เทศกาลบุปผาสะพรั่งในเดือนกุมภาพันธ์ ลมหนาวยังคงพัดพาความหนาวเหน็บมาเยือนเล็กน้อย
ความหนาวในเหมันตฤดูถือว่าจบสิ้นเสียที หิมะหยุดตกมาหลายวันแล้ว แสงตะวันเริ่มปรากฏให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ ต้นไม้น้อยใหญ่มีเขียวขจีสดใหม่เกิดขึ้น ดอกไม้ตูมพร้อมผลิบานอยู่รอมร่อ
รุ่งอรุณนี้เฉินเสียนตื่นเช้ากว่าปกติ ยามที่เธอลืมตาขึ้น ท้องฟ้ายังไม่ได้สว่างเต็มที่
เธอผวาตื่นอย่างไร้สาเหตุ รู้สึกเพียงว่าหัวใจเสมือนมีก้อนหินหนักอึ้งทับโถม และทำให้หัวใจเต้นดังกึกก้องไปทั่วท้อง
เธอนั่งสวดมนต์อยู่ในพระอุโบสถแต่เช้า หนึ่งเดือนกว่าที่ผ่านมาเธอรู้สึกสบายใจมาโดยตลอด ไม่เคยเป็นเหมือนวันนี้ที่หัวใจเต้นตึกตักจนไม่อาจสงบสุขได้
เฉินเสียนอยู่ในพระอุโบสถผู้เดียว เพื่อให้ตัวเองสงบจิตสงบใจ เธอจึงอ่านบทสวดออกมา ซึ่งปกติจะอ่านในใจเท่านั้น
ทั่วทั้งพระอุโบสถเกิดเสียงสวดมนต์และเสียงเคาะบักฮื้อดังกังวานไปทั่ว
ทันใดนั้นเกิดเสียง คะชะ!
ไม้เคาะบักฮื้อหักเสียแล้ว เฉินเสียนมองไม้เคาะที่หักอยู่บนพื้นเป็นสองท่อนด้วยความตะลึงงัน พลางเกิดลางสังหรณ์ในบัดดล
“อมิตาภพุทธ”
เฉินเสียนหันหน้ากลับไปมองพลันเห็นเจ้าอาวาสวัดฮู่กั๋วสาวเท้าเข้ามา
เฉินเสียนลุกขึ้นคารวะ กล่าวว่า “เจ้าอาวาสไต้ซือ วันนี้จิ้งเสียนว้าวุ่นใจ จึงมาสวดมนต์ให้ขัดเกลาจิตใจ คาดไม่ถึงว่าจะทำบักฮื้อเสีย ไต้ซือโปรดอภัยด้วย”
“สรรพสิ่งบนโลกที่กระทบจิตใจล้วนเกิดจากความทุกข์สุข การเจอะเจอกับการอำลา วาสนามาแล้วจากไป หากโยมสามารถปล่องว่างได้ หัวใจก็จะสงบดั่งสายน้ำเอง”
เฉินเสียนคำนับ กล่าวว่า “ไต้ซือใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อเห็นแก่นแท้ จิ้งเสียนคงไม่อาจทำได้ในเวลาส้้นๆหรอก? จิ้งเสียนไม่อาจละทางโลกได้ สิ่งที่ภาวนาจึงเป็นเรื่องทางโลกทั้งนั้น”
พอฟ้าสว่างเต็มที่ก็มีพระราชโองการเรียกตัวเฉินเสียนกลับวังโดยเร็ว
อีกหลายวันกว่าจะถึงสี่สิบเก้าวันแท้ๆ
เฉินเสียนตระหนักได้ว่าลางสังหรณ์ที่ว่าน่าจะเป็นเรื่องนี้สินะ เธอกับอวี้เยี่ยนเก็บสัมภาระเสร็จสรรพ จากนั้นก็กล่าวคำอำลากับเจ้าอาวาสและพระสงฆ์ในวัดฮู่กั๋ว ก่อนจะลงเขาไปอย่างไม่เร็วไม่ช้า
เมื่อเดินทางมาถึงตีนเขาพลันเห็นองครักษ์วังหลวงยืนเฝ้าอย่างหนาแน่น คล้ายกับกลัวเฉินเสียนจะหนีอย่างไรอย่างนั้น จึงทำให้เฉินเสียนอดหนักอึ้งในใจไม่ได้
ตอนเธอมาวัดฮู่กั๋วจักรพรรดิก็ไม่ได้สั่งให้องครักษ์วังหลวงมาส่งเธอมากเท่านี้ ทว่าวันนี้ เพียงแค่ลงเขากลับวัง องครักษ์วังหลวงก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ
อวี้เยี่ยนก็ตกใจกับภาพตรงหน้าจนอึ้งไม่น้อย กล่าวว่า “เกิดอะไรขึ้นเพคะ……”
เฉินเสียนก็ไม่รู้เช่นกัน ทว่าดูจากภาพตรงหน้าคงต้องเกิดเรื่องขึ้นเป็นแน่
องครักษ์วังหลวงไม่รีรอ เมื่อเฉินเสียนขึ้นรถม้าเสร็จก็รีบเคลื่อนขบวนกลับพระราชวังทันที
รถม้ากระตุกจนเฉินเสียนกับอวี้เยี่ยนเวียนเกล้าปวดเศียร อวี้เยี่ยนอดตะโกนเสียงดังไม่ได้ “พวกท่านช้าหน่อย กระแทกแรงไปแล้ว!”
ความเร็วของรถม้าไม่ได้ลดลง ซ้ำยังเพิ่มความเร็วมากกว่าเดิมอีกต่างหาก
ผ่านไปสักพักจึงมีเสียงองครักษ์วังหลวงส่งเข้ามา “ฝ่าบาทรับสั่งให้องค์หญิงจิ้งเสียนรีบกลับวังโดยด่วนพ่ะย่ะค่ะ”
หยุดพูดชั่ววูบ ก่อนจะกล่าวต่อไปว่า “หากองค์หญิงเคืองใจที่รถม้ากระแทกแรง เมื่อกลับถึงวังคงหายเคืองแล้วพ่ะย่ะค่ะ หากยามนี้วิ่งเร็วหน่อย ไม่แน่ว่าอาจได้เห็นหน้ากันครั้งสุดท้ายพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนรู้สึกกลัดกลุ้มใจอย่างบอกไม่ถูก ถามว่า “เจอหน้ากันครั้งสุดท้ายอะไร เห็นหน้าใครครั้งสุดท้าย?”
องครักษ์วังหลวงกล่าวว่า “องค์หญิงจิ้งเสียนเสด็จกลับไปถึงก็รู้เองพ่ะย่ะค่ะ”
ตอนที่เดินทางมาถึงวังเพิ่งผ่านเวลาเที่ยงมาหมาดๆ
เมื่อลงจากรถม้าก็มีขันทีมารายงานกับเฉินเสียน โดยบอกว่าจักรพรรดิรออยู่ในพระตำหนักไท่เหอ ให้เฉินเสียนรีบไปพระตำหนักไท่เหอทันควัน
เจ้าน่องน้อยอาศัยอยู่ในพระตำหนักไท่เหอ ไม่รู้ว่าหนึ่งเดือนกว่าที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นกับเขา เฉินเสียนกลับมา สิ่งที่กังวลก็คือพระตำหนักไท่เหอนี่แหละ
ได้ยินว่าจักรพรรดิรออยู่ที่พระตำหนักไท่เหอ หัวใจเฉินเสียนก็คล้ายกับถูกบดขยี้
เธอไม่อยากให้จักรพรรดิเข้าใกล้ที่แห่งนี้ ยิ่งไม่อยากให้จักรพรรดิเข้าใกล้เจ้าน่องน้อย
เฉินเสียนยกเท้าวิ่งตรงไปยังพระตำหนักไท่เหอทันที
อากาศโดยรอบในพระตำหนักไท่เหอยังคงเงียบสงัด ซึ่งกำลังเป็นช่วงที่หิมะละลายพอดี ตำหนักจึงหนาวเย็นยิ่งนัก
องครักษ์รอบพระตำหนักไท่เหอเพิ่มขึ้นหนึ่งชุด ทะเลสาบที่รายล้อมอยู่นั้นเงียบกริบและมีไอหมอกปกคลุมไปทั่ว
หากมองข้ามหมอหลวงที่สวมชุดขุนนางสีครามเดินเข้าออกในพระตำหนักไท่เหอไป ทุกอย่างดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เฉินเสียนยืนอยู่บนสะพานไม้ พลางทอดถอนใจ รู้สึกว่าร่างกายหนักอึ้งไปหมด ทว่าเธอยังคงยกชายกระโปรงแล้ววิ่่งไปยังพระตำหนักไท่เหออย่างรวดเร็ว
อวี้เยี่ยนถูกทิ้งอยู่เบื้องหลัง พอนางวิ่งตามทันด้วยเสียงหอบ เฉินเสียนก็เดินเข้าไปเสียแล้ว
อวี้เยี่ยนกล่าวถามองครักษ์ยามที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยเสียงกระหืดกระหอบ “เกิดเรื่องอันใดขึ้นเจ้าคะ? เหตุใดพระตำหนักไท่เหอจึงมีคนมากมายเยี่ยงนี้?”
องครักษ์เฝ้าจุดนี้มาโดยตลอด หากแต่สนิทชิดเชื้อกับอวี้เยี่ยนไม่ ก่อนหน้านี้ก็ทักทายพอเป็นพิธีเท่านั้น
องครักษ์ตอบด้วยสีหน้าผิดแปลก “โอรสขององค์หญิง……เหมือนโดนยาพิษจนสิ้นพระชนม์”
อวี้เยี่ยนหน้าซีดเผือดจนเกือบล้ม นางโซซัดโซเซไปด้านหลัง หากไม่ใช่องครักษ์ช่วยประคองไว้ เกรงว่านางต้องตกลงไปในทะเลสาบอย่างแน่นอน
เธอปัดองครักษ์ออกพลันวิ่งไปยังพระตำหนักไท่เหออย่างทุลักทุเล “เป็นไปไม่ได้……เป็นไปไม่ได้!”
เฉินเสียนรู้สึกว้าวุ่นใจเหลือเกิน เธอรู้สึกอย่างนี้ตั้งแต่ลืมตาในยามเช้า
บัดนี้เธอพอจะรู้เรื่องคร่าวๆแล้ว
พระตำหนักไท่เหอมีหมอหลวงมามากมายเช่นนี้ บริเวณพรั่งพรูไปด้วยผู้คน
เฉินเสียนได้ยินเสียงร่ำไห้แว่วออกมาจากด้านใน โดยไม่รู้ว่าเป็นเสียงของเสี่ยวเฮอหรือแม่นมซุย เธอยืนอยู่นอกประตูรู้สึกร่างกายเฉื่อยชาตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ตลอดไปจนถึงทุกอณูผิว ความหนาวพุ่งกระฉูดเขาไปตามรูขุมขนของเธอ
เฉินเสียนยกเท้าถีบบานประตู
ประตูทั้งสองบานพลันเปิดออก ทันใดนั้นเสียงร่ำไห้ก็หยุดลง
ดวงตาบวมแดงอขงเสี่ยวเฮอมองมายังเฉินเสียน “องค์หญิง……เสด็จกลับมาถึงเสียที……”
เฉินเสียนเดินเข้าไปอย่างไร้การตอบสนอง เมื่อเดินมาถึงห้องนอนเห็นหมอหลวงรายล้อมอยู่ข้างเตียง จึงถามเสียงแผ่วเบา “พวกเจ้ากำลังทำกระไรอยู่?”
วันนี้จักรพรรดิเสร็จราชการก็มายังพระตำหนักไท่เหอ ซึ่งเวลานี้กำลังรอฟังผลอยู่ในห้องโถง
เมื่อเฉินเสียนกลับมาถึงก็ไม่มีกะจิตกะใจไปเข้าเฝ้าจักรพรรดิเสียแล้ว เมื่อจักรพรรดิได้ยินเสียงเคลื่อนไหวพลันเสด็จมาดูที่ห้องนอนของเจ้าน่องน้อย
ภายในห้องเงียบกริบ เฉินเสียนจ้องมองหมอหลวงด้วยแววตามืดครึ้มที่เต็มไปด้วยไอสังหาร ก่อนจะตวาดเสียงกะทันหัน “ข้าถามพวกเจ้าว่ากำลังทำอะไรอยู่”
เฉินเสียนกล่าวอย่างดุดัน “หลีกไป”
หมอหลวงหลายท่านโดนตวาดใส่จนอึ้งทึ่ม หากแต่ยังคงถอยไปอยู่สองข้าง
เฉินเสียนก้าวเท้าไปทีละก้าว เห็นร่างกายเล็กๆกำลังนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง
ซึ่งเป็นภาพเหมือนปกติ ในแต่ละวันเจ้าน่องน้อยจะนอนกลางวันทุกวัน
เพียงแต่เขาไม่ได้ถอดเสื้อคลุ้มที่เฉินเสียนเตรียมให้แก่เขา
พอเดินเข้าไปใกล้ เธอถึงเห็นใบหน้าเล็กของเขาซีดขาว ลูกตานูนลงไป เมื่อก่อนดวงตาที่เรียวเล็กที่ทอประกายแสงความนิ่งเงียบ บัดนี้ปิดไว้เสียสนิท
ไม่ว่าจะเป็นจมูก รูหู เบ้าตาหรือมุมปาก ล้วนมีเลือดไหลทะลักออกมาเรื่อยๆอย่างช้าๆ
เขาไม่เห็นเธอกลับมาและไม่ได้แสดงท่าทางดีอกดีใจแต่อย่างใด เขาแค่นอนอยู่บนเตียงอย่างเดียวดายเท่านั้น