ถึงแม้แม่นมซุยจะไม่ได้อยู่ปรนนิบัติรับใช้เฉินเสียนบ่อยนัก และเฉินเสียนไม่ต้องการให้เธอมายุ่งเกี่ยวในชีวิตของเจ้าน่องน้อยแล้ว แต่แม่นมซุยนั้นรักเจ้าน่องน้อยมาก และบ่อยครั้งที่แอบดูเจ้าน่องน้อยอยู่ห่าง ๆ แต่อวี้เยี่ยนและเสี่ยวเฮอก็ไม่พูดออกมา เฉินเสียนก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
ตอนนี้แม่นมซุยกำลังเฝ้าเจ้าน่องน้อยอยู่ในห้องตำรา
ได้ยินมาว่าพรุ่งนี้เฉินเสียนจะต้องออกจากตำหนัก อวี้เยี่ยนก็เป็นคนใจร้อน เกรงว่าจะจัดเตรียมข้าวของได้ไม่ดีเท่าที่ควร แม่นมซุยเลยเข้าไปช่วยจัดการ
เจ้าน่องน้อยถาม “ทำไมท่านแม่ไม่พูดกับเอ้อร์เหนียง?”
“นางทำผิด แม่ต้องปล่อยนางไปสักพัก” เฉินเสียนกอดเจ้าน่องน้อยไว้ และกล่าวอย่างอ่อนโยน “แต่ตอนที่แม่ไม่อยู่ เจ้าต้องเชื่อฟังเอ้อร์เหนียงรู้ไหม?”
เจ้าน่องน้อยน้ำตาไหล แต่ก็ไม่ตอบอะไร
เฉินเสียนกล่าว “หากพรุ่งนี้แม่ต้องไป”
“ท่านแม่จะเป็นเหมือนท่านแม่ขององค์ชายห้าไหม ไปแล้วก็จะไม่กลับมาอีกเลย?” เจ้าน่องน้อยถามขึ้นในทันใด
เฉินเสียนสะดุ้ง และขยับตัวอยู่พักหนึ่ง และกล่าวว่า “อาเซี่ยน ไม่ว่าอย่างไรแม่ก็จะไม่ทิ้งเจ้าไปไหน เพราะฉะนั้นจะต้องกลับมาให้ได้”
เจ้าน่องน้อยพยักหน้า “งั้นลูกจะเชื่อฟังเอ้อร์เหนียง”
เฉินเสียนจับใบหน้าเล็ก ๆ ของเขา จ้องมองคิ้วและความนิ่งเงียบของเขาที่เหมือนกับซูเจ๋อ และยิ้มออกมา “เอ้อร์เหนียงเป็นคนที่พ่อของเจ้าส่งมา พรุ่งนี้แม่จะให้นางอยู่กับเจ้า ให้นางคอยดูแลเจ้า”
เจ้าน่องน้อยลูบไปที่ใบหน้าของเฉินเสียน และถามว่า “ทำไมก่อนหน้านี้ท่านแม่ดูไม่มีความสุข?”
เฉินเสียนตกตะลึง แต่ก็ทำเป็นไม่มีอะไร “เพราะว่า พ่อของเจ้าทำผิด แม่เลยต้องเฉยชากับเขาสักพัก แต่ก็รู้สึกว่าช่างยากเย็น”
“เขาต้องไม่ได้ตั้งใจแน่ ๆ”
เฉินเสียนรู้สึกเศร้า ยิ่งเจ้าน่องน้อยเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้ดี เธอก็ยิ่งรู้สึกว่าสิ่งที่เขาไม่รู้นั้นโหดร้ายต่อเขามากเท่านั้น
แม่นมซุยและอวี้เยี่ยนติดตามเฉินเสียนเข้าวังมาด้วยกัน เมื่อเฉินเสียนต้องไปวัดฮู่กั๋วที่ภูเขาลู่ ก็จะให้แม่นมซุยอยู่ที่นี่
แม่นมซุยรู้ว่าเธอต้องการอะไร และคุกเข่าลงด้วยดวงตาที่เปียกชื้น “องค์หญิงยังให้โอกาสกับบ่าว บ่าวจะไม่ทำให้องค์หญิงผิดหวัง บ่าวจะปกป้องเจ้าน่องน้อยให้ดีเพคะ”
เฉินเสียนมองไปที่นาง “ลุกขึ้นเถอะ ข้าไม่ได้กำลังให้โอกาสเจ้า”
อาจเป็นเพราะตอนที่เธอตัดสินใจทำแบบนี้ เพราะเธอเลือกที่จะเชื่อใจซูเจ๋อ
มีแม่นมซุยอยู่ที่พระตำหนักไท่เหอ นางทำอะไรรู้จักระมัดระวัง และมีเสี่ยวเฮอคอยดูแลเจ้าน่องน้อยอีกคน ทำให้เฉินเสียนรู้สึกวางใจและสบายใจขึ้น
หลังจากหยุดชะงักลง เฉินเสียนถามเบา ๆ “หากสุดท้าย เขาไม่ต้องการเจ้าน่องน้อย เอ้อร์เหนียง เจ้าจะทำอย่างไร?”
แม่นมซุยส่ายหัวด้วยความแน่วแน่ “เป็นไปไม่ได้เพคะ ใต้เท้าไม่มีวันไม่ต้องการ ที่ทำไปนั้น ทั้งหมดเป็นแผนชั่วคราวเพื่อจัดการกับสถานการณ์เฉพาะหน้าเพคะ”
“ข้าถามว่าเจ้าจะทำอย่างไร?”
แม่นมซุยกล่าว “บ่าวสาบานจะปกป้องดูแลเจ้าน่องน้อยด้วยชีวิตเพคะ”
เฉินเสียนพยักหน้า จากนั้นค่อย ๆ ก้าวออกจากประตูห้องและมองขึ้นไปที่หิมะที่ฝั่งตรงข้าม “แผนชั่วคราวเพื่อจัดการกับสถานการณ์เฉพาะหน้า เจ้าไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วภายในใจเขากำลังคิดอะไร ข้าก็ไม่รู้ ดูแลเจ้าน่องน้อยให้ดี รอข้ากลับมา”
เมื่อเธอออกไป เธอบอกแม่นมซุยและเสี่ยวเฮอว่า “ข้าไม่อยู่ อย่าออกไปนอกพรตำหนักไท่เหอบ่อยนัก และยังมีจระเข้ในทะเลสาบ อย่าลืมให้เจ้าน่องน้อยให้อาหารพวกมัน”
เวลานี้ นางกำนัลที่มารับเฉินเสียนออกจากวังก็มาถึงฝั่งตรงข้ามแล้ว นางกำนัลในพระตำหนักไท่เหอนำหีบที่จัดเตรียมไว้ดีแล้วออกมา
เฉินเสียนเดินทางไปวัดฮู่กั๋วพร้อมกับอวี้เยี่ยน สัมภาระของทั้งสองคนมีเพียงแค่กล่องหีบสองกล่องขนาดใหญ่ ทั้งหมดนั้นถูกจัดเตรียมโดยแม่นมซุย มีทั้งเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม และของที่เฉินเสียนเก็บสะสมไว้
เมื่อเฉินเสียนออกเดินทางไป เจ้าน่องน้อยลากมือเสี่ยวเฮอ เหมือนกับเมื่อก่อน พยายามจะวิ่งไปข้างหน้า เพื่อวิ่งตามเฉินเสียนไป
เสี่ยวเฮอทนดูต่อไปไม่ได้ อุ้มเจ้าน่องน้อยขึ้นมาแล้วหันหลังเดินกลับเข้าไป และกล่าวอย่างอดกลั้นไม่ได้ “อย่าตามไปเลย องค์หญิงไม่ได้ท่านตามไปหรอกเจ้าค่ะ”
เจ้าน่องน้อยที่ยู่บนไหล่ของเสี่ยวเฮอ ทำได้เพียงมองเฉินเสียนที่กำลังเดินข้ามสะพานไม้เพื่อออกไปจากพระตำหนักไท่เหอ ยิ่งเดินก็ยิ่งห่างออกไปไกล
เฉินเสียนได้กลายมาเป็นตัวซวยของวังหลังที่ใคร ๆ ต่างก็พากันขับไล่ ตอนนี้เธอถือว่าได้หลุดพ้นออกมาชั่วคราว แล้วเจ้าน่องน้อยล่ะ?
เจ้าน่องน้อยยังอยู่ในวัง เธอยิ่งกลับต้องระมัดระวังการเคลื่อนไหวและการกระทำของเธอ
คงไม่เป็นไร เธอคงไม่ถูกกักขังอยู่ที่บนภูเขาลู่ไปตลอด และองค์จักรพรรดิคงไม่บีบเธอไปตลอดทั้งชีวิตหรอก
ทำไมพวกเขาต้องให้เธอไปวัดที่บนภูเขาลู่ เรื่องนี้เฉินเสียนยังไม่รู้แน่ชัด แต่เธอจะต้องรู้ให้ได้ว่าเพราะอะไร
องครักษ์คุ้มกันเธอออกจากเมือง และมาถึงยังเชิงเขาของภูเขาลู่
หิมะตกหนักปิดทางขึ้นเขา ไม่ใช่เรื่องหลอกลวงเลยแม้แต่นิดเดียว ทางขึ้นภูเขาค่อนข้างสูงชันและยากลำบากมาก เฉินเสียนและอวี้เยี่ยนช่วยกันพยุงจึงจะสามารถค่อย ๆ เดินขึ้นไปบนภูเขาทีละขั้นได้ องครักษ์ใช้เชือกผูกกับกล่องหีบและลากขึ้นมา ฝ่าลมพายุและหิมะ ดึงมันขึ้นภูเขาอย่างยากลำบาก
องครักษ์หลายคนลื่นล้มลงไประหว่างทาง
เมื่อทั้งหมดเดินทางมาถึงวัดฮู่กั๋วก็เป็นเวลาที่ท้องฟ้ามืดแล้ว วัดฮู่กั๋วอันหนาวเหน็บตั้งอยู่บนไหล่เขา ล้อมรอบด้วยยอดเขาเป็นแนวกั้น ซึ่งสามารถบังลมพายุและหิมะได้เกือบทั้งหมด และสถานที่ตั้งก็นับว่าไม่เห็นที่สังเกตโดดเด่นเลย อยู่ในภูเขาลึก หากจะบอกว่าเป็นสถานที่ปลีกวิเวกออกจากโลกภายนอกก็ยังได้
ในเวลานี้ วัดที่เงียบสงบยังคงส่องแสงสีเหลืองอบอุ่น
เจ้าอาวาสในวัดพาลูกศิษย์จำนวนหนึ่งออกไปทักทายเป็นการส่วนตัว
ที่เชิงเขาได้มีองครักษ์เฝ้าคุ้มกันไว้ ภายในวัดก็มีองครักษ์จำนวนหนึ่ง ราวกับพวกเขาจะปกป้องความปลอดภัยของเฉินเสียน แต่ที่จริงแล้ว พวกเขาต้องเฝ้าติดตามเฉินเสียนทุกย่างก้าว
ภายในลานวัดมีห้องว่าง องครักษ์อยู่กันอย่างแออัดในหนึ่งห้อง ส่วนห้องที่จัดเตรียมไว้ให้เฉินเสียนนั้นอยู่ที่เรือนด้านหลังในส่วนที่ลึกที่สุด เป็นเรือนที่เรียบง่ายและแยกเดี่ยวออกไป
ทันทีที่เข้ามาในลานบ้าน บนพื้นและหลังคาบ้านถูกปกคลุมไปด้วยหิมะหนา รู้สึกหนาวเย็นอย่างประหลาด และยังเหน็บหนาวกว่าที่เชิงเขามาก
ขณะอวี้เยี่ยนถูมือไปมาและสั่นสะท้าน เธอกล่าวว่า “องค์หญิง ที่นี่ให้คนอาศัยอยู่จริง ๆ หรือเพคะ? บนภูเขาแห่งนี้มีพระอาศัยอยู่ตลอดทั้งปี และไม่ได้นุ่งห่มหนาแบบพวกเรา พวกเขาไม่รู้สึกหนาวบ้างหรือเพคะ?”
แท้จริงแล้ว พระสงฆ์ที่นี่ล้วนแต่นุ่งห่มผ้าฝ้าย ดูแล้วรู้สึกบางเบา แต่ทุกคนก็ไม่มีอาการตัวสั่นสะท้าน และดูมีเรี่ยวแรงกำลังดี
เฉินเสียนกล่าว “อาจเป็นเพราะเขตแดนต่างกัน”
ทันทีที่เปิดประตูออก ความหนาวเย็นก็พุ่งเข้าใส่ใบหน้า เมื่อจุดเทียนแล้วพบว่าเรือนแห่งนี้เรียบง่ายมาก
ภายในห้องมีโต๊ะและเก้าอี้ ชั้นวางของไม้สำหรับแขวนเสื้อผ้า เตียงนอนและผ้าห่มผืนบาง นอกเหนือจากนี้ไม่พบสิ่งฟุ่มเฟือยอื่น ๆ
เตียงเป็นเตียงไม้ที่เย็นและแข็งโดยไม่มีแม้แต่ชั้นของผ้าฝ้ายรองไว้ มีเพียงผ้าบาง ๆ คลุมไว้ก็สามารถล้มตัวลงนอนได้
อวี้เยี่ยนพูดไม่ออกและกล่าวว่า “พระเขานอนกันแบบนี้หรือเพคะ? อากาศหนาวเหน็บขนาดนี้ เตียงที่แข็งทื่อและเย็นเป็นน้ำแข็ง? กลางคืนจะถูกแช่แข็งก่อนไหมเพคะ?”
เฉินเสียนก็แปลกใจเล็กน้อยเช่นกัน เธอรู้ว่าวัดแห่งนี้ยากจน แต่เธอไม่คิดว่าจะยากจนขนาดนี้
ไม่นานนักก็มีพระภิกษุหนุ่มเดินเข้ามาเชิญให้เฉินเสียนไปเสวยอาหารเจที่จัดเตรียมไว้ อวี้เยี่ยนดึงเขาไว้ และถามว่า “พระอาจารย์ เรือนที่พวกท่านอยู่ก็เรียบง่ายแบบนี้หรือ?”
พระภิกษุหนุ่มกล่าว “โยม เรือนที่อาตมาอยู่กันเป็นห้องที่มีแค่เตียงเท่านั้น ส่วนเรือนหลังนี้นั้น เป็นเรือนที่ดีที่สุดในวัดแล้ว”
อวี้เยี่ยนอึ้งจนพูดไม่ออก
เฉินเสียนกล่าว “ท่านไปก่อน พวกเราจะตามไปทานเจทีหลัง”
หลังจากพระภิกษุเดินออกมา อวี้เยี่ยนรู้สึกหมดหนทางและกล่าวว่า “ดูท่าบ่าวคงจัดการได้เท่าที่มี” พูดจบเธอก็เดินไปที่มุมห้องเปิดกล่องหีบออก พลางบอกกับตัวเองว่า “ดีที่เอ้อร์เหนียงจัดเตรียมไว้ให้ก่อนหน้านี้ เธอมีประสบการณ์ดี บอกว่าภายในวัดอากาศเหน็บหนาวจะต้องเตรียมเสื้อผ้าเครื่องนุ่มมามากหน่อย ผ้าห่มเธอก็จัดเตรียมมาให้”