จระเข้เหล่านี้มักพยายามปีนขึ้นมาบนฝั่งบ่อยๆ แต่น่าเสียดายที่ฝั่งค่อนข้างสูงและลื่นมาก พวกมันจึงปีนไม่เคยสำเร็จเลย
ตอนนี้มีบันไดมาช่วย จระเข้จึงค่อยๆ ลองปีนขึ้นมาทีละก้าว ปรากฏว่าในที่สุดก็ปีนขึ้นมาบนฝั่งจนสำเร็จ
จากนั้น จระเข้เหล่านั้นก็ค่อยๆ ปีนขึ้นมาบนฝั่งทีละตัว ค่อยๆ คลานมาตัวแล้วตัวเล่า
เวลานี้สีท้องฟ้าค่อนข้างมัวสลัว
เสียงกรีดร้องที่หวาดผวาเสียงหนึ่งทำลายบรรยากาศที่เงียบสงบของพระตำหนักไท่เหอลง
จระเข้ฝูงใหญ่กำลังปีนขึ้นมาถึงบนฝั่ง เฉินเสียนถอยออกไปทีละก้าวพลางหลอกล่อความสนใจของพวกมัน และพวกมันเองก็คลานตามเฉินเสียนมาทีละก้าวเช่นกัน
เมื่อเหล่านางกำนัลเห็นแล้วก็พากันกรีดร้องเสียงดังด้วยความหวาดกลัว เฉินเสียนเองได้พาฝูงเหล่าจระเข้คลานขึ้นบนสะพานไม้
เฉินเสียนเงยหน้าขึ้นมา เธอยกนิ้วชี้ขึ้นทาบปาก พูดกับนางกำนัลที่หวาดผวาจนเนื้อตัวสั่นเทาว่า : “เบาเสียงหน่อย เจ้าอยากจะกลายเป็นอาหารมื้อเย็นของพวกมันหรือไง?”
นางกำนัลเหล่านั้นที่ตกใจกลัวจนฉี่แทบเล็ด รีบใช้มือปิดปากตัวเอง แล้ววิ่งไปเรียกนางกำนัลคนอื่นๆ
เหล่าทหารเวรยามที่เฝ้าอยู่ฝั่งตรงข้ามของพระตำหนักไท่เหอเห็นเฉินเสียนเดินออกมา จึงตั้งใจจะยกมือขึ้นมาขวางเอาไว้ แต่เมื่อเห็นฝูงจระเข้ที่คลานตามหลังเธอมาแล้ว ก็ตกใจรีบถอยหลังออกไปทันที
เฉินเสียนพูดขึ้นว่า : “ไปกันเถอะ ข้าจะพาพวกมันไปหาเจ้าน่องน้อย พวกมันชอบเนื้อที่เจ้าน่องน้อยเป็นคนป้อนให้มากเป็นพิเศษ”
ดวงอาทิตย์ขึ้นโผล่พ้นขอบฟ้าที่สดใส
เหล่าขุนนางกำลังเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิในท้องพระโรง แต่ที่วังหลังตอนนี้ได้โกลาหลวุ่นวายไปหมด
จระเข้ทั้งฝูงได้คลานออกมาอาละวาดไปทั่ว วังหลังที่เต็มไปด้วยพระสนมและนางในมากมาย ตอนนี้ทุกอย่างเละเป็นโจ๊กหม้อเดียวไปแล้ว ทุกคนต่างพากันวิ่งออกจากตำหนักอย่างทุลักทุเล
การเข้าเฝ้าในยามเช้าจึงถูกขัดขวางกลางคัน วังหลังใช้เวลาทั้งวันในการจับจระเข้เหล่านั้นกลับเข้ากรงจนหมด องค์จักรพรรดิทรงนึกไม่ถึงเลย เดิมทีพระองค์ตั้งใจจะใช้จระเข้เหล่านี้เพื่อกักขังเฉินเสียนและเจ้าน่องน้อย แต่ฝูงจระเข้ที่ทรงเลี้ยงไว้มากมายเหล่านี้ กลับมาสร้างปัญหาและความวุ่นวายมากมายให้กับพระตำหนักถึงเพียงนี้
ดูแล้วคงจะเก็บหญิงวิปลาสอย่างเฉินเสียนและฝูงจระเข้เหล่านี้ต่อไปไม่ได้แล้ว
สมเด็จพระราชชนนีที่อยู่ในวังหลังด้วยก็ตกพระทัยจนประชวรพระวาโยไป เวลานี้หมอหลวงกำลังรักษาเป็นพัลวันจนมือไม้พันกันไปหมด ยังมีองค์จักรพรรดินี พระสนม รวมถึงองค์ชายและองค์หญิง ที่ตกพระทัยจนเป็นลมกันหลายพระองค์ด้วยเช่นกัน
องค์จักรพรรดิทรงพิโรธอย่างที่สุด จนอยากจะฆ่าเฉินเสียนให้ตายไปทั้งเป็น แต่กลับยังต้องทนเก็บชีวิตนางไว้
เวลานี้เฮ่อโยวได้คารวะคุกเข่าลงพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมอยากจะสู่ขอองค์หญิงจิ้งเสียน ขอฝ่าบาทได้โปรดทรงอนุญาตด้วยเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อพูดจบ บรรยากาศของทั้งโถงพระโรงก็เงียบสนิทลงในทันใด
เฮ่อโยวคุกเข่าโน้มตัวโค้งคำนับหน้าผากเสมอพื้นในท้องพระโรง สีหน้าท่าทางของเขาแสดงออกด้วยความจริงใจอย่างที่สุด
องค์จักรพรรดิที่ประทับอยู่บนบัลลังก์ ทรงทอดพระเนตรมองเฮ่อโยวที่คุกเขาเสมอพื้นอยู่เนิ่นนาน แล้วจึงทรงตรัสขึ้นอย่างไม่เข้าพระทัยว่า : “เฮ่ออ้ายชิง จิ้งเสียนเป็นคนที่เหล่าข้าราชบริพารต่างรังเกียจและหลีกเลี่ยง นางใช่ว่าจะไม่เคยแต่งงานออกเรือน นางเป็นหญิงที่เพิ่งสูญเสียลูกชายไป ตอนนี้นางขาดซึ่งสติและได้วิปลาสไปแล้ว ตอนนี้เจ้ายังอยากจะสู่ขอนางกับข้าอีกหรือ?”
องค์จักรพรรดิไม่ได้ทรงโยนเผือกร้อนมือลูกนี้ให้กับเฮ่อโยว แต่เฮ่อโยวกลับเป็นคนมาขอเองถึงที่ องค์จักรพรรดิจะไม่ทรงไตร่ตรองเจตนาของเฮ่อโยวไม่ได้เสียแล้ว
เฮ่อโยวจึงพูดออกไปว่า : “ฝ่าบาททรงไม่รู้ว่าควรจะวางองค์หญิงไว้ในตำแหน่งไหน งั้นกระหม่อมยินดีจะเป็นคนแบ่งเบาความกังวลพระทัยและปัญหานี้ของฝ่าบาท โดยการสู่ขอองค์หญิงจิ้งเสียนเป็นภรรยา จะกำราบและควบคุมองค์หญิงเป็นอย่างดี หากเป็นไปได้ กระหม่อมจะทำให้องค์หญิงตั้งครรภ์อีกครั้ง เมื่อเด็กเกิดมาแล้ว กระหม่อมจะส่งเด็กกลับเข้ามายังพระราชวัง เพื่อใช้เป็นเบี้ยต่อรองและควบคุมองค์หญิงจิ้งเสียนพ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่อโยวพูดขึ้นต่อว่า : “ในตอนนี้องค์หญิงจิ้งเสียนวิปลาสขาดซึ่งสติ แต่วันข้างหน้าก็อาจจะได้สติกลับมาก็เป็นได้ ตอนที่องค์หญิงจิ้งเสียนแต่งงานออกเรือนกับฉินหรูเหลียงก็วิปลาสเยี่ยงนี้ไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ เพราะฉะนั้นกระหม่อมจึงคิดว่า การทำให้องค์หญิงมีลูกอีกครั้งเป็นเพียงวิธีเดียวที่สามารถใช้เป็นเบี้ยต่อรองที่มีน้ำหนักและเหมาะสมที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิทรงตรัสขึ้นว่า : “ถึงเวลานั้นลูกขององค์หญิงจิ้งเสียนก็คือลูกของเจ้าด้วยเช่นกัน เจ้าจะทำใจได้หรือ?”
เฮ่อโยวจึงตอบกลับไปว่า : “กระหม่อมไม่ได้มีความรักระหว่างหญิงชายต่อองค์หญิงจิ้งเสียน ชีวิตนี้ของกระหม่อมก็ไม่ได้มีองค์หญิงเป็นภริยาเพียงคนเดียว และกระหม่อมก็ยังมีลูกคนอื่นๆ อีก ขอเพียงสามารถทำให้ฝ่าบาททรงวางพระทัยลงได้ ให้อาณาจักรต้าฉู่สงบสันติสุข แค่ลูกคนหนึ่งจะไปมีค่าขนาดไหนกันพ่ะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิทรงตรัสขึ้นด้วยสีพระพักตร์ที่จริงจัง : “เฮ่ออ้ายชิง เจ้ายอมทำเพื่อข้าถึงเพียงนี้ มีความประสงค์ปรารถนาอันใดกัน?”
องค์จักรพรรดิจะเชื่อเขาได้อย่างไรกัน เฮ่อโยวกล้าทำถึงขนาดนี้ หากไม่มีความประสงค์และความปรารถนาส่วนตัว เขาจะยินดีมาช่วยแบ่งเบาความกังวลใจนี้ทำไมกัน?
หากเขาเป็นคนที่เสียสละไร้ซึ่งความเห็นแก่ตัวอย่างสิ้นเชิง จะร่วมอยู่เคียงข้างได้ไม่นาน หากเป็นเช่นนี้องค์จักรพรรดิจะไม่รู้ว่าควรจะใช้วิธีอะไรในการควบคุมและกำราบเขา วันข้างหน้าก็จะยิ่งยากเป็นการใหญ่ หากวันหนึ่งเกิดมีเจตนาที่แตกต่างคิดไม่เหมือนกันขึ้นมา เขาจะต้องทรยศหักหลังโดยไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียวอย่างแน่นอน
องค์จักรพรรดิทรงไม่รู้สึกเชื่อเลยสักนิดว่าเฮ่อโยวจะเป็นคนที่ไร้ซึ่งความเห็นแก่ตัว ไม่อย่างงั้นเขาก็คงจะไม่อยู่ในท้องพระโรงแห่งนี้ ยอมอดทนกับบททดสอบแสนโหดทุกรูปแบบถึงเพียงนี้
เฮ่อโยวทำการมากมายให้กับองค์จักรพรรดิ ทุกอย่างล้วนอยู่ในสายพระเนตรขององค์จักรพรรดิทั้งสิ้น แต่เรื่องที่เขาคิดอยากจะสู่ขอเฉินเสียนนั้น ยังคงทำให้องค์จักรพรรดิทรงรู้สึกสงสัยและประหลาดไม่ใช่น้อย
เฮ่อโยวที่คุกเข่าอยู่บนพื้น เขาพูดขึ้นอย่างช้าๆ ว่า : “พี่ชายของกระหม่อมได้ทำผิดอย่างมหันต์ กระหม่อมสกุลเฮ่อควรจะมีส่วนเกี่ยวข้องไปด้วย แต่ฝ่าบาทเมตตาเหลือล้น ทรงให้กระหม่อมและบิดาที่แก่ชราแยกจากเรื่องนี้ไม่ข้องเกี่ยวกัน กระหม่อมจึงรู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างสุดซึ้ง ทุกวันนี้บิดาของกระหม่อมล้มป่วยต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่เรือน ยังเฝ้าคำนึงถึงพี่ชายที่จากไปอย่างไม่มีวันหวนคืนมา”
“ในใจของบิดากระหม่อม มีเพียงพี่ชายที่จากไปเท่านั้นที่ควรค่าแก่การเป็นลูกชายของเขา กระหม่อมเป็นเพียงลูกชายที่ไม่กตัญญูรู้คุณ ลูกชายที่ไม่เอาไหน เกะกะเงอะงะ ใช้ชีวิตไปวันๆ ไร้ซึ่งจุดมุ่งหมาย”
มือของเฮ่อโยวที่วางอยู่บนพื้นค่อยๆ กำหมัดขึ้นแน่น องค์จักรพรรดิได้ทรงเก็บรายละเอียดทุกอย่างไว้ในสายพระเนตรจนหมด
เฮ่อโยวพูดต่อไปว่า : “กระหม่อมอยากจะไต่เต้าจนประสบความสำเร็จ เพื่อเป็นที่ประจักษ์ ว่ากระหม่อมนั้นก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าใคร กระหม่อมจะทำให้บิดาที่ยังคงคะนึงถึงแต่พี่ชายที่ตายไปแล้วทุกวันคืนไม่หยุดหย่อนนั้นได้รู้ ว่ากระหม่อมเองก็สามารถทำให้บ้านสกุลเฮ่อนั้นรุ่งโรจน์เฉิดฉาย มีชื่อเสียงเรียงนามชั่วกัปกัลป์ได้เช่นกัน”
เฮ่อโยวเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาคลอเบ้าไปด้วยน้ำตา : “กระหม่อมยินดีจะแลกด้วยทุกสิ่งอย่าง เพื่อแลกมาซึ่งความรุ่งโรจน์ของบ้านสกุลเฮ่ออีกครั้ง ฝ่าบาททรงถามถึงความประสงค์และความปรารถนาส่วนตัวของกระหม่อม กระหม่อมอยากทูลขอเลื่อนขั้นตำแหน่ง ให้มีหน้ามีตาและชื่อเสียงเรียงนามตลอดไปพ่ะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิทรงผ่อนคลายความตึงเครียดลง ตรัสขึ้นด้วยพระสุรเสียงที่ลากยาว : “เฮ่ออ้ายชิง เจ้าอยากจะเป็นขุนนางผู้ยิ่งใหญ่ ที่อยู่ใต้อำนาจคนคนเดียว แต่อยู่เหนือคนทั้งหมื่นรึ?”
เฮ่อโยวเปิดเผยความปรารถนาอย่างไม่ลดละ : “กระหม่อมมิบังอาจหมายปอง!”
องค์จักรพรรดิทรงตรัสขึ้น แฝงไปด้วยความหมายที่ลุ่มลึก : “คนวัยหนุ่ม มีใจมานะมุ่งมั่นนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่จงพึงระลึกจุดจบของพี่ชายที่จากไปของเจ้าเสมอ หากเจ้าคิดจะทรยศหักหลังข้า ข้าจะให้เจ้ามีจุดจบที่น่าอนาถและสังเวชใจเป็นที่สุดด้วยเช่นกัน ไม่เพียงแค่นั้น ข้าละเว้นบ้านสกุลเฮ่อไปครั้งหนึ่งแล้ว จะไม่มีการละเว้นเป็นครั้งที่สองอีก”
เฮ่อฟั่งที่มักมากในสมบัติและราคะตัณหา สุดท้ายเขาเองก็จบชีวิตลงเพราะราคะตัณหานี้ แต่เฮ่อโยวผู้นี้ ไม่โลภในสมบัติและตัณหา แต่กลับโลภในอำนาจ ไต่เต้าขึ้นสูงอย่างกล้าหาญชาญชัย
คำตรัสขององค์จักรพรรดิก็ได้เตือนสติเขา ให้เขาอย่าได้หลงลืมอย่างเป็นอันขาด เพราะไม่ว่าอำนาจที่มากมายขนาดไหน ก็ล้วนได้รับจากองค์จักรพรรดิทั้งสิ้น เมื่อพระองค์สามารถประทานให้ได้ ก็สามารถยึดกลับได้เช่นกัน
เฮ่อโยวคำนับขอบคุณพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “กระหม่อมขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงสอนสั่ง กระหม่อมจะไม่มีวันลืมพระมหากรุณาของฝ่าบาทอย่างเป็นอันขาด การได้อุทิศตัวถวายการรับใช้นั้น เป็นหน้าที่ของกระหม่อมโดยแท้”
องค์จักรพรรดิส่งตรัสขึ้นด้วยพระสุรเสียงที่หนักหน่วงว่า : “เจ้ามาสู่ขอองค์หญิงจิ้งเสียนด้วยตัวเจ้าเอง เกรงว่าหากนางเข้าประตูเรือนของเจ้าแล้ว เรือนของเจ้าจะไม่เป็นอันสงบสุขอีกเลย ก่อนหน้านี้เจ้าเคยอยากให้นางตาย ตอนนี้สองแม่ลูกนั่นก็เชื่อและสรุปว่าเจ้าเป็นคนแยกพวกเขาออกจากกัน ยังเกลียดเจ้าเข้ากระดูกดำอยู่เลย”
เฮ่อโยวจึงพูดขึ้นว่า : “บิดาของกระหม่อมกำลังพักรักษาตัวอย่างสงบ ไม่ต้องการผู้ใดมารบกวน หากกระหม่อมสู่ขอองค์หญิงแล้ว อยากจะทูลขอฝ่าบาทพระราชทานเรือนอีกสักหลัง องค์หญิงจิ้งเสียนถึงแม้จะเกลียดกระหม่อมเพียงใด แต่หลังจากเกี่ยวดองกันแล้ว กระหม่อมก็ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีขององค์หญิง เป็นพ่อของลูกในอนาคตขององค์หญิง องค์หญิงจะทำยังไงได้เล่าพ่ะย่ะค่ะ?”