น้ำตาที่หางตาของเฉินเสียนคละเคล้าไปด้วยรอยยิ้ม ทั้งพร่างพราวและงดงาม เธอตอบรับซูเจ๋อด้วยการเคลื่อนไหวของตนเอง
โอบรัดรอบเอวของเขาท่ามกลางเสื้อผ้าที่กระจัดกระจาย รั้งเขาลงมาประชิดตัว ขยับเอวอย่างเงอะงะเพื่อรองรับเขา
นอกจากการทำเช่นนี้ เธอก็ไม่รู้แล้วว่าจะระบายความรู้สึกที่กักเก็บไว้ในใจออกมาได้อย่างไร เธอปรารถนาจะให้ซูเจ๋อครอบงำ ปล่อยให้ตนเองถูกเขาตีตราอย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้เธอยังปรารถนาที่จะครอบครองทั้งร่างกายและจิตใจของชายผู้ไว้แต่เพียงผู้เดียว
ซูเจ๋อคว้าร่างของเธอไว้ แม้ว่าร่างกายของเธอจะบีบรัดเขาตามสัญชาตญาณ แต่ไหนเลยจะสู้ความมุ่งมั่นและการบุกฝ่าของเขาได้ นอกจากนี้เขาจะทำให้เฉินเสียนผิดหวังได้อย่างไร ในที่สุดเขาก็ฝังตัวเองเข้าไปได้อย่างสมบูรณ์
เฉินเสียนส่งเสียงอู้อี้และรู้ว่าตนเองรองรับเขาไว้อย่างสมบูรณ์แล้ว ชั่วขณะนั้นดูเหมือนวิญญาณของเธอจะถูกขับออกจากร่าง จนเหลือเพียงแค่เขาที่เข้ามาเติมเต็มให้เธอทั้งกายและใจ
เฉินเสียนเผยอปากเอ่ยคำพูดที่เร้าอารมณ์ออกมาจากลำคอ “แน่นอน ตอนนี้ข้าแทบรอให้ท่านรีดคั้นข้าจนแห้งไม่ไหวแล้ว…”
ชั่วขณะหนึ่งเธอยังปรับตัวไม่ได้ แต่ความเจ็บปวดเพียงเล็กน้อยนั้นไม่ได้มีความหมายสำหรับเธอเลย เพราะร่างกายและจิตใจของเธอไม่เคยถูกเติมเต็มอย่างสมบูรณ์เช่นนี้มาก่อน
ซูเจ๋อไม่ได้เคลื่อนไหวอยู่ครู่ใหญ่เพราะเหมือนจะถูกรัดจนแน่น เพราะคำพูดของเฉินเสียน เขาจึงขบใบหูของเธอและกล่าวว่า “อาเสียน อย่ายั่วข้า”
ดูเหมือนเขาจะทรมานมาก เขาไม่อยากทำให้เธอเจ็บ และยิ่งไม่อยากทำให้เธอมีประสบการณ์ที่เลวร้าย ซึ่งความจริงเฉินเสียนก็ยังไม่ค่อยรู้สึกสบายเท่าไรนัก
ซูเจ๋อเอ่ยอย่างกลัดกลุ้มเล็กน้อย “ไม่ใช่ว่าเคยมีลูกแล้วหรือ เหตุใดจึงยังแน่นขนาดนี้…”
เฉินเสียนรั้งศีรษะของเขาลงมาและจูบอย่างกระตือรือร้น เอ่ยเสียงกระเส่าว่า “ทางที่ดีคืนนี้ท่านควรกินข้าให้เรียบ อย่าให้เหลือแม้แต่กระดูก ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ไม่ว่าข้าจะเป็นเฉินเสียนคนไหน ข้าก็คือเฉินเสียน”
ซูเจ๋อบดขยี้เธอ ประทับรอยจูบทิ้งไว้บนผิวกายและเริ่มสำรวจอย่างลึกซึ้ง
เฉินเสียนขมวดคิ้วแน่น แต่ก็พยายามอย่างดีที่สุดเพื่อตอบสนองซูเจ๋อ
ซูเจ๋อลูบคิ้วของเธอ ดวงตาคู่งามที่ปรือเล็กน้อยบานสะพรั่งอยู่ภายใต้นิ้วของเขา
เธอค่อยๆ ชินกับมัน ซูเจ๋อสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นที่หล่อลื่นของเธอ เขาอดไม่ได้ที่จะออกแรงและเพิ่มความเร็วขึ้นเป็นสองเท่า บุกเข้าไปอย่างหนักหน่วง เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง จนแม้แต่ความตายก็ไม่อาจพรากทั้งคู่ให้จากกัน
นิ้วของเฉินเสียนยึดไหล่ของเขาแน่น เตือนให้รู้ว่าเธอแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
เป็นความรู้สึกที่บรรยายไม่ได้ ไม่ถึงกับสุขล้น แต่ก็ไม่ได้เจ็บปวดจนทนไม่ไหว
มันขยายใหญ่และเต็มแน่น
ทุกครั้งที่ซูเจ๋อครอบครองเธอ เธอจะรู้สึกเหมือนถูกกระตุ้นที่หัวใจจนร่างกายอ่อนร่วนจากภายในสู่ภายนอก
ความสุขทางกายกลายเป็นเรื่องรอง และเธอก็รู้สึกมีความสุขมากจากก้นบึ้งของหัวใจ
ทุกอย่างเลือนราง เฉินเสียนรู้สึกได้ถึงไอร้อนในร่างกาย เธอรู้สึกได้รางๆ ถึงแก่นกายที่ขยายใหญ่ของซูเจ๋อ แววตาของเธอเต็มไปด้วยความมึนเมา และยิ่งชอบใจนักเมื่อได้เห็นท่าทางซึ่งเต็มไปด้วยความเสน่หาของซูเจ๋อซึ่งเกิดขึ้นเพราะเธอ
แววตาของเขาเต็มตื้นไปด้วยความปรารถนา ภายในดวงตาที่เหมือนท้องฟ้าพลุ่งพล่านไปด้วยอารมณ์รักที่ซัดสาด ราวกับจะดูดกลืนเฉินเสียนให้จมลงไปเสียตอนนี้
ปรากฏกว่าการได้เห็นความปรารถนาที่ตรงไปตรงมาของซูเจ๋อซึ่งมีต่อตัวเธอผ่านแววตาของเขา เป็นสิ่งงดงามอย่างหาที่เปรียบมิได้
เฉินเสียนโอบขาไว้รอบเอวของซูเจ๋ออย่างกล้าหาญและทำให้เขาสิ้นความกังวล เขาเป็นเหมือนหมาป่าที่ฉีกทึ้งและกลืนกินเธออย่างตะกละตะกลาม
เฉินเสียนรู้สึกมึนชาไปชั่วขณะเมื่อซูเจ๋อพุ่งเข้ามาอย่างสุดแรง ในที่สุดเสียงครางที่เต็มไปด้วยการกระตุ้นซึ่งแตกต่างจากครั้งก่อนก็ดังขึ้นมาอย่างทนเก็บไว้ไม่ไหว…
“ซูเจ๋อ…”
เธอจมดิ่งอยู่ในความสับสนวุ่นวาย มือของเธอชอบลูบคลำไปที่รอยแผลและผิวสัมผัสบนแผ่นหลังของเขา ปลายนิ้วลูบไล้เย้าแหย่ แลกกับการกระแทกที่ลึกเข้ามาในแต่ละครั้งของซูเจ๋อ
หลังจากหายจากอาการชา ความสุขที่ยากจะอธิบายด้วยคำพูดก็พรั่งพรูออกมา
ความรู้สึกที่หลากหลายของเขา รอยแผลเป็นนับไม่ถ้วน ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นมาจากเธอ ไม่มีอะไรดีไปกว่าการที่ได้พบเจอกับเขา
สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตที่เหลืออยู่นับแต่นี้ต่อไป คือการทุ่มเทความรักทั้งหมดที่มีให้แก่ผู้ชายที่รักเธอสุดหัวใจคนนี้
สติของเฉินเสียนพร่าเลือนและรู้สึกได้ว่าเขาจูบลงมาที่หางตาของเธอ เธอปล่อยให้ตัวเองถลำลึกเข้าไปในความอ่อนโยนของเขา ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เธอก็ยังกลั้นน้ำตาแห่งความตื้นตันเอาไว้ไม่อยู่
เธอคิดว่าต่อไปนี้จะไม่มีเหตุผลใดๆ มาพรากเธอกับเขาออกจากกันได้อีกแล้ว จวบจนกระทั่งเธอสิ้นลมหายใจ
ลมหนาวภายนอกยังคงหนาวเหน็บ ทว่าภายในห้องกลับอบอุ่นและงดงาม
ซูเจ๋อคือทะเลอันกว้างใหญ่ของเธอ เธอคือเรือลำน้อยที่ลอยขึ้นๆ ลงๆ อยู่ในกระแสคลื่นอันปั่นป่วนของเขา ดูเหมือนแขนขาและองคาพยพของร่างกายกำลังถูกเขาหักจนแหลกสลายออกเป็นชิ้นๆ
เส้นผมสีดำยาวของเฉินเสียนซึ่งแผ่สยายอยู่บนหมอนเกี่ยวพันอยู่กับเส้นผมของซูเจ๋อ และในแววตาที่สับสนของเธอก็สะท้อนไปด้วยภาพเงาของเขา
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน โลกภายนอกกลับเข้าสู่ความเงียบสงัด
ซูเจ๋อประคองศีรษะของเฉินเสียนและจูบเธออย่างลึกซึ้ง เขายังคงสำรวจลึกลงไปในร่างกายของเธออย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งสัมผัสได้ถึงร่างกายที่สั่นเทาและสายน้ำแห่งฤดูใบไม้ผลิของเธอ มีเสียงครางต่ำอย่างยั่วเย้า เขาขบที่ใบหูของเธอและถามว่า “ยังทนไหวไหม”
เพื่อแลกกับคำตอบ เฉินเสียนโน้มคอของเขาลงมาและกอดเขาไว้ด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี
ซูเจ๋อไม่เกรงใจอีกต่อไป เขาใช้แขนข้างหนึ่งรวบเอวของเธอขึ้นมาและพุ่งเข้าไปจนลึก เฉินเสียนเผยอปาก ทว่าไม่มีโอกาสแม้แต่จะหายใจเพราะซูเจ๋อปิดกั้นริมฝีปากของเธอไว้ กลืนกินเสียงอันเสนาะที่เปล่งขึ้นมาจากลำคอของเธอไปจนหมด
หลังจากนั้นคลื่นลูกแล้วลูกเล่าก็โถมเข้ามาราวกับทะเลที่มีคลื่นลม พริบตาเดียวก็กลืนกินเธอเข้าไปทั้งตัว
เฉินเสียนสับสนจนไม่รู้วันไม่รู้คืน ทั้งยังไม่ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน
เมื่อของเหลวที่ร้อนระอุเติมเต็มเข้ามา เธอรู้สึกแค่เพียงว่าในชีวิตนี้เธอไม่มีอะไรที่ต้องเสียใจอีกแล้ว
ต่อมา เฉินเสียนนอนอยู่ในอ้อมกอดของซูเจ๋ออยู่ครู่ใหญ่ จากนั้นจึงค่อยๆ ฟื้นคืนสติจากการต่อสู้อันแสนยาวนาน เธอและซูเจ๋อโอบกอดกันโดยไม่เหลือเว้นช่องว่างใดๆ เธอกอดและอิงแอบแนบกายเขาได้โดยไม่ต้องพะว้าพะวัง
พายุหิมะข้างนอกไม่รู้ว่าหยุดลงตั้งแต่เมื่อไหร่
เมื่อได้สติและรู้ตัวอีกที แก้มของเธอก็ร้อนผ่าว
เดิมทีเธอเพียงต้องการเปิดใจคุยกับซูเจ๋อให้กระจ่าง แต่คุยไปคุยมาผลสุดท้ายกลับกลายมาเป็นเช่นนี้
“กำลังคิดอะไรอยู่หรือ”
เฉินเสียนตอบว่า “ข้ากำลังคิดว่า ที่นี่คืออาราม เป็นสถานที่อันสงบของพระพุทธศาสนา”
ซูเจ๋อยิ้มและกล่าวว่า “พุทธศาสนาคือความเมตตา ถ้าจะต้องตำหนิจริงๆ ก็ตำหนิข้าได้เพียงคนเดียว เป็นข้าที่บุกเข้ามาในห้องของท่านยามวิกาลและลากท่านขึ้นเตียง”
เขาเงยหน้าขึ้นและเห็นหน้ากากที่แขวนอยู่บนชั้นไม้ จากนั้นจึงกระซิบว่า “ท่านต้องพึ่งความทรงจำเหล่านี้เพราะคิดถึงข้าหรือ”
เฉินเสียนหยิบหุ่นกระบอกลงมาจากหัวเตียง วางไว้ตรงหน้าเธอกับซูเจ๋อและบอกว่า “ยังมีคู่นี้ด้วย ท่านไม่รู้หรอกว่าความทรงจำเหล่านั้นช่วยประคับประคองข้ามานานแสนนาน”
ร่างกายเฉินเสียนยุ่งเหยิง และเธอก็เหนื่อยมาก หลังจากคุยกับซูเจ๋อไปได้สักพักหนึ่ง เปลือกตาของเธอก็เริ่มคล้อยลงมาอย่างอยากจะนอนเต็มแก่
ซูเจ๋อกล่าวว่า “อาเสียน นอนทั้งแบบนี้ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นพรุ่งนี้เช้าท่านอาจจะไม่สบาย”
เฉินเสียนลืมตาขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือและถามว่า “แล้วควรนอนอย่างไรรึ”
ดูเหมือนซูเจ๋อจะอึดอัดใจเล็กน้อย ถึงอย่างไรความยุ่งเหยิงทั้งหมดบนร่างกายของเฉินเสียนก็เป็นผลงานชิ้นยอดของเขา เขากล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าควรจะชำระล้างร่างกายก่อนเข้านอนหรอกหรือ”
เฉินเสียนกล่าวว่า “ห้องอาบน้ำในวัดแห่งนี้ไม่มีน้ำร้อนให้อาบ นอกจากนี้ที่นั่นยังเป็นที่ที่เหล่าสงฆ์ใช้ คงจะไม่สะดวกนัก” และเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะเรียกอวี้เยี่ยนมาตอนนี้
ซูเจ๋อบอกว่า “ที่เชิงเขาหลังวัดฮู่กั๋วมีบ่อน้ำพุร้อน ให้ข้าพาท่านไปดีไหม”
เฉินเสียนรู้สึกมีชีวิตชีวา เธอเงยหน้ามองซูเจ๋อ ดวงตาเรียวยาวของเขาดูเหมือนจะพอใจ เขาเลิกคิ้วน้อยๆ และกล่าวว่า “หากไม่ไปแช่น้ำเสียหน่อย พรุ่งนี้ท่านอาจจะลุกออกจากเตียงไม่ได้”