บนเตาไฟยังต้มน้ำร้อนเอาไว้ ซึ่งอวี้เยี่ยนจะนำมาให้เฉินเสียนใช้ล้างหน้า นางกล่าวว่า “เพิ่งจะหยุดไปได้แค่สองวัน ลมกับหิมะก็พัดมาอีกแล้ว ดูทรงแล้วไม่รู้เลยนะเพคะว่าจะหยุดเมื่อไหร่”
เฉินเสียนหยิบหนังสือที่อยู่ข้างเตียงขึ้นมาและพูดว่า “เจ้ารีบกลับไปนอนเถอะ ตอนกลางคืนอากาศหนาว ห่มผ้าให้มิดชิดหน่อยล่ะ”
หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว อวี้เยี่ยนจึงเอ่ยว่า “เช่นนั้นหากมีอะไรองค์หญิงก็เรียกบ่าวนะเพคะ”
เฉินเสียนยิ้มและกล่าวว่า “หากมีเรื่องอะไรข้าจะเรียกเจ้าทำไม ข้าแก้ปัญหาเองก็ได้ จะได้ไม่ต้องทำให้ทั้งข้าและเจ้าหนาวตาย”
อวี้เยี่ยนแลบลิ้นนิดหนึ่งและกล่าวว่า “เช่นนั้นบ่าวกลับห้องก่อนนะเพคะ”
ที่นี่ไม่ได้สะดวกเท่ากับตอนอยู่ที่สวนสระวสันตฤดูหรือพระตำหนักไท่เหอ ตอนนั้นอวี้เยี่ยนพักอยู่ติดๆ กันและพร้อมจะมาปรนนิบัติทันทีที่เรียกหา ทว่าตอนนี้อวี้เยี่ยนอาศัยอยู่ด้านนอกลาน ถ้าอยากเรียกนางเธอจะต้องออกไปเรียก
ดังนั้นเฉินเสียนจะไม่ไปรบกวนอวี้เยี่ยนถ้าเธอจัดการเองได้ นอกจากนี้เธอก็ไม่ใช่คนที่มักจะตื่นขึ้นมากลางดึกอยู่แล้ว
อากาศหนาวมากหลังจากพ้นช่วงหัวค่ำ ถ้าองครักษ์ซึ่งถูกจัดมาเฝ้ายามอยู่ที่เชิงเขาต้องปฏิบัติหน้าที่ตลอดทั้งคืน จนถึงพรุ่งนี้พวกเขาจะต้องกลายเป็นประติมากรรมน้ำแข็งเป็นแน่
ทว่าในคืนวันส่งท้ายปีเก่าเช่นนี้จะแอบอู้งานก็ย่อมได้ พวกเขาจึงแอบไปอู้อยู่ในที่พักชั่วคราวซึ่งสร้างไว้ตรงเชิงเขานานแล้ว
มีใครคนหนึ่งซึ่งค่อยๆ ถอยห่างออกมาจากแสงไฟสลัวในเมืองหลวง อาศัยความมืดของยามราตรีเดินฝ่าลมและหิมะขึ้นไปบนภูเขาเพียงลำพัง
เงาดำนั้นกลมกลืนกับความมืดในยามค่ำคืนและพายุหิมะที่โปรยปรายลงมา และไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ
เฉินเสียนเอนหลังอยู่บนเตียงและถือหนังสือไว้ในมือ นานแล้วที่เธอไม่ได้พลิกหน้ากระดาษเช่นนี้
เธอหยิบตุ๊กตาหุ่นกระบอกสองตัวที่วางอยู่บนหัวเตียงขึ้นมา วางมันไว้ในมือและเฝ้ามองอย่างพินิจ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นหน้ากากที่แขวนอยู่บนชั้นไม้โดยบังเอิญ ซึ่งนั่นทำให้เธอตกอยู่ในภวังค์
เมื่ออยู่ที่นี่เธอไม่จำเป็นต้องคอยเลี่ยงที่จะวางของเหล่านี้ไว้ในที่ที่เธอมองเห็นได้ และเธอก็หวนคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาได้ตามที่ใจปรารถนา หวนคิดถึงเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับสิ่งของเหล่านี้ ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า
เฉินเสียนยิ้มให้ตัวเองและวางหนังสือลงข้างๆ จากนั้นจึงวางหุ่นกระบอกกลับไปไว้ที่ตำแหน่งเดิมอย่างเบามือ
ในเวลากลางวันก็ยังพอว่า เธอไปที่พระอุโบสถเพื่อสวดมนต์ได้ ไปหาตำราอ่านที่หอไตรก็ได้ หรือจะถักผ้าพันคอก็ยังได้ ขอเพียงแค่มีอะไรให้ทำ มีอวี้เยี่ยนอยู่ข้างกาย มีพระและสามเณรผ่านไปผ่านมา เท่านี้เธอก็ไม่คิดอะไรมากแล้ว
แต่ตอนนี้เมื่ออยู่คนเดียว พอมองเห็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกสะเทือนใจ เธอก็อดคิดถึงสิ่งต่างๆ ขึ้นมาไม่ได้
เฉินเสียนจ้องมองหน้ากากซึ่งเต็มไปด้วยลวดลายอยู่ครู่หนึ่ง ฟังเสียงแว่วๆ ของหิมะที่ตกลงมากระทบลายฉลุบนหน้าต่าง จากนั้นจึงขยับร่างกายและเตรียมจะล้มตัวลงนอน
แต่ยังไม่ทันจะนอนลงไปก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น เป็นเสียงเคาะที่ฟังดูเรียบเรื่อยซึ่งดังขึ้นมาสามครั้ง
เฉินเสียนรู้สึกประหลาดใจและถามไปว่า “ใช่อวี้เยี่ยนหรือเปล่า”
ไม่มีการเคลื่อนไหวจากภายนอก
เธอเลิกผ้าห่มและลุกออกจากเตียงเดินไปที่ประตู ดึงสลักประตูและเปิดประตูออกโดยที่ยังไม่ทันถามให้ชัดว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
เธอไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงทำแบบนี้
บางทีอาจเป็นเพราะเสียงเคาะที่เงียบลงในเวลาอันสั้นนั้น ดูเหมือนกับลักษณะของใครบางคน
เฉินเสียนชะงักไปทันทีที่เปิดประตูห้อง
แสงสีเหลืองซีดส่องสว่างอยู่ที่ข้างประตูท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิดภายนอก ส่องให้เธอมองเห็นตรงหน้าประตูซึ่งมีชายรูปงามในชุดสีดำยืนสงบอยู่
เส้นผมสีดำขลับตกกระทบลงมาบนบ่า บนเรือนผมดูเหมือนจะมีเกล็ดน้ำแข็งปะปนอยู่ด้วย สีผิวของเขาขาวซีดราวกับถูกแช่แข็ง เสื้อผ้าสีดำที่สวมใส่มีหิมะปกคลุมอยู่มิใช่น้อย และหิมะก็ย้อมผมของเขาจนเป็นสีขาว
ไม่รู้ว่าเขาเดินฝ่าพายุหิมะมานานแค่ไหน ทั่วทั้งกายจึงเต็มไปด้วยไอเย็น
มีเพียงดวงตาเรียวยาวคู่นั้นที่ยังคงลุ่มลึกราวกับหมึก
ทันทีที่เขาเห็นเฉินเสียน ภายในแววตาของเขาก็สลักเธอไว้ทันที เขายิ้มอย่างอบอุ่นและกล่าวว่า “ดีจริงที่ข้ายังมาทันก่อนท่านจะนอน”
เฉินเสียนจ้องเขาตาค้าง ไม่อยากจะเชื่อว่าซูเจ๋อจะมาในเวลานี้ หรือว่าเวลาที่กำลังนึกถึงหรือคิดถึงเขา เขาจะปรากฏตัวขึ้นมาได้ทุกครั้งอย่างไม่มีอะไรมาขวางกั้น?
“จะไม่เชิญข้าเข้าไปหน่อยหรือ” ซูเจ๋อก้าวเท้าเข้าไปในห้องของเธอหนึ่งก้าว
การเข้ามาใกล้อย่างกะทันหันทำให้เฉินเสียนต้องก้าวถอยหลังไปอย่างช่วยไม่ได้
ซูเจ๋อทิ้งระยะห่างและหันกลับไปปิดประตูราวกับว่าที่นี่เป็นห้องของตัวเอง
เขามองอารามแห่งนี้นิดหนึ่งและถามว่า “ชินกับการอยู่ที่นี่หรือยัง”
เฉินเสียนได้สติกลับมาและหันกลับไปหยิบเสื้อคลุมมาคลุมตัวไว้ เอ่ยโดยไม่มองเขาว่า “ท่านมาทำไม”
“คืนนี้มีเวลาว่าง จึงมาสะสางเรื่องที่ท่านกับข้ายังสะสางไม่เรียบร้อย”
เฉินเสียนใจหายวูบ เมื่อถึงเวลาที่ควรเผชิญหน้า ถึงอย่างไรก็ต้องเผชิญหน้ากับมัน
มีหลายสิ่งที่ขวางอยู่ระหว่างพวกเขา และทั้งหมดนั้นเกี่ยวข้องกับเจ้าน่องน้อย
เฉินเสียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และเอ่ยเบาๆ ว่า “ก็ได้ คืนนี้ข้าพอจะมีเวลาเช่นกัน ถ้าเช่นนั้นก็ถือโอกาสคุยกันให้กระจ่างเสียเลย ท่านจะได้ไม่มาเสียเที่ยว แต่ข้าคงไม่มีชาร้อนๆ มาต้อนรับท่าน”
“ไม่เป็นไร ข้าไม่ดื่ม”
เฉินเสียนเหลือบมองเขาอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่ามีหิมะตกลงมาบนเสื้อผ้าและเส้นผมของเขา ความเจ็บปวดก็ฉายวาบขึ้นมาในแววตาของเธอ เธอกล่าวว่า “สะบัดหิมะบนเสื้อผ้าของท่านเสียก่อนเถิด อีกครู่ถ้าละลายเข้าจะยิ่งหนาว”
คืนนี้หิมะตกหนักและอากาศเย็นจัด ลมหนาวโหมกระหน่ำ เขาฝ่าพายุหิมะมาทั้งที่ชุดสีดำตัวนี้ดูไม่มีความหนาเลยสักนิด นี่เขาไม่รู้จักใส่ชุดเพิ่มหรืออย่างไร
ซูเจ๋อปัดชุดบริเวณหัวไหล่อย่างไม่ใส่ใจและกล่าวว่า “อากาศหนาวเช่นนี้ทำให้ท่านหนาวหรือไม่ ท่านไปนอนฟังข้าบนเตียงก็ได้”
เฉินเสียนกล่าวว่า “ไม่เป็นไร คุยทั้งอย่างนี้นั่นแหละ”
ซูเจ๋อเงียบไปครู่หนึ่ง
เฉินเสียนตกใจเล็กน้อยเมื่อเงยหน้ามองเขาและเห็นว่าเขากำลังมองไปที่หุ่นกระบอกบนหัวเตียงรวมทั้งหน้ากากที่แขวนอยู่บนชั้นไม้
เฉินเสียนไม่อยากให้ซูเจ๋อรู้ว่าในช่วงหลายวันมานี้เธออาศัยสิ่งของเหล่านี้เพื่อระลึกถึงเขา ดังนั้นเธอจึงเข้าไปยืนบังไว้และกล่าวว่า “ถ้าท่านไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน เช่นนั้นข้าจะถาม ส่วนท่านก็ตอบมา”
“ตกลง”
ซูเจ๋อถอนสายตากลับมามองเฉินเสียนอีกครั้ง ตรึงเธอเอาไว้ด้วยสายตาของเขา
เธอเงียบไปนานและพบว่าเป็นเรื่องยากจริงๆ ที่ต้องเป็นฝ่ายพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก่อน
ในที่สุดเฉินเสียนก็สงบใจลงได้ ความคิดทั้งหมดที่เธอคอยระงับไว้ตลอดมาปรากฏขึ้นมาในใจ
เฉินเสียนเลือกที่จะถามคำถามที่สำคัญที่สุดก่อน เธอเงยหน้ามองซูเจ๋ออย่างมั่นคงและเอ่ยด้วยเสียงแหบต่ำว่า “เจ้าน่องน้อย เป็นลูกชายแท้ๆ ของท่านใช่ไหม”
ไม่ว่าในใจของเธอจะยืนยันแน่ชัดหรือไม่ ถึงอย่างไรเธอก็อยากฟังคำตอบของซูเจ๋อกับหูของเธอเอง
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ซูเจ๋อหลุบตามองเธอและตอบว่า “เขาเป็นลูกของข้ากับท่าน”
ดวงตาของเฉินเสียนสั่นเทา
“แล้วเหตุใดจึงต้องปิดบังข้า ไม่ยอมรับเขา”
“เพราะยังไม่ถึงเวลา”
“ยังไม่ถึงเวลา…” ทันใดนั้นเฉินเสียนก็หัวเราะเยาะ น้ำตาเอ่อล้นขึ้นมาที่ขอบตา “ตอนที่ออกไปจากเมืองหลวง ข้ากำชับอวี้เยี่ยนกับเอ้อร์เหนียงว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นให้พาเจ้าน่องน้อยไปหาเหลียนชิงโจว เป็นท่านหรือที่บอกไม่ให้เอ้อร์เหนียงไปหาเขา”
ซูเจ๋อขมวดคิ้ว
เฉินเสียนถามว่า “เป็นท่านที่ปล่อยให้คนจากในวังมาพาเจ้าน่องน้อยเข้าไปในวัง? เป็นท่านที่ส่งเหลียนชิงโจวไปไกลจากเมืองหลวง เช่นนั้นใช่หรือไม่”
“ใช่”
เฉินเสียนพ่นลมหายใจออกมา เธอจับโต๊ะเอาไว้และออกแรงจนนิ้วมือกลายเป็นสีขาว “ทำไม”
“เพราะเจ้าน่องน้อยเพียงคนเดียวอาจจะทำให้เกิดผลกระทบได้มากมาย”
“ท่านกลัวถ้าเหลียนชิงโจวยื่นมือเข้ามาแทรกแซง เรื่องอาจจะถูกเปิดโปง ท่านกลัวว่าเจ้าน่องน้อยจะทำให้เหลียนชิงโจวมีปัญหา ซึ่งแบบนี้จะไม่มีใครคอยวิ่งเต้นแทนท่าน ไม่มีใครเดินเรื่องเตรียมการให้ท่าน เหลียนชิงโจวยังมีประโยชน์ต่อท่าน แต่เจ้าน่องน้อยไม่มี ดังนั้นท่านจึงเลือกที่จะสละเขาทิ้ง”
ขณะที่ซูเจ๋อก้าวเข้ามาใกล้เฉินเสียน เฉินเสียนก็เอ่ยขึ้นมาอีกว่า “ซูเจ๋อ อย่าเข้ามา อย่าเข้ามาใกล้ข้า ยืนอยู่ตรงนั้นและพูดกันให้ชัดเจน”