี้เยี่ยนพูดแล้วร้องไห้ขึ้นมา“ปกติเอ้อร์เหนียงรักและเอ็นดูเจ้าน่องน้อยมาก ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเวลานั้นนางจึงทำผิดไป บ่าวไม่เชื่อว่านางจะสามารถทำร้ายเจ้าน่องน้อยได้ บ่าวเคยถามว่าทำไม แต่นางก็ไม่ยอมพูด”
“เอ้อร์เหนียงเป็นคนของใต้เท้าซูมาตั้งแต่แรก เมื่อตอนที่นางไม่เปิดปากพูดอธิบายบ่าวก็เข้าใจแล้ว ถ้าเกิดไม่ใช่ความต้องการของใต้เท้าซูนางจะทำได้อย่างไร นางจะทนได้อย่างไรที่จะส่งให้เจ้าน่องน้อยเข้าพระราชวังไป”
“เพราะใต้เท้าซูไม่ต้องการเจ้าน่องน้อย ดังนั้นจึงสั่งให้เอ้อร์เหนียงไม่ให้ไปขอความช่วยเหลือจากคุณชายเหลียน เป็นเขาที่ไม่อยากได้เด็กคนนี้ ดังนั้นจึงตั้งใจให้องค์หญิงสูญเสียเจ้าน่องน้อยไป เขาคงไม่คิดที่จะเสียใจ!”
ใบหน้าของอวี้เยี่ยนเต็มไปด้วยน้ำตา“องค์หญิง คนเช่นนี้มีมันคุ้มค่าพอที่จะฝากชีวิตไว้ด้วยหรือเพคะ?”
เฉินเสียนนั่งอยู่บนเก้าอี้เป็นเวลานาน ร่างกายเริ่มรู้สึกเย็นตั้งแต่เท้าจนไปถึงศรีษะ
มีคำพูดคำพูดหนึ่งที่ปรากฏอยู่ในความคิดของเธอ——ที่แท้ ซูเจ๋อก็ไม่เคยต้องการเด็กคนนี้เลย
เธอเกือบจะเชื่อแน่ชัดอยู่แล้วว่าซูเจ๋อนั้นเป็นพ่อแท้ๆของเด็กคนนี้ แต่เมื่อพบกับข้อนี้
ฟังแล้วมันดูน่าตลกสิ้นดี
เฉินเสียนพูดเบาๆกับอวี้เยี่ยนด้วยสีหน้าที่ว่างเปล่า “อวี้เยี่ยน เจ้ากำลังล้อข้าเล่นใช่หรือไม่?”
อวี้เยี่ยนพูด “ถ้าบ่าวพูดความเท็จแม้แต่ครึ่งประโยคเดียว ขอให้บ่าวโดนฟ้าผ่า หากองค์หญิงไม่เชื่อก็เรียกเอ้อร์เหนียงเข้ามาถามต่อหน้าเลยก็ได้เพคะ”
ซูเจ๋อสั่งไม่ให้เอ้อร์เหนียงไปขอความช่วยเหลือของเหลียนชิงโจว เช่นนั้นเอ้อร์เหนียงจึงไม่ได้พาเจ้าน่องน้อยหนีไป จากนั้นก็สั่งให้เหลียนชิงโจวออกจากเมืองหลวง เช่นนี้มันหมายความว่าอย่างไรกัน?
ความหมายคือเธอรีบกลับมายังเมืองหลวงเพื่อที่จะมาช่วยชีวิตเจ้าน่องน้อย แต่ในมุมมองของเขากลับเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็น รีบเร่งไปก็เสียเปล่า?
เดิมทีเรื่องทั้งหมดนี้มันสามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้
อีกความหมายก็คือเขาออกจากเมืองหลวงพร้อมกับเธอ แล้วส่งเจ้าน่องน้อยเข้าวังด้วยสองมือของเขาเอง เขาไม่คิดจะให้เธอกลับมาตั้งแต่แรก และเจ้าน่องน้อยก็ถูกกำหนดให้เป็นเหยื่อสังเวยของเขา
แต่น่าเสียดายที่เขาประเมินในความตั้งใจของเธอต่ำไป เลยทำให้สถานการณ์ของพวกเขาต้อวหยุดชะงักไป
ถ้าเกิดไม่มีเจ้าน่องน้อย ถ้าเกิดเธอไม่ยึดมั่นในความคิดของตัวเองที่จะกลับเข้าเมืองหลวง ก็เกรงว่าในเวลานี้ต้าฉู่ก็คงเกิดไฟสงครามเป็นแน่