ไม่รู้ว่าซูเจ๋อจะมาคืนนี้ เมื่อครู่อวี้เยี่ยนเอาถ้วยไปเก็บหนึ่งอันแล้ว ตอนนี้จึงเหลือถ้วยเพียงอันเดียวเท่านั้น
เฉินเสียนตักโจ๊กร้อน ทั้งสองนั่งอยู่รอบโต๊ะ เธอป้อนซูเจ๋อสองคำ ตัวเองค่อยกินหนึ่งคำ คล้ายกับไม่เป็นธรรมชาติอย่างไรชอบกล
เฉินเสียนแอบด่าตัวเองว่าไม่เอาไหน เธอกับซูเจ๋อไม่ได้อยู่ด้วยกันวันแรก ทั้งๆที่อยู่กันมาสองปี ทว่าเพิ่งมาดัดจริตตอนนี้ มันสายเกินไปหรือเปล่า?
เฉินเสียนแกล้งทำเป็นนิ่ง ไม่ยอมว่างแม้แต่วินาทีเดียว หลังจากกินโจ๊กเสร็จก็เก็บถ้วย แล้วเทน้ำอุ่นมาบ้วนปาก
ซูเจ๋อกล่าวโดยไวว่า “ข้าทำให้ท่านทำตัวไม่ถูกหรือ?”
เฉินเสียนเงยหน้าขึ้นมามองเขา ไม่ทันสังเกตเกือบตกอยู่ในสายตาเขาสักแล้ว เธออดนึกถึงภาพคืนวันสิ้นปีไม่ได้ ทันใดนั้นใบหน้าพลันร้อนระอุ ก่อนจะส่ายหัวกล่าวว่า “ที่ไหน ไม่มี”
ซูเจ๋อเอื้อมมือไปจับแก้มของเธอด้วยแววตาลุ่มลึก “ท่านกำลังเขินอายอยู่”
ซูเจ๋อแค่สัมผัสพวงแก้มเธอก็ทำให้เธอประหม่าโดยพลัน
ทันใดนั้นเฉินเสียนพลันตอบสนองได้ ครั้งล่าสุดที่ซูเจ๋อมาพึ่งทำเรื่องอย่างนั้นอย่างนี้กับเธอ หากตอนนี้เธอยังเงียบสงบได้ เช่นนี้ถึงจะเรียกว่าไม่ปกติกระมัง
เมื่อมีเหตุผลนี้ เสมือนความรู้สึกประหม่ากับทำตัวไม่ถูกเหมือนจะมีข้ออ้างที่ดีเสียแล้ว
เฉินเสียนดีดตัวลุกขึ้น กล่าวอย่างเก้อเขินว่า “ข้าไม่ใช่สตรีที่มีรักแรกแย้มสักหน่อย เหตุใดถึงเขินอาย”
ซูเจ๋อก็ลุกขึ้นตาม เธอถูกเขาบีบให้ถอยทีละก้าวจนถึงมุมกำแพง
เฉินเสียนเอามือดันแขนของเขาไว้ด้วยดวงตาที่ทอแสงประกาย พลางบ่นกระปอดกระแปดว่า “ก็ได้ ข้ายอมรับว่าตัวเองเขินอาย ไม่มีกฎมณเฑียรบาลกำหนดว่าข้าอายไม่ได้สักหน่อย ท่านอย่าเข้ามาอีกเลย ข้าหายใจไม่ออกแล้ว”
มือสัมผัสความอ่อนนุ่มของเนื้อผ้าที่เขาสวมใส่ เฉินเสียนรู้สึกว่าคนนี้ประณีตทุกอย่างแบบไร้ที่ติจริงๆ
ซูเจ๋อกล่าวกับเธอเสียงเบา “ไม่ใช่มีเพียงท่านคนเดียวที่กำลังตื่นเต้น ตั้งแต่ก้าวออกจากประตูธรณี รู้ว่าต้องมาที่ภูเขาลู่ ข้าก็เริ่มตื่นเต้นแล้ว”
ร่างกายเฉินเสียนแนบติดกับผนังกำแพง หัวใจเต้นระรัวพลางได้สูดดมกลิ่นกายของเขา กล่าวว่า “ท่านหลอกข้า ท่านคือซูเจ๋อ ไยต้องตื่นเต้นกับเรื่องนี้ด้วยเล่า……”
ซูเจ๋อโน้มตัวมาหาเธอ สองมือเฉินเสียนพลันอ่อนยวบจนทำให้เขาเข้าใกล้ได้สำเร็จ ก่อนจะใช้แรงกอดเธอติดกับผนัง
กลิ่นไม้กฤษณาโชยมาแตะสัมผัสหัวใจเฉินเสียนให้ละลาย
เขากอดเธอไว้ในอ้อมแขน พลางกล่าวข้างหูเธอเบาๆ “ไม่มีกฎมณเฑียรบาลกำหนดว่าข้าตื่นเต้นไม่ได้เช่นกัน”
เฉินเสียนหลุบตาด้วยความใจสั่น เธอยื่นมือไปโอบเอวซูเจ๋อ ก่อนจะเลื่อนขึ้นไปบนบ่าของเขาแล้วกอดแนบแน่น ปากกล่าวว่า “ข้าไม่รู้ว่าท่านจะมาวันนี้ หากรู้แต่แรก ข้าจะใส่อาภรณ์สวยๆ ประทินผิวเล็กน้อย จัดทรงผม……”
ซูเจ๋อได้ยินพลันแอบยิ้มอย่างมีความสุขมากมาย “จะเข้านอนแล้ว ไยท่านต้องแต่งตัวงามด้วย หรืออยากให้ข้าทำอะไรกับท่านอีกครั้ง?”
สิ้นเสียง เขาก็อุ้มเฉินเสียนเดินไปวางไว้บนเตียง
ซูเจ๋อถอดเสื้อไปพลาง กล่าวไปพลาง “คืนนี้ไร้ที่ไป คงต้องยืมเตียงท่านนอนแล้วละ”
เฉินเสียนบิดกายขยับเข้าไปด้านใน
เขาขึ้นเขาได้เฉพาะยามราตรี ในห้องมีเตียงแค่ตัวเดียว ไม่ให้เขานอนบนเตียงแล้วจะให้นอนที่พื้นหรือ?
สักพัก ซูเจ๋อดับตะเกียง พลางก้มตัวลงมานอน
ท่าทางของเขาเบามาก เฉินเสียนเห็นเขาไม่ดึงผ้าห่ม เกรงว่าจะห่มไม่ถึงตัวเขา จึงหันหลังกลับมาพลันดึงผ้าห่มให้เขาใช้ร่วมกัน
เงียบสงัดได้สักพัก ซูเจ๋อก็ยื่นมือไปจับเอวเธอมาไว้ในอ้อมอก
เฉินเสียนรู้สึกตัวอ่อนไปหมด ปล่อยให้เขากอดดั่งใจหมาย
ซูเจ๋อก้มหน้าจูบริมฝีปากเธอติดต่อกันเป็นเวลานาน เฉินเสียนคล้องคอของเขาพลางจูบตอบ
ได้ยินเสียงครางจากคอเฉินเสียน ซูเจ๋อจึงหยุด ไอละมุนจากลมหายใจอุ่นๆโชยไปสัมผัสผิวบริเวณลำคอ
ซูเจ๋อหัวเราะอย่างจนปัญญา “หากจูบต่อไป ข้าคงหักห้ามใจตัวเองไม่ไหว แรงปรารถนาน่ากลัวยิ่งนัก หากได้ลิ้มลองเมื่อไหร่ก็จะถอนตัวไม่ขึ้น”
เฉินเสียนกอดศีรษะของเขา ลมหายใจโดนเรือนผมเบาๆ “มีแรงปรารถนาคราใด เป็นอันต้องเชยชมสมใจอยาก ยิ่งอยากครอบครองเป็นของตน ซึ่งไม่เพียงแต่ท่านที่เป็นเช่นนี้” เธอก็รู้สึเหมือนกัน
ผ่านมาเนิ่นนาน เธอไม่เคยเห็นซูเจ๋ออยากได้ใครหรือสิ่งใดมาครอบครองเลย มันทำให้เธออิ่มเอมใจยิ่งนัก
ซูเจ๋อกลับคิดว่าร่างกายของบุรุษเพศกับสตรีเพศนั้นต่างกัน โดยสตรีเพศต้องคำนึกหลายๆด้าน เดือนหนึ่งมีวันปลอดภัยที่สามารถเสพสุขแค่ไม่กี่วัน หากตรงกับวันที่เสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ เขาก็ไม่ทำตามกามารมณ์ จะนำความเดือดร้อนมาให้เฉินเสียนเปล่าๆ
เขาปรับอารมณ์ตัวเองลง พลางกล่าวว่า “หลายวันก่อน ฉินหรูเหลียงขึ้นเขาทุกวันส่งผลกระทบต่อท่านหรือไม่?”
เฉินเสียนกล่าว “เขาว่างจนอลหม่าน แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อข้า”
ซูเจ๋อกัดหูเธอ ก่อนจะกล่าวว่า “หากเขายังเป็นแบบนี้อีกก็ไม่ต้องแยแสเขา”
หัวใจเฉินเสียนอ่อนระทวย ถูอาภรณ์เขาไปมาพลันกล่าวว่า “ข้าไม่ได้แยแสเขา นอกจากท่าน ข้าไม่สนใจใครทั้งนั้น”
ซูเจ๋อกล่าว “ครั้งนี้อาศัยบุญญาธิการที่เขามาก่อกวนท่านบนเนินเขา หากพ้นกำหนดสี่สิบเก้าวันเมื่อใด พระองค์จะให้ท่านไปจากที่นี่”
เฉินเสียนถาม “จากนั้นล่ะ?”
ซูเจ๋อเงียบไปสักพัก แล้วใช้เสียงทุ้มต่ำกล่าวกับเธออย่างจริงจัง “อาเสียน ท่านเชื่อใจข้าไหม? ไม่ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น ท่านยินดีเชื่อข้าหรือไม่?”
เฉินเสียนชะงัก ตอบเขาอย่างตั้งมั่นว่า “ข้าเชื่อ”
เธอกล่าวแย้มยิ้มต่อว่า “ท่านรู้หรือไม่ การที่ท่านให้ข้าสงสัยในตัวท่านมันลำบากลำบนแค่ไหน? มันจะทำให้ข้าสูญเสียพลังกายและพลังใจ ข้าจะไม่สงสัยอีก”
ซูเจ๋อจูบเส้นผมเธอ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เช่นนี้ข้าก็ไร้ความกังวลแล้ว”
ค่ำคืนนี้เธอเข้าสู่นิทราด้วยการนอนอยู่ในอ้อมกอดของเขา
พอเฉินเสียนตื่นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น ซูเจ๋อก็จากไปเสียแล้ว ราวกับเขาไม่เคยมาเยือน เรื่องเมื่อคืนเป็นเพียงความฝันของเธอเท่านั้น
ทว่าไออุ่นของเขายังคงติดอยู่บนเตียง จึงไม่ใช่ความฝัน
การนอนครั้งนี้เธอหลับยาวมากและตื่นมาเนิ่นนานก็ไม่เห็นอวี้เยี่ยนเข้ามาในเรือนเสียที
เมื่อคราที่อวี้เยี่ยนเข้ามาก็ใกล้เที่ยงเสียแล้ว ผลักประตูเข้ามาเห็นเฉินเสียนแต่งกายเรียบร้อยเสร็จสรรพพลันนั่งอ่านตำราใกล้หน้าต่าง นางก็อดกล่าวด้วยความประหลาดใจไม่ได้ “องค์หญิงตื่นบรรทมเช้าจังเพคะ พระวรกายยังเหนื่อยล้าอยู่หรือไม่เพคะ? บ่าวยังใคร่ครวญว่ายามนี้องค์หญิงยังไม่ตื่นบรรทมเลยนะเพคะ”
เฉินเสียนมองอวี้เยี่ยนอย่างทุกข์ตรมแวบหนึ่ง กล่าวว่า “องค์หญิงของเจ้าปล่อยตัวปานนี้เชียวหรือ?”
อวี้เยี่ยนกล่าวด้วยความสัตย์จริง “องค์หญิงดูแล้วไม่เหมือนเพคะ แต่สำหรับบุรุษมักจะหื่นกระหายต่อเรื่องนี้นะเพคะ”
เฉินเสียนกล่าวด้วยเสียงหัวเราะ “เมื่อก่อนข้าไม่ทันสังเกตว่าอวี้เยี่ยนรู้อะไรต่อมิอะไรเยอะแยะเลย”
ใบหน้าอวี้เยี่ยนแดงระเรื่อ “อันที่จริงบ่าวก็ไม่ค่อยเข้าใจมากเท่าใดนักเพคะ ก่อนที่องค์หญิงจะแต่งงานออกเรือน แม่นมในวังเคยพร่ำสอนเล็กน้อยเพคะ เพียงแค่เพิ่งจะได้ใช้ความรู้นี้กับองค์หญิงตอนนี้เพคะ”