องค์จักรพรรดิจึงทรงตรัสขึ้นว่า : “เฮ่ออ้ายชิงจิตใจของเจ้ามีความจริงใจมุ่งมั่นเป็นอย่างมาก ทำให้ข้ารู้สึกประทับใจไม่น้อย ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เฮ่อโยวจะได้เลื่อนยศจากขุนนางฝ่ายพิธีการระดับสี่ขึ้นเป็นอารักษ์ฝ่ายพิธีการชั้นสองระดับสูง อารักษ์ฝ่ายพิธีการคนเดิมที่ไร้ความสามารถ ให้ปลดออกเสีย”
เฮ่อโยวคำนับลงอีกครั้ง : “ขอบพระทัยพระมหากรุณาธิคุณฝ่าบาทที่ทรงประทานพ่ะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิทรงพระสรวลพร้อมกับตรัสขึ้นว่า : “เฮ่ออ้ายชิง เจ้าก้าวเข้าไปอีกขั้นแล้ว เข้าใกล้ประโยคที่ว่า อยู่ใต้อำนาจคนคนเดียว แต่อยู่เหนือคนทั้งหมื่น ข้าหวังว่าวันข้างหน้าเจ้าจะสามารถช่วยเหลือข้าให้ธำรงซึ่งราชอาณาจักรให้มั่นคง เฉกเช่นบิดาของเจ้าและเฮ่อฟั่ง ข้าสามารถรับปากกับเจ้าได้ ว่าภายภาคหน้าเจ้าจะมีโอกาสสืบทอดและสืบสานสกุลเฮ่อของเจ้าอย่างแน่นอน”
“กระหม่อมยินดีจะเป็นม้ารับใช้ฝ่าบาทและจะพยายามอย่างสุดความสามารถพ่ะย่ะค่ะ”
“จงป่าวประกาศความประสงค์ของข้า ประทานงานแต่งให้กับอาลักษณ์ฝ่ายพิธีการและองค์หญิงจิ้งเสียน อีกสองวันหาฤกษ์งามยามดี ให้ทั้งคู่ได้แต่งงานกันอย่างเร็วที่สุด”
เมื่อต้นปีเริ่มขึ้น เรื่องเล็กใหญ่ในท้องพระโรงเยอะแยะมากมายวุ่นวายไปหมด องค์จักรพรรดิทรงดูแลและจัดการแทบไม่หวาดไม่ไหว เรื่องเกี่ยวกับเฉินเสียน องค์จักรพรรดิก็ไม่ได้อยากจะสนพระทัยเลยแม้แต่น้อยอยู่แล้ว
นังผู้หญิงบ้านั่นก็ทิ้งไว้ที่เฮ่อโยวก่อน ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ขอแค่ให้นางยังมีชีวิตอยู่ก็เพียงพอแล้ว
ที่วังหลังโดนเธอทำจนเละไม่มีชิ้นดี เมื่อได้ยินว่าเธอจะแต่งงานออกเรือนกับอาลักษณ์ฝ่ายพิธีการ ทุกคนต่างพากันจุดธูปขอบคุณฟ้าดินอย่างดีอกดีใจ อยากให้เธอแต่งออกเรือนไปทันทีเสียด้วยซ้ำ
อาณาจักรต้าฉู่เผชิญมรสุมความหิวโหยของเหมันตฤดู เหล่าราษฎรพากันหนาวตายและอดตายนับไม่ถ้วน ที่ราชสำนักไม่แยแสเลยแม้แต่นิด
เมื่อเริ่มเข้าสู่วสันตฤดูอาหารก็ขาดแคลนเข้าไปใหญ่ เหล่าราษฎรทั้งเจ็บปวดและรู้สึกผิดหวังอย่างที่สุด แต่ละที่ก็เริ่มก่อเหตุจลาจลวุ่นวายขึ้นมา แต่เหล่าขุนนางและเจ้าหน้าที่ในราชสำนักกลับกดเรื่องให้เงียบลง
แต่ยิ่งปกปิด เหล่าราษฎรก็ยิ่งโกรธแค้นและต่อต้าน ยิ่งกำราบมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งต่อต้านมากขึ้นมากเท่านั้น ผลลัพธ์ออกมาตรงข้ามเสมอ
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ในเมืองหลวงนั้นเงียบสงบอย่างที่สุด
เมื่อผ่านพ้นปีใหม่ที่หนาวเหน็บมาแล้ว อากาศก็เริ่มอุ่นขึ้น บุปผานานาชนิดบานประชันขันแข่ง ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายคนแก่และเด็ก ต่างก็ล้วนยินดีปรีดากับเทศกาลบุปผาบานสะพรั่งนี้ ครอบครัวใหญ่ต่างพากันนัดหมายพบพานที่ชานเมืองหลวง เพื่อชื่นชมบุปผางามแห่งสารทฤดู
ตามข่าวคราวจากอนุสรณ์สถานท้องถิ่น เมืองต่างๆ เกิดการจลาจลไปทั่ว ดูเหมือนว่าจะมีกลุ่มคนที่รวมตัวกันตั้งใจบีบบังคับข่มเหงประชาชน พัดโหมดังสุมไฟ
องค์จักรพรรดิทรงรับสั่ง ให้ไปจับคนกลุ่มนั้นที่ก่อจลาจลมา ไต่สวนอย่างเข้มงวด
พื้นที่หน่วยงานราชการกว้างแค่ไหน เกรงว่าพื้นที่ในคุกก็ไม่เพียงพอที่จะคุมขัง คนที่ยัดเข้าห้องขังไม่ได้ ก็จะถูกจัดการปลิดชีพในดาบเดียว ราชสำนักใช้วิธีการนองเลือดและรุนแรง เพื่อจะจัดการกับการจลาจลครั้งนี้ให้เงียบสงบโดยเร็วที่สุด
แต่นี่เป็นเพียงแค่ความสงบก่อนที่พายุฝนจะมาเท่านั้น
งานมงคลสมรสของเฉินเสียนและเฮ่อโยวยังคงถูกดำเนินการต่อไปอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดวันมงคลสมรสก็ถูกกำหนดการเป็นที่เรียบร้อย ก็คือถัดไปอีกสองวัน
พิธีการต่างๆ ที่ยุ่งยากซับซ้อนที่พอจะสามารถตัดออกได้ก็ถูกตัดออกจนหมด แค่เพียงส่งเฉินเสียนไปยังโถงมงคลสมรส เพื่อทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดินกับเฮ่อโยว จากนั้นส่งตัวเข้าห้องหอ พิธีวิวาห์ก็เป็นอันจบสิ้นสมบูรณ์
ภายในเวลาสองวันนี้ กองพระภูษาได้รีบจัดการตัดเย็บชุดมงคลสมรสออกมาหนึ่งชุด พร้อมกับเครื่องประดับศีรษะ ส่งมายังพระตำหนักไท่เหอ
ด้วยการทรงอนุญาตจากองค์จักรพรรดิ เฮ่อโยวจึงได้สร้างเรือนใหม่อยู่นอกวัง ข้างในตัวเรือนมีห้องหอและถูกตกแต่งเล็กน้อย
ทหารเวรยามที่เฝ้าเรือนถูกส่งมาจากพระราชวังทั้งหมด เพื่อเฝ้าและคุ้มกันเฉินเสียน
สองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เฉินเสียนนั่งเหม่อลอยอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เธอสวมชุดมงคลสมรสสีแดงทั้งชุด อวี้เยี่ยนช่วยแต่งหน้าให้เธอด้วยความโศกเศร้า
หลังจากที่กลับจากวัดฮู่กั๋วมา พระตำหนักไท่เหอเปลี่ยนแปลงและเกิดเรื่องขึ้นมากมาย เฉินเสียนทำใจรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ได้ อวี้เยี่ยนเองก็รับไม่ได้ด้วยเช่นกัน
ตอนนี้เฉินเสียนกลับไปเป็นบ้าเหมือนเมื่อก่อนดังเดิม อวี้เยี่ยนเองก็ร้องไห้ตาบวมไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรดี
แม่นมซุยพูดว่า เวลาแบบนี้ห้ามล้มอย่างเป็นอันขาด จะต้องเข้มแข็งกว่าเมื่อก่อนเป็นร้อยเท่าพันเท่า และจะต้องดูแลองค์หญิงเป็นอย่างดีให้ได้
เพราะถ้าหากว่านางล้มลงไปอีกคน ยังจะหลงเหลือใครอีกหรือที่จะห่วงใยองค์หญิงอย่างแท้จริง
ดังนั้นอวี้เยี่ยนจึงกัดฟันอดทนเข้มแข็งต่อไป
ความเจ็บปวดทั้งหมดของเฉินเสียน อวี้เยี่ยนเองรับรู้หมดทุกอย่าง เจ้าน่องน้อยไม่อยู่แล้ว และเธอก็จะต้องแต่งงานออกเรือนกับผู้อื่น และคนผู้นั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นใดเลย นอกเสียจากจิ้งจอกตาขาวที่เนรคุณอย่างเฮ่อโยว!
อวี้เยี่ยนรู้ซึ้งและเข้าใจเป็นอย่างดี ว่าภายในหัวใจของเฉินเสียนมีใต้เท้าซูเพียงคนเดียวเท่านั้น ในขณะที่ยังอยู่ในวัดฮู่กั๋ว กว่าอวี้เยี่ยนจะทิ้งอคติทั้งหมดลง มองดูทั้งสองได้อยู่เคียงคู่กัน แต่เพียงพริบตาเดียว เรื่องราวทั้งหมดก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงราวกับหน้ามือเป็นหลังมือก็ไม่ปาน
จะมีอะไรที่โหดร้ายและแย่ไปกว่าสิ่งที่เฉินเสียนประสบพบเจออีกกัน?
อวี้เยี่ยนพูดขึ้นว่า : “องค์หญิง สองวันมานี้ ท่านไม่ยอมพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว หม่อมฉันทราบและเข้าใจเป็นอย่างดีว่าในหัวใจขององค์หญิงนั้นเจ็บปวดมากเพียงใด รอให้ออกจากพระราชวังไปแล้ว หม่อมฉันจะต้องปกป้ององค์หญิงด้วยชีวิต และจะช่วยองค์หญิงหนีออกไปให้ได้ หากฟ้าสวรรค์เมตตาคุ้มครอง หม่อมฉันจะใช้ชั่วชีวิตที่เหลือพาองค์หญิงออกเดินทางไปสุดใต้หล้าทั่วปฐพีเลยเพคะ”
แม่นมซุยเดินเข้ามาในหอนอน พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “อวี้เยี่ยน สายมากแล้ว ช่วยองค์หญิงสวมเครื่องประดับศีรษะแล้วคลุมผ้าแดงเถอะ”
เมื่อออกจากพระตำหนักไท่เหอ ก็จะต้องจากพระตำหนักที่เธอและเจ้าน่องน้อยได้ใช้ชีวิตร่วมกันมา
ภายใต้ผ้าคลุมผมสีแดง เฉินเสียนสามารถมองเห็นได้เพียงไม่เกินคืบเท่านั้น เธอเดินข้ามสะพานไม้อย่างแข็งทื่อ เดินไปจนถึงตรงข้าม
แม่นมหลายคนยืนรออยู่ฝั่งตรงข้าม เพื่อรับหน้าที่ส่งเฉินเสียนขึ้นเกี้ยวเจ้าสาว
เกี้ยวเจ้าสาวจอดรออยู่ที่หน้าพระตำหนัก เฮ่อโยวได้นำขบวนกองเกียรติยศมาถึง องค์จักรพรรดิทรงอนุญาตให้เขาขี่ม้าอย่างสง่าผ่าเผยเข้ามายังประตูวังเพื่อเข้าพิธีมงคลสมรสกับเฉินเสียนโดยเฉพาะ
วันนี้เขาสวมชุดมงคลสีแดงทั้งชุด ทั้งตัวของเขาไร้ซึ่งความรู้สึกและกลิ่นอายของความไร้เดียงสา แต่กลับท่วมท้นไปด้วยความสุขุมและมากด้วยประสบการณ์
เมื่อมองแล้ว เฮ่อโยวที่ใบหน้าสมบูรณ์แบบ ผิวสะอาดสะอ้านดุจหยก คิ้วและดวงตาที่ลุ่มลึกซับซ้อน หล่อเหลาคมคาย ดูสุขุมสง่างามกว่าครั้งไหนๆ
เมื่ออวี้เยี่ยนมองเห็นเขา นางก็กัดกรามแน่นด้วยความเกลียดแค้น ภายนอกดูดีแล้วจะทำไมกัน ก็ในเมื่อล้วนทำแต่เรื่องเลวทราม สักวันกรรมนั้นจะตามสนอง!
แม่นมซุยกำชับอวี้เยี่ยนว่าจะต้องอดทนเก็บความเคียดแค้นไว้ในใจ และจะต้องดูแลเฉินเสียนให้ดี
อวี้เยี่ยนจึงจำใจต้องฝืนทนมันไว้
เมื่อพิธีรับตัวเจ้าสาวสิ้นสุดลง เฮ่อโยวก็ได้นำกองเกียรติยศกลับไปยังเรือนหอ
เวลานี้ที่เรือนหอเต็มไปด้วยแขกมากมาย ตกแต่งไปด้วยโคมระย้า ผ้าแดงและพวงพู่ ดูคึกคักเป็นอย่างมาก
องค์จักรพรรดิไม่ได้อยากสนพระทัยงานแต่งนี้อยู่แล้ว แต่งานแต่งนี้พระองค์นั้นเป็นคนประทานให้ และตอนนี้เฮ่อโยวเองก็ได้เลื่อนขั้นเป็นขุนนางชั้นสองระดับสูงของราชสำนักแล้ว เหล่าสหายร่วมคณะต่างก็คงมาร่วมแสดงความยินดีด้วย
แต่ก็ไม่ควรยินดีปรีดามากมายจนเกินหน้าเกินตาไป เพราะหากจู่ๆ องค์หญิงเกิดเป็นบ้ากลางงานขึ้นมา งานคงเละไปหมดเป็นแน่แท้
ในเรือนหอคึกคักเป็นการใหญ่ แต่ในห้องตำราหลวงขององค์จักรพรรดิกลับเงียบกริบ
กงกงเข้ามาทูลว่า : “ฝ่าบาท ใต้เท้าเฮ่อได้พาองค์หญิงจิ้งเสียนเข้าสู่โถงสักการะแล้ว คาดว่าตอนนี้น่าจะกำลังทำพิธีปิดท้ายพ่ะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิจึงทรงถามขึ้นว่า : “แล้วฉินหรูเหลียงล่ะ เขาได้ไปรึเปล่า?”
กงกงทูลกลับไปว่า : “ใต้เท้าเฮ่อได้ส่งเทียบเชิญไปแล้ว แต่เขาเองไม่ได้ไปร่วมงาน รู้สึกว่าเขาไปยังสุสานนอกเมือง เพื่อเก็บกวาดทำความสะอาดหลุมฝังศพของลูกชายที่เสียไปพ่ะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิทรงพระสรวลอย่างเยือกเย็น ตรัสขึ้นด้วยความพึงพอพระทัยว่า : “ลูกก็ตายไป เมียก็แต่งงานใหม่ ข้าต้องการให้เขาเจ็บปวดเสียยิ่งกว่าตายไป”
เฉินเสียนถูกส่งตัวไปยังโถงสักการะ เฮ่อโยวที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอ แต่เธอไม่สามารถมองเห็นในหน้าของเขา เธอเห็นเพียงขาทั้งคู่ของเขาและมุมมองจากทางด้านข้างของเขาเท่านั้น
ทั้งคู่ยืนอยู่กลางห้องโถง ไม่นับว่าเหมาะสม แต่ก็ไม่ถือว่าฉุกละหุกจนเกินไป
และไม่อาจหลีกการครหาและการถูกกระซิบนินทาของแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงานเหล่านี้ได้
นึกถึงเมื่อปีที่ผ่านๆ มา ก็เป็นช่วงเวลาแบบนี้เช่นเดียวกัน ที่องค์หญิงจิ้งเสียนกลับเข้าสู่พิธีมงคลสมรสที่จวนท่านแม่ทัพ เพียงแต่เวลานั้นเป็นการต่อสู้ของเธอเอง การปะทะกันในครั้งนั้นโด่งดังไปทั่ว
เวลานั้นก็มีแขกผู้มีเกียรติมามากมายเหลือล้นแบบนี้ คึกคักมีชีวิตชีวาแบบนี้ เพียงแต่ว่าตอนนั้นเธอไปเพื่อก่อความวุ่นวายในงานแต่ง แต่วันนี้เธอกลับมาเป็นเจ้าสาวในพิธีมงคลสมรสแทน
จบลงที่การแต่งงานครั้งที่สองอย่างบ้าและโง่เขลา พูดไปก็น่าอับอายสิ้นดี
สี่ผัวตะโกนกล่าวขึ้นว่า : “ถึงเวลาฤกษ์งามยามดี…..คู่บ่าวสาวเตรียมตัวเข้าโถงสักการะ……”
“หนึ่งคำนับฟ้าดิน……”
“สองคำนับพ่อแม่……”
“สามีภรรยา…..อ๊ะ เจ้าสาวทำแบบนี้ไม่ได้นะเพคะ! ยังไหว้ไม่เสร็จเลย!”
ทุกคนต่างอึ้งไปตามๆ กันอย่างไม่ทันตั้งตัว การกราบไหว้ยังไม่ทันจะเสร็จสิ้น เฉินเสียนก็เริ่มบ้าขึ้นมาอีกแล้ว
เธอทิ้งปมผ้าสีแดงที่ถือคู่กับเฮ่อโยวลงบนพื้น จากนั้นก็เริ่มบ้าคลั่งขึ้นมา โยนถ้วยชาและเครื่องลายครามลงกับพื้น แตกกระจัดกระจายเต็มพื้นไปหมด บรรดาแขกพากันถอยหลังออกไปด้วยความตกใจ
เฮ่อโยวรีบสั่งให้คนพาเฮ่อเซียงออกจากห้องโถงมงคลไปก่อน เพื่อจะได้ไม่ต้องโดนผลกระทบหรือได้รับอันตรายใดๆ
แต่ตอนที่เขาหันไปกลับไปมองเฉินเสียนนั้น ก็เห็นว่าเธอได้ทำห้องโถงทั้งโถงเละไปหมดแล้ว ไม่สามารถจะทำพิธีต่อไปได้อีก
เฮ่อโยวจึงพูดขึ้นว่า : “ใครก็ได้จับตัวองค์หญิงจิ้งเสียนเข้าไปที่ห้องหอหน่อย!”