ข้าคือหงส์พันปี – ตอนที่ 489 ยังทนไหวไหม

น้ำตาที่หางตาของเฉินเสียนคละเคล้าไปด้วยรอยยิ้ม ทั้งพร่างพราวและงดงาม เธอตอบรับซูเจ๋อด้วยการเคลื่อนไหวของตนเอง

โอบรัดรอบเอวของเขาท่ามกลางเสื้อผ้าที่กระจัดกระจาย รั้งเขาลงมาประชิดตัว ขยับเอวอย่างเงอะงะเพื่อรองรับเขา

นอกจากการทำเช่นนี้ เธอก็ไม่รู้แล้วว่าจะระบายความรู้สึกที่กักเก็บไว้ในใจออกมาได้อย่างไร เธอปรารถนาจะให้ซูเจ๋อครอบงำ ปล่อยให้ตนเองถูกเขาตีตราอย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้เธอยังปรารถนาที่จะครอบครองทั้งร่างกายและจิตใจของชายผู้ไว้แต่เพียงผู้เดียว

ซูเจ๋อคว้าร่างของเธอไว้ แม้ว่าร่างกายของเธอจะบีบรัดเขาตามสัญชาตญาณ แต่ไหนเลยจะสู้ความมุ่งมั่นและการบุกฝ่าของเขาได้ นอกจากนี้เขาจะทำให้เฉินเสียนผิดหวังได้อย่างไร ในที่สุดเขาก็ฝังตัวเองเข้าไปได้อย่างสมบูรณ์

เฉินเสียนส่งเสียงอู้อี้และรู้ว่าตนเองรองรับเขาไว้อย่างสมบูรณ์แล้ว ชั่วขณะนั้นดูเหมือนวิญญาณของเธอจะถูกขับออกจากร่าง จนเหลือเพียงแค่เขาที่เข้ามาเติมเต็มให้เธอทั้งกายและใจ

เฉินเสียนเผยอปากเอ่ยคำพูดที่เร้าอารมณ์ออกมาจากลำคอ “แน่นอน ตอนนี้ข้าแทบรอให้ท่านรีดคั้นข้าจนแห้งไม่ไหวแล้ว…”

ชั่วขณะหนึ่งเธอยังปรับตัวไม่ได้ แต่ความเจ็บปวดเพียงเล็กน้อยนั้นไม่ได้มีความหมายสำหรับเธอเลย เพราะร่างกายและจิตใจของเธอไม่เคยถูกเติมเต็มอย่างสมบูรณ์เช่นนี้มาก่อน

ซูเจ๋อไม่ได้เคลื่อนไหวอยู่ครู่ใหญ่เพราะเหมือนจะถูกรัดจนแน่น เพราะคำพูดของเฉินเสียน เขาจึงขบใบหูของเธอและกล่าวว่า “อาเสียน อย่ายั่วข้า”

ดูเหมือนเขาจะทรมานมาก เขาไม่อยากทำให้เธอเจ็บ และยิ่งไม่อยากทำให้เธอมีประสบการณ์ที่เลวร้าย ซึ่งความจริงเฉินเสียนก็ยังไม่ค่อยรู้สึกสบายเท่าไรนัก

ซูเจ๋อเอ่ยอย่างกลัดกลุ้มเล็กน้อย “ไม่ใช่ว่าเคยมีลูกแล้วหรือ เหตุใดจึงยังแน่นขนาดนี้…”

เฉินเสียนรั้งศีรษะของเขาลงมาและจูบอย่างกระตือรือร้น เอ่ยเสียงกระเส่าว่า “ทางที่ดีคืนนี้ท่านควรกินข้าให้เรียบ อย่าให้เหลือแม้แต่กระดูก ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ไม่ว่าข้าจะเป็นเฉินเสียนคนไหน ข้าก็คือเฉินเสียน”

ซูเจ๋อบดขยี้เธอ ประทับรอยจูบทิ้งไว้บนผิวกายและเริ่มสำรวจอย่างลึกซึ้ง

เฉินเสียนขมวดคิ้วแน่น แต่ก็พยายามอย่างดีที่สุดเพื่อตอบสนองซูเจ๋อ

ซูเจ๋อลูบคิ้วของเธอ ดวงตาคู่งามที่ปรือเล็กน้อยบานสะพรั่งอยู่ภายใต้นิ้วของเขา

เธอค่อยๆ ชินกับมัน ซูเจ๋อสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นที่หล่อลื่นของเธอ เขาอดไม่ได้ที่จะออกแรงและเพิ่มความเร็วขึ้นเป็นสองเท่า บุกเข้าไปอย่างหนักหน่วง เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง จนแม้แต่ความตายก็ไม่อาจพรากทั้งคู่ให้จากกัน

นิ้วของเฉินเสียนยึดไหล่ของเขาแน่น เตือนให้รู้ว่าเธอแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ

เป็นความรู้สึกที่บรรยายไม่ได้ ไม่ถึงกับสุขล้น แต่ก็ไม่ได้เจ็บปวดจนทนไม่ไหว

มันขยายใหญ่และเต็มแน่น

ทุกครั้งที่ซูเจ๋อครอบครองเธอ เธอจะรู้สึกเหมือนถูกกระตุ้นที่หัวใจจนร่างกายอ่อนร่วนจากภายในสู่ภายนอก

ความสุขทางกายกลายเป็นเรื่องรอง และเธอก็รู้สึกมีความสุขมากจากก้นบึ้งของหัวใจ

ทุกอย่างเลือนราง เฉินเสียนรู้สึกได้ถึงไอร้อนในร่างกาย เธอรู้สึกได้รางๆ ถึงแก่นกายที่ขยายใหญ่ของซูเจ๋อ แววตาของเธอเต็มไปด้วยความมึนเมา และยิ่งชอบใจนักเมื่อได้เห็นท่าทางซึ่งเต็มไปด้วยความเสน่หาของซูเจ๋อซึ่งเกิดขึ้นเพราะเธอ

แววตาของเขาเต็มตื้นไปด้วยความปรารถนา ภายในดวงตาที่เหมือนท้องฟ้าพลุ่งพล่านไปด้วยอารมณ์รักที่ซัดสาด ราวกับจะดูดกลืนเฉินเสียนให้จมลงไปเสียตอนนี้

ปรากฏกว่าการได้เห็นความปรารถนาที่ตรงไปตรงมาของซูเจ๋อซึ่งมีต่อตัวเธอผ่านแววตาของเขา เป็นสิ่งงดงามอย่างหาที่เปรียบมิได้

เฉินเสียนโอบขาไว้รอบเอวของซูเจ๋ออย่างกล้าหาญและทำให้เขาสิ้นความกังวล เขาเป็นเหมือนหมาป่าที่ฉีกทึ้งและกลืนกินเธออย่างตะกละตะกลาม

เฉินเสียนรู้สึกมึนชาไปชั่วขณะเมื่อซูเจ๋อพุ่งเข้ามาอย่างสุดแรง ในที่สุดเสียงครางที่เต็มไปด้วยการกระตุ้นซึ่งแตกต่างจากครั้งก่อนก็ดังขึ้นมาอย่างทนเก็บไว้ไม่ไหว…

“ซูเจ๋อ…”

เธอจมดิ่งอยู่ในความสับสนวุ่นวาย มือของเธอชอบลูบคลำไปที่รอยแผลและผิวสัมผัสบนแผ่นหลังของเขา ปลายนิ้วลูบไล้เย้าแหย่ แลกกับการกระแทกที่ลึกเข้ามาในแต่ละครั้งของซูเจ๋อ

หลังจากหายจากอาการชา ความสุขที่ยากจะอธิบายด้วยคำพูดก็พรั่งพรูออกมา

ความรู้สึกที่หลากหลายของเขา รอยแผลเป็นนับไม่ถ้วน ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นมาจากเธอ ไม่มีอะไรดีไปกว่าการที่ได้พบเจอกับเขา

สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตที่เหลืออยู่นับแต่นี้ต่อไป คือการทุ่มเทความรักทั้งหมดที่มีให้แก่ผู้ชายที่รักเธอสุดหัวใจคนนี้

สติของเฉินเสียนพร่าเลือนและรู้สึกได้ว่าเขาจูบลงมาที่หางตาของเธอ เธอปล่อยให้ตัวเองถลำลึกเข้าไปในความอ่อนโยนของเขา ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เธอก็ยังกลั้นน้ำตาแห่งความตื้นตันเอาไว้ไม่อยู่

เธอคิดว่าต่อไปนี้จะไม่มีเหตุผลใดๆ มาพรากเธอกับเขาออกจากกันได้อีกแล้ว จวบจนกระทั่งเธอสิ้นลมหายใจ

ลมหนาวภายนอกยังคงหนาวเหน็บ ทว่าภายในห้องกลับอบอุ่นและงดงาม

ซูเจ๋อคือทะเลอันกว้างใหญ่ของเธอ เธอคือเรือลำน้อยที่ลอยขึ้นๆ ลงๆ อยู่ในกระแสคลื่นอันปั่นป่วนของเขา ดูเหมือนแขนขาและองคาพยพของร่างกายกำลังถูกเขาหักจนแหลกสลายออกเป็นชิ้นๆ

เส้นผมสีดำยาวของเฉินเสียนซึ่งแผ่สยายอยู่บนหมอนเกี่ยวพันอยู่กับเส้นผมของซูเจ๋อ และในแววตาที่สับสนของเธอก็สะท้อนไปด้วยภาพเงาของเขา

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน โลกภายนอกกลับเข้าสู่ความเงียบสงัด

ซูเจ๋อประคองศีรษะของเฉินเสียนและจูบเธออย่างลึกซึ้ง เขายังคงสำรวจลึกลงไปในร่างกายของเธออย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งสัมผัสได้ถึงร่างกายที่สั่นเทาและสายน้ำแห่งฤดูใบไม้ผลิของเธอ มีเสียงครางต่ำอย่างยั่วเย้า เขาขบที่ใบหูของเธอและถามว่า “ยังทนไหวไหม”

เพื่อแลกกับคำตอบ เฉินเสียนโน้มคอของเขาลงมาและกอดเขาไว้ด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี

ซูเจ๋อไม่เกรงใจอีกต่อไป เขาใช้แขนข้างหนึ่งรวบเอวของเธอขึ้นมาและพุ่งเข้าไปจนลึก เฉินเสียนเผยอปาก ทว่าไม่มีโอกาสแม้แต่จะหายใจเพราะซูเจ๋อปิดกั้นริมฝีปากของเธอไว้ กลืนกินเสียงอันเสนาะที่เปล่งขึ้นมาจากลำคอของเธอไปจนหมด

หลังจากนั้นคลื่นลูกแล้วลูกเล่าก็โถมเข้ามาราวกับทะเลที่มีคลื่นลม พริบตาเดียวก็กลืนกินเธอเข้าไปทั้งตัว

เฉินเสียนสับสนจนไม่รู้วันไม่รู้คืน ทั้งยังไม่ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน

เมื่อของเหลวที่ร้อนระอุเติมเต็มเข้ามา เธอรู้สึกแค่เพียงว่าในชีวิตนี้เธอไม่มีอะไรที่ต้องเสียใจอีกแล้ว

ต่อมา เฉินเสียนนอนอยู่ในอ้อมกอดของซูเจ๋ออยู่ครู่ใหญ่ จากนั้นจึงค่อยๆ ฟื้นคืนสติจากการต่อสู้อันแสนยาวนาน เธอและซูเจ๋อโอบกอดกันโดยไม่เหลือเว้นช่องว่างใดๆ เธอกอดและอิงแอบแนบกายเขาได้โดยไม่ต้องพะว้าพะวัง

พายุหิมะข้างนอกไม่รู้ว่าหยุดลงตั้งแต่เมื่อไหร่

เมื่อได้สติและรู้ตัวอีกที แก้มของเธอก็ร้อนผ่าว

เดิมทีเธอเพียงต้องการเปิดใจคุยกับซูเจ๋อให้กระจ่าง แต่คุยไปคุยมาผลสุดท้ายกลับกลายมาเป็นเช่นนี้

“กำลังคิดอะไรอยู่หรือ”

เฉินเสียนตอบว่า “ข้ากำลังคิดว่า ที่นี่คืออาราม เป็นสถานที่อันสงบของพระพุทธศาสนา”

ซูเจ๋อยิ้มและกล่าวว่า “พุทธศาสนาคือความเมตตา ถ้าจะต้องตำหนิจริงๆ ก็ตำหนิข้าได้เพียงคนเดียว เป็นข้าที่บุกเข้ามาในห้องของท่านยามวิกาลและลากท่านขึ้นเตียง”

เขาเงยหน้าขึ้นและเห็นหน้ากากที่แขวนอยู่บนชั้นไม้ จากนั้นจึงกระซิบว่า “ท่านต้องพึ่งความทรงจำเหล่านี้เพราะคิดถึงข้าหรือ”

เฉินเสียนหยิบหุ่นกระบอกลงมาจากหัวเตียง วางไว้ตรงหน้าเธอกับซูเจ๋อและบอกว่า “ยังมีคู่นี้ด้วย ท่านไม่รู้หรอกว่าความทรงจำเหล่านั้นช่วยประคับประคองข้ามานานแสนนาน”

ร่างกายเฉินเสียนยุ่งเหยิง และเธอก็เหนื่อยมาก หลังจากคุยกับซูเจ๋อไปได้สักพักหนึ่ง เปลือกตาของเธอก็เริ่มคล้อยลงมาอย่างอยากจะนอนเต็มแก่

ซูเจ๋อกล่าวว่า “อาเสียน นอนทั้งแบบนี้ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นพรุ่งนี้เช้าท่านอาจจะไม่สบาย”

เฉินเสียนลืมตาขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือและถามว่า “แล้วควรนอนอย่างไรรึ”

ดูเหมือนซูเจ๋อจะอึดอัดใจเล็กน้อย ถึงอย่างไรความยุ่งเหยิงทั้งหมดบนร่างกายของเฉินเสียนก็เป็นผลงานชิ้นยอดของเขา เขากล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าควรจะชำระล้างร่างกายก่อนเข้านอนหรอกหรือ”

เฉินเสียนกล่าวว่า “ห้องอาบน้ำในวัดแห่งนี้ไม่มีน้ำร้อนให้อาบ นอกจากนี้ที่นั่นยังเป็นที่ที่เหล่าสงฆ์ใช้ คงจะไม่สะดวกนัก” และเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะเรียกอวี้เยี่ยนมาตอนนี้

ซูเจ๋อบอกว่า “ที่เชิงเขาหลังวัดฮู่กั๋วมีบ่อน้ำพุร้อน ให้ข้าพาท่านไปดีไหม”

เฉินเสียนรู้สึกมีชีวิตชีวา เธอเงยหน้ามองซูเจ๋อ ดวงตาเรียวยาวของเขาดูเหมือนจะพอใจ เขาเลิกคิ้วน้อยๆ และกล่าวว่า “หากไม่ไปแช่น้ำเสียหน่อย พรุ่งนี้ท่านอาจจะลุกออกจากเตียงไม่ได้”

ข้าคือหงส์พันปี

ข้าคือหงส์พันปี

องค์หญิงเฉินเสียนผู้โง่เขลา ถูกไล่ออกจากจวน ถูกทำให้เสียโฉม และยังมีทารกอยู่ในท้องของเธอ! ในวันที่สามีของเธอแต่งงานกับอนุภรรยา เธอมาแสดงความยินดี จัดการกับอนุคนใหม่อย่างรุนแรง และทำให้แขกในงานต่างตกใจ อนุคนใหม่ที่คิดว่าเธอเป็นเช่นไก่ที่อ่อนแอ? แต่ไม่คิดว่าจะสามารถต่อกรกับเธอได้?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset