หญิงสาวที่สูงศักดิ์ของต้าฉู่ผู้นี้ อนาคตจำเป็นต้องเป็นของเขา เย่เหลียงช่วยเหลือประคองเธอ เธอถึงได้มีคุณค่าเช่นนี้
เมื่อก่อนองค์ชายหกรู้เพียงว่านี่เป็นภารกิจของเขา แต่ตั้งแต่ที่เขามาที่ต้าฉู่ด้วยตนเองแล้ว อยู่ที่พระตำหนักรับรองพบเจอด้านที่มีคุณสมบัติโดดเด่นสวยงามทำให้ผู้คนแปลกใจ ค่ำคืนนี้ยังเห็นด้านกล้าหาญดุดันหยาบคายของเธออีก องค์ชายหกยอมรับตัวเองได้รับความโหดเหี้ยมทารุณอย่างมาก เขายิ่งมีความสนใจภารกิจนี้กับเฉินเสียนหญิงสาวผู้นี้มากขึ้นเรื่อยๆ
องค์ชายหกขบคิด เมื่อครู่นี้แววตาที่เคลือบเงาแวววาวของเฉินเสียน รวดเร็วและดุดันอย่างชัดเจน ราวกับแววตาของแม่หมาป่า แม้ว่าทำให้คนตกใจกลัว แต่ทว่าสวยสง่าราวกับด้านมืดของพระจันทร์ที่ล้ำค่าสวยงาม
หลังจากออกมาจากพระตำหนักรับรอง เฉินเสียนเดินไปตามทิศทางที่มุ่งกลับพระราชวัง ได้กล่าวโดยไม่หันศีรษะกลับมาเลยว่า“ท่านไม่ต้องส่งข้าหรอก เส้นทางนี้ไม่ไกล ท่านรีบกลับไปพักผ่อนเถิดนะ”
ทหารอารักขาที่ร่วมเดินทางมาด้วยล้วนถูกทิ้งไว้ ท่านอ๋องของเป่ยเซี่ยได้สั่งคนจำนวนหนึ่งคุ้มกันมาส่งเฉินเสียนที่ประตูพระราชวัง
ซูเจ๋อยืนอยู่ในแสงสียามราตรี มองเฉินเสียนที่เดินออกไปไกลโดยตลอด แล้วเขาถึงได้หมุนตัวช้าๆ เหมือนตอนที่มา เดินก้าวเหยียบไปตามลมที่พาดผ่านมีหิมะด้วย
ในท้ายที่สุดเฉินเสียนหยุดฝีเท้า หันมองกลับไป เห็นแสงไฟที่อยู่หน้าประตูแวววาวริบหรี่จนถึงที่สุด แสงหิมะที่ปลิดปลิวหล่นอยู่บนไหล่ของซูเจ๋อและผมที่ดำเงาราวกับหมึก
หลังจากที่ท่านอ๋องเป่ยเซี่ยกลับมาที่ห้อง นึกถึงซูเจ๋อขึ้นมา ในใจคิดอย่างละเอียดซ้ำๆ มือไขว้หลังเดินเตร่อยู่ในห้อง กล่าวพึมพำกับตัวเองว่า “เหมือน เหมือนมากจริงๆ”
ผู้ติดตามของเขาเข้ามาในห้อง กล่าวขึ้นว่า “ท่านอ๋อง องค์หญิงจิ้งเสียนกับใต้เท้าท่านนั้นได้แยกกันกลับไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ และองค์ชายหกก็ได้กลับห้องแล้ว”
ท่านอ๋องของเป่ยเซี่ยหันศีรษะกลับมา กล่าวอย่างพิจารณาว่า “พรุ่งนี้ออกเดินทางกลับเป่ยเซี่ย เจ้าทิ้งคนไว้ที่นี่สองคน สอบถามเรื่องราวทั้งชีวิตของซูเจ๋อคนนั้นอย่างละเอียดแทนข้าที ดูว่าแท้ที่จริงแล้วเขามีเบื้องหลังความเป็นมาอย่างไร ยังมีอีกหากว่าเขามีความต้องการอะไร สามารถฟังเขาได้แล้วส่งคนออกไป รายงานข้าให้ทันกาล”
วันนี้ท่านอ๋องเป่ยเซี่ยเชื้อเชิญเฉินเสียนมา เดิมอย่างจะดูอย่างละเอียด ครั้งก่อนที่งานเลี้ยงพระราชวังพูดได้ไม่กี่ประโยคเอง
หลายปีที่ผ่านมานี้ ลูกสาวของนางโตเช่นนี้แล้ว รูปร่างลักษณะหน้าตานั่น สามารถมองเห็นสหายเก่าในอดีตได้อย่างเลือนราง
ท่านอ๋องของเป่ยเซี่ยคิดไม่ถึง วันนี้ซูเจ๋อก็มา ซูเจ๋อเป็นผู้ที่องค์ชายหกของเย่เหลียงเชื้อเชิญมาเป็นการส่วนตัว ไม่ได้พูดบอกกล่าวขึ้นมาเลย
ตอนงานเลี้ยงไม่ได้มองอย่างละเอียดเหมือนกับเฉินเสียนเช่นกัน ค่ำคืนนี้มองในระห่างที่ใกล้ คิดไม่ถึงเลยว่าท่านอ๋องของเป่ยเซี่ยจะมีความรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาอย่างแปลกประหลาด
ไม่รู้นี่นับวับว่าเป็นเรื่องบังเอิญที่ได้รับมาหรือไม่
องค์จักรพรรดิสั่งทหารอารักขาหนึ่งขบวนไปเฝ้าติดตามเฉินเสียนอย่างใกล้ชิด เหตุใดตอนสุดท้ายเฉินเสียนกลับมาแล้ว แต่ทว่าทหารอารักขาชุดนั้นยังไม่กลับมา พอถามถึงได้รู้ คิดไม่ถึงว่าแต่ละคนเมาคอพับอยู่ที่พระตำหนักรับรอง
วันต่อมาหลังจากที่ทหารอารักขากลับมา องค์จักรพรรดิถามว่าเมื่อคืนนี้เฉินเสียนกับทูตสองเมืองคุยสิ่งใดทำสิ่งใดกันบ้าง ผลสรุปถามสิ่งใดก็ไม่รู้เรื่องเลย
เป่ยเซี่ยได้รับการยืนยันอย่างแน่ชัดว่าองค์หญิงจิ้งเสียนปลอดภัยดี เย่เหลียงก็ได้รับการยืนยันว่าทูตที่มาเจรจาสันติภาพปลอดภัยดี ทูตทั้งสองเมืองก็ได้เดินทางออกจากต้าฉู่ ก่อนจะเดินทางได้กล่าวลาและเพิ่มกดดันองค์จักรพรรดิต้าฉู่ด้วย
หากชีวิตขององค์หญิงจิ้งเสียนมีทุกข์ภัยไร้ความสุขและเกิดอันตราย ชายแดนเป่ยเซี่ยกับต้าฉู่จะต้องไม่สงบสุขอย่างแน่นอน และทูตที่เจรจาสันติภาพต้าฉู่กับเย่เหลียงหากชีวิตมีทุกข์ภัยไร้ความสุขและเกิดอันตราย หนังสือสัญญาเจรจาสันติภาพของต้าฉู่กับเย่เหลียงถือเป็นโมฆะ
เพียงแค่ชีวิตอันจิ๊บจ๊อยกระจอกของคนสองคน สำหรับองค์จักรพรรดิแล้ว จะสำคัญอย่างอำนาจและราชบัลลังก์ของพระองค์ที่ไหนกันล่ะ แม้พระองค์แทบอยากจะให้พวกเขาตาย แต่สุดท้ายก็จำใจต้องรับข้อจำกัดเก็บชีวิตพวกเขาไว้
พระองค์ทำให้พวกเขาสองคนทำได้เพียงเคลื่อนไหวอยู่รอบกาย ทำให้ชาตินี้พวกเขาออกไปไม่ได้ พระองค์ต้องการทำให้ตลอดชีวิตของพวกเขาไร้เสรี แม้ว่ามีชีวิตอยู่ก็เป็นความทุกข์ระทม
ทูตของทั้งสองเมืองกลับไปแล้ว ภายในพระราชวังกลับมาสงบเงียบ
หลังจากเทศกาลล่าปาวันขึ้นแปดค่ำเดือนสิบสองผ่านไป ก็ใกล้จะฉลองตรุษจีนแล้ว เวลาปีที่แล้วๆมาภายในพระราชวังจะยุ่งวุ่นวายในการจัดเตรียมซื้อจับจ่ายสินค้าสำหรับเทศกาลตรุษจีน
แต่ทว่าปีนี้กลับหนาวเย็นยะเยือก เงียบเหงาเป็นพิเศษ
ท้องพระคลังกลวงว่างเปล่า ไม่สามารถหยิบตั๋วเงินออกมามากกว่าที่จำเป็น เรื่องของพระสนมฉีทำให้ทุกคนในพระราชวังเศร้าอ้างว้างและหวาดกลัว
องค์ชายห้าที่ถูกยกไปฟ้าก่อนหน้า ช่วงเวลาสั้นๆก็ตกหล่นลงมา ไม่เพียงแต่ขี้ขลาด และวันนี้อายุยังน้อยได้สูญเสียพระมารดาไป พูดแล้วน่าสงสาร
และเหล่านางในนางกำนัลที่ในวันธรรมดาๆปกติถูกพระสนมฉีกดขี่โจมตี พวกนางรู้สึกว่ากรรมตามสนองอย่างไม่ผิดพลาด ความเคียดแค้นได้รับการขจัดทิ้งอย่างพึงพอใจ
เสี่ยวเฮอกลับมากล่าวว่า “องค์ชายห้าย้ายไปที่องค์จักรพรรดินีทางด้านนั้นแล้วแล้ว อนาคตมีองค์จักรพรรดินีอบรมเลี้ยงดู เวลานี้ ถึงแม้ว่าพระสนมฉีไม่อยู่ เหล่าพระราชบุตรและองค์หญิงที่ถูกองค์ชายห้ากดขี่ในวันธรรมดาๆนั้น ก็ไม่กล้ากลั่นแกล้งคืน ได้ยินมาว่าองค์จักรพรรดินีร้องขออบรมเลี้ยงดูด้วยตนเองเชียวนะ”
อวี้เยี่ยนกล่าวอย่างไม่เข้าใจว่า “ตอนนั้นที่พระสนมฉีอยู่ องค์ชายใหญ่ถูกมองข้ามไม่ได้รับการสนใจ องค์จักรพรรดิก็ชื่นชอบองค์ชายห้าเป็นพิเศษ ตอนนี้เหตุใดองค์จักรพรรดินี้ถึงต้องการรับอบรมเลี้ยงดูองค์ชายห้าล่ะ”
เฉินเสียนกำลังจัดการไหมพรมขนสัตว์ที่อยู่ในกล่อง สั่งให้นางกำนัลผ่าแบ่งไม้ไผ่มาจำนวนหนึ่ง ขัดเงาแวววับอย่างละเอียด แล้วก็เหลาให้แหลม กลายเป็นเข็มถักผ้าที่ใช้ถักไหมพรมได้ ตามความต้องการของเฉินเสียน ความละเอียดหนาบางและความยาวสั้นมีอยู่จำนวนหนึ่ง
เธอกล่าวอย่างเย็นชาว่า “องค์จักรพรรดินีใช้วิธีทำที่คนฉลาดทำกัน ทั้งมีน้ำใจอย่างชัดเจน ทั้งสามารถกดขี่องค์ชายห้าจนคงที่ องค์ชายห้าอยู่ที่มือของพระองค์ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปไม่จำเป็นต้องลงมือทำสิ่งใดเลย เช่นนี้ก็สามารถดุนดันให้องค์ชายห้ามีความสามารถโดดเด่นเหนือใครได้”
อวี้เยี่ยนกับเสี่ยวเฮอตรัสรู้เข้าใจทันที
เฉินเสียนหันมองอวี้เยี่ยน กล่าวว่า“วันนี้เอาอาหารให้จระเข้ในทะเลสาบกินหรือยัง?”
อวี้เยี่ยนกล่าวว่า“เอ้อร์เหนียงหั่นเนื้ออยู่ที่ห้องครัว ไม่นานก็นำมาส่งเพคะ”
หลังจากที่ทูตออกจากเมืองหลวงแล้ว ทุกวันเจ้าน่องน้อยต้องให้อาหารจระเข้ครั้งหนึ่ง จระเข้กลุ่มนั้นเชื่อฟังเป็นอย่างมาก
ได้ยินว่า องค์ชายห้าย้ายไปที่พระตำหนักฝ่ายในขององค์จักรพรรดินียังไม่ถึงสองวัน ทุกค่ำคืนร่ำไห้ต้องการจะไปหาพระสนมฉี บ่อยครั้งที่วิ่งออกไปด้านนอกยามค่ำคืน อีกด้านร่ำไห้ อีกด้านตามหาพระสนมฉีทุกแห่งทุกหน บอกว่าเห็นพระสนมฉีกลับมาแล้ว
องค์ชายห้าไม่รู้เรื่องที่พระสนมฉีถูกสับอย่างละเอียดให้หมากิน สมเด็จพระราชชนนีสงสารองค์ชายห้า รับสั่งบังคับด้วยกฎหมายว่าทุกคนไม่ให้พูดกล่าวขึ้นมาเมื่ออยู่ต่อหน้าองค์ชายห้า
แต่ตอนนี้องค์ชายห้ามีกิริยาท่าทางอย่างนี้ ทำให้จิตใจผู้คนกลัวจนตื่นตระหนก
ในพระราชวังค่อยๆมีข่าวลือกระพือขึ้นเป็นอย่างๆเป็นไปได้ที่พระสนมฉีกลับมาแล้วจริงๆ องค์ชายห้าอายุยังน้อย สามารถพบเห็นสิ่งที่ผู้ใหญ่มองไม่เห็นนั่นก็ไม่แน่
ตอนแรกเริ่มองค์จักรพรรดินีจัดการเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด ในพระราชวังมีผู้ที่พูดจามั่วเหลวไหลอีก จะลงโทษอย่างเฉียบขาดไม่อภัยให้ และเอาใจใส่องค์ชายห้ามากขึ้น ไม่อนุญาตให้องค์ชายห้าวิ่งออกไปยามค่ำคืนอีก
แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ทว่าในวังหลังยังคงวุ่นวายขึ้นอีก
มีผู้ที่ได้ยินเสียงร่ำไห้ของพระสนมฉี ในยามค่ำคืนยิ่งวังเวงหนาวยะเยือกอย่างชัดเจนด้วยซ้ำไป นางกำนัลขันทีที่เดินผ่าน ล้วนถูกทำให้ตกใจจนหนีเตลิดและวิ่งเผ่นกัน
และยังมีผู้ที่เห็นเงาของพระสนมฉี สวมใส่ชุดสีขาว ผมเผ้ากระจัดกระจายยุ่งเหยิง ลักษณะท่าทางเหมือนวิญญาณผีผู้หญิง
เวลานี้ในพระราชวังคนล้วนหวาดผวามาก
เดิมองค์จักรพรรดินีไม่เชื่อเรื่องสิ่งชั่วร้ายเหล่านี้ พระองค์กำลังต้องการตรวจสอบเรื่องนี้ คาดการณ์ว่าเสียงร่ำไห้ของผีผู้หญิงลอยเข้าไปในพระตำหนักของสมเด็จพระราชชนนีได้อย่างไร
องค์จักรพรรดินีไม่เชื่อ แต่ทว่าสมเด็จพระราชชนนีเชื่อ
สมเด็จพระราชชนนีถูกเสียงร่ำไห้โหยหวนและเงาเขาไกลลิบๆนั่นทำให้ตกใจ พร้อมใจกันคิดว่าพระสนมฉีกลับมาแล้ว นางกำนัลที่ใจกล้าสักเล็กน้อยไปตามหาทั่วพระตำหนัก ก็หาไม่เจอว่ามีคนก่อเหตุ
เวลาเที่ยงคืน เสียงร่ำไห้นั่นดังมาในห้องนอนของสมเด็จพระราชชนนี ตำหนิสมเด็จพระราชชนนีว่าไม่ช่วยนางปกป้องดูแลลูกชาย ไม่สามารถช่วยชีวิตนางได้
สมเด็จพระราชชนนีนึกถึงเมื่อก่อน พระสนมฉีกับองค์ชายห้ามักจะพยายามอย่างเต็มที่จะปรนนิบัติเอาใจ อดไม่ได้ที่ตกอยู่ในความหวาดกลัวและเศร้าโศกเสียใจ
เวลานี้ความหวาดกลัวและเศร้าโศกเสียใจเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน สมเด็จพระราชชนนีก็ล้มป่วย