คันชั่งสีทองประดับพู่ไหมสีแดงถูกยื่นออกมา เกี่ยวผ้าคลุมหน้าของเธอแล้วเปิดขึ้นช้าๆ
เทียนแดงค่อยๆ เผาไหม้และหลอมละลาย น้ำตาเทียนสัมผัสโดนไส้เทียน จึงก่อให้เกิดเป็นเสียงเผาไหม้ของเปลวเทียนขึ้นมา พลอยทำให้แสงเปลวเทียนสั่นไหวริบหรี่ไปด้วย
แต่เมื่อคันชั่งเกี่ยวโดนชายผ้าคลุมหน้าแล้ว จู่ๆ เฉินเสียนก็ยื่นมือออกมา มือที่ขาวเรียวยาวและบอกบางภายใต้แขนเสื้อที่หลวมใหญ่ ดูมีพลัง ที่เวลามองแล้วมิอาจจะถอดถอนสายตาได้ เธอคว้าด้ามคันชั่งอย่างรวดเร็ว
เฉินเสียนที่ยังคงหลุบตาต่ำ เธอพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า : “ที่ข้ายังไม่ปลดผ้าคลุมหน้าออก ไม่ใช่เพราะข้ากำลังรอเจ้ามาเปิดผ้าคลุม แต่เป็นเพราะว่าข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้าต่างหาก”
อีกฝ่ายเงียบไม่ตอบอะไร ทั้งคู่ต่างพากันนิ่งเงียบไม่ไหวติง
เฉินเสียนพูดขึ้นว่า : “เฮ่อโยว เมื่อครู่ที่โถงสักการะ การกราบไหว้ฟ้าดินของพิธีแต่งงานยังไม่ได้เสร็จสมบูรณ์ เพราะฉะนั้นเจ้าและข้าไม่ถือว่าเป็นสามีภรรยาต่อกัน หากเจ้าไม่อยากจะโดนข้าจัดการเหมือนรอบก่อน ก็รีบออกไปเสียตอนนี้”
เมื่อก่อนเฉินเสียนเคยนึกว่าวันหนึ่ง เธอจะสวมชุดมงคลสมรส และคนที่จะเคียงข้างเธอเดินเข้าโถงพิธีแต่งงาน คนที่จะจับมือเธอตลอดไปนับร้อยปีนั้น จะเป็นคนคนเดียวกับคนที่อยู่ในหัวใจของเธอ
น่าเสียดายที่ไม่ใช่
งั้นชุดแต่งงานนี้ เธอสวมใส่เพื่อใครกัน และผ้าแดงที่คลุมหน้านี้ เก็บไว้ให้ใครผู้ใดกัน
เธอกำปลายคันชั่งแน่น ในขณะที่เธอกำลังจะออกแรง ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงที่อ่อนโยนดังขึ้นเหนือศีรษะของเธอ : “ถึงแม้ทุกอย่างจะไม่ได้เป็นดังใจหวัง แต่ก็ยังดี ที่พาท่านออกมาจากพระราชวังได้”
มือของเฉินเสียนชะงักไปในทันที
อาการชะงักของเธอเมื่อครู่นี้ ถูกส่งไปยังฝ่ายตรงข้ามผ่านด้ามจับคันชั่ง
เธอเบิกตากว้าง ค่อยๆ ช้อนตาขึ้น สายตาของเธอจับจ้องไปยังรองเท้าหนังสีดำสนิทที่โผล่พ้นจากชายชุดของเขา
นี่ไม่ใช่ชุดมงคลสมรสสีแดงที่เฮ่อโยวสวมใส่ แต่เป็นชุดสีดำสนิท ตัดกับสีที่ใช้ตกแต่งในห้องหออย่างสิ้นเชิง ดูโดดเด่นและสะดุดตา
คันชั่งสมดังปรารถนา ใช้โอกาสขณะที่มือเฉินเสียนผ่อนแรงลง ก็เกี่ยวเข้ากับปลายของชายผ้าคลุมหน้า ค่อยๆ เปิดขึ้นช้าๆ แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า : “ท่านกับเฮ่อโยว ไม่ได้ทำพิธีสมรสจนเสร็จสมบูรณ์ แน่นอนว่าไม่ได้เป็นสามีภรรยากัน”
เธอมองตามด้ามจับของคันชั่ง เห็นมือที่ถือคันชั่งอยู่ มือที่ทั้งขาวและสะอาดสะอ้าน
ห้วงเวลาที่เฉินเสียนเงยหน้าขึ้นมามองนั้น จังหวะการเต้นของหัวใจเธอยังสงบปกติดี แต่ครั้นเมื่อได้มองเห็นใบหน้าเขาอย่างชัดเจน หัวใจก็เต้นโครมครามดุจคลื่นและพายุที่พัดโหมกระหน่ำขึ้นมาทันใด
คนที่ปรากฏตัวขึ้นในห้องหอเวลานี้ ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้ ไม่ใช่เฮ่อโยว แต่เป็นซูเจ๋อ
ผมที่ยาวและดำสนิทของเขา แสงเปลวเทียนที่กระทบลงบนเค้าโครงของเขา ตัดเป็นเงาคมกริบขึ้นมา แสงสว่างสั่นไหวกระทบลงใบหน้าหน้าของเขา ที่มีทั้งชัดเจนและหมองมัว
เขายิ้มที่มุมปากเล็กน้อย แววตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
จากสีหน้าที่ซีดและอ่อนล้าเล็กน้อยของเขา เมื่อมองเห็นใบหน้าของเธอแล้ว ก็ผ่อนคลายและปล่อยวางลง
เฉินเสียนจ้องมองเขาอยู่เนิ่นนาน ดวงตาแดงก่ำ ไม่ขยับเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่แม้แต่กะพริบตา เพราะกลัวว่าแค่กะพริบตาเบาๆ คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอนั้นจะหายตัวไป
แม่นมที่อยู่ด้านนอก ยกซุปสร่างเมามา เห็นว่าที่ทางเดินนั้นไม่มีใคร เมื่อมองเข้าไปยังห้องหอ ก็เห็นเงาของผู้ชายคนหนึ่ง จึงคิดว่าเป็นเจ้าบ่าวเฮ่อโยว
แม่นมจึงจะเปิดประตูเข้าไป แต่ปรากฏว่าบานประตูนั้นถูกลงกลอนอยู่ นางจึงพูดขึ้นว่า : “ท่านราชบุตรเขย ซุปสร่างเมาที่ท่านสั่งไว้ ข้าน้อยยกมาแล้วเจ้าค่ะ”
ซูเจ๋อมองเฉินเสียนด้วยสายตาที่ลุ่มลึก พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า : “ตอนนี้ข้าไม่ต้องการซุปสร่างเมาแล้ว เจ้าถอยไปเถอะ”
จะสร่างเมาก็ดี จะเมามายก็ดี ตอนนี้ได้เข้าห้องหอไปแล้ว จะเอาซุปสร่างเมาไปทำไม
รอให้ผ่านพ้นคืนนี้ไป พรุ่งนี้แม่นมก็สามารถกลับเข้าพระราชวังเพื่อไปทูลรายงานต่อองค์จักรพรรดิได้แล้ว เพราะฉะนั้นแม่นมจึงไม่อยู่รบกวนต่อ และได้ถอยออกไปในที่สุด
ซูเจ๋อวางคันชั่งลงบนโต๊ะ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “อาเสียน ขอบใจท่านมาก”
เฉินเสียนพยายามควบคุมไม่ให้มือที่อยู่ภายในแขนเสื้อนั้นสั่นเทา เธอตอบกลับไปว่า : “ขอบคุณอะไรข้า?”
“ข้าคิดว่าครั้งนี้ ข้าจะทำได้แค่มองดูท่านแต่งงานกับผู้อื่นเสียแล้ว ตั้งแต่ในพระราชวังจนถึงนอกพระราชวัง และจนถึงวันนี้เวลานี้ ท่านทำทุกอย่างได้ดีมาก”
“ท่านจะให้ข้าเชื่อว่าเรื่องนี้ไม่ใช่แผนที่ท่านวางไว้ตั้งแต่ต้นหรือ” เฉินเสียนขมวดคิ้วพร้อมกับแสร้งยิ้มพลางพูดขึ้นว่า : “สิ่งที่ข้าทำลงไปทั้งหมด มันก็แค่การแสดงตามเนื้อผ้าเท่านั้น แต่วันนี้ ข้าและเฮ่อโยวได้แต่งงานกัน และในที่สุดข้าก็หลุดพ้นจากวังหลวงเสียที แต่ตอนที่ยืนอยู่ในโถงมงคล ตอนที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเฮ่อโยวนั้น ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่ใช่เจ้าบ่าวในดวงใจที่ข้าปรารถนาอยู่ดี ข้าจึงไม่สามารถอยู่ร่วมทำพิธีกับเขาจนจบได้”
หลายวันมานี้ที่พระตำหนักไท่เหอ เฉินเสียนได้พบเจอกับความเจ็บปวดอย่างที่สุด สำหรับเธอแล้ว วันข้างหน้าบางทีก็อาจจะไม่มีความเจ็บปวดอื่นใดที่จะมาเทียบเทียมได้อีก
เฉินเสียนยังคงยึดมั่นในสิ่งที่เธอคิดว่าเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดที่หลงเหลืออยู่ในหัวใจของเธอ
ในใจของเธอเจ็บปวดรวดร้าว ซูเจ๋อเองก็เช่นกัน
คนภายนอกต่างคิดว่าเธอไม่สามารถยอมรับความเจ็บปวดนี้ได้ จึงเป็นบ้าไป
แต่ซูเจ๋อนั้นรู้ดี ว่าภายใต้การเสแสร้งแกล้งบ้านั้น ซุกซ่อนหัวใจที่ยังยึดมั่นและเก็บงำความเจ็บปวดรวดร้าวท่วมท้นเพียงใด
ซูเจ๋อเอื้อมมือไปยกสุราฝาน้ำเต้าคู่มา สองถ้วยพอดี เขาพูดขึ้นว่า : “หากคิดในแง่ร้ายหน่อย แม้ว่าท่านกับเขาจะเข้าพิธีมงคลสมรส และได้ทำครบทุกขั้นตอนในพิธีกราบไหว้ของสามีภรรยา แต่หากว่ายังไม่ได้แลกจอกสุรา ไม่ร่วมหอนอนในค่ำคืนนี้ ก็ไม่นับว่าเป็นพิธีมงคลสมรสที่สิ้นสุดโดยสมบูรณ์ เจ้ายังคงเป็นผู้หญิงของข้าเสมอ”
เฉินเสียนพูดอะไรไม่ออก ทั้งๆ ที่มีคำถามมากมายที่อยากจะถาม แต่ในใจของเธอยังคงรู้สึกกลัว
ซูเจ๋อรู้ว่าเธอกำลังกลัวอะไร เขาจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เบาบางว่า : “อาเสียน วันข้างหน้า เจ้าน่องน้อยจะแซ่ซู นามว่าเซี่ยน เขาจะใช้ชื่อซูเซี่ยนอย่างสง่าผ่าเผย”
หัวใจของเฉินเสียนเหมือนหยุดเต้นไปในทันที ในที่สุดเธอก็สามารถถอนหายใจออกมาได้ เธอเงยหน้าขึ้นจ้องมองไปยังเขา ถามขึ้นอย่างระมัดระวังว่า : “เขา……ยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า?”
ซูเจ๋อวางสุราฝาน้ำเต้าลง เขาหมุนตัวมา นัยน์ตาเรียวยาวแดงก่ำน้ำตาคลอเล็กน้อย ดูมีเงื่อนงำและไม่ชัดเจน เขาพูดขึ้นว่า : “ท่านยินยอมเชื่อมั่นในตัวข้า ข้าก็ต้องพยายามทำอย่างดีที่สุดอยู่แล้ว แน่นอนว่าเขายังมีชีวิตอยู่”
เฉินเสียนเงยหน้าขึ้น ทั้งๆ ที่ตอนอยู่ในพระตำหนักไท่เหอเธอเองได้ร้องไห้จนน้ำตาเหือดแห้งไปหมดแล้ว มาตอนนี้จู่ๆ ก็ยังอยากจะร้องไห้อย่างขึ้นมาอีก
เธอพูดขึ้นว่า : “วันนั้น ตอนที่กำลังกลับไปยังพระตำหนัก ข้าเองได้กอดเขา เนื้อตัวของเขานั้นเย็นเฉียบ ใบหน้าม่วงเขียว……ยัง……ยังมีเลือดออกทวารทั้งเจ็ดอีกด้วย…..ข้านึกว่า……ข้านึกว่าเขาจะ……”
เฉินเสียนยกมือขึ้นปิดหน้าปิดตา พร้อมกับพูดขึ้นต่อว่า : “ซูเจ๋อ ท่านอย่าได้โกหกข้าเชียวนะ ห้ามโกหกข้าเป็นอันขาด เจ้าน่องน้อยยังมีชีวิตอยู่จริงๆ หรือ? ข้ายังจำตอนนั้นได้ ไม่ว่าข้าจะกอดอย่างไรร่างกายของเขาก็ไม่อุ่นขึ้นมาเลยสักนิด ข้ากอดเขาตลอดทั้งสองวันสองคืน เขาก็ไม่ยอมลืมตามาดูข้าเลยแม้แต่นิดเดียว”
เฉินเสียนกัดฟันแน่น น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความเจ็บปวด : “ที่จริงแล้ว ห้วงเวลาที่ข้าอุ้มเขาเข้ามากอด ข้าก็สัมผัสได้ว่าตัวเขาไม่มีชีพจรแล้ว……”
ซูเจ๋อจึงพูดขึ้นว่า : “เจ้าน่องน้อยโดนพิษชนิดรุนแรง ข้าจึงยืดเวลาของพิษออกไป จากนั้นก็ได้ทำการห้ามเลือดที่ไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ด” เขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเฉินเสียน จับมือที่ปิดตาของเธอออก พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงกระซิบว่า : “สิ่งที่โชคดีก็คือ ตอนที่ท่านอยู่ในพระราชวังนั้น ท่านได้ให้ความร่วมมือดีมาก ส่งเจ้าน่องน้อยออกจากพระราชวังได้ทันกาลพอดี ข้าถึงได้ช่วยชีวิตเขาทัน”
“แต่ข้าได้ยินมาว่า หลังจากที่ฉินหรูเหลียงพาเขาไปแล้ว มีคนในพระราชวังได้เห็นกับตาว่าเขาถูกใส่เข้าไปในโลงศพ……”
“ใช้กลอุบายนิดหน่อย ก็สามารถตบตาทำให้สับสนได้แล้ว” ซูเจ๋อพูดกับเธอว่า : “อาเสียน ฟังข้านะ เจ้าน่องน้อยยังมีชีวิตอยู่”
เฉินเสียนในตอนนี้ไม่สามารถควบคุมความรู้สึกของตัวเองได้ เหมือนว่าตัวเธอนั้นได้เดินอยู่บนหนทางแห่งความสิ้นหวัง แต่แล้วจู่ๆ ท้องฟ้าที่มืดมิดก็เปิดออก เผยให้เห็นถึงความสว่างที่เจิดจ้า เธอจับมือของซูเจ๋อไว้แน่น รีบถามขึ้นด้วยความเป็นกังวลใจ : “แล้วตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้าง? เลือดยังไหลออกมาอยู่หรือเปล่า? สีหน้าของเขาดีขึ้นบ้างไหม?”
ถามไปมาอยู่ครู่หนึ่ง เฉินเสียนก็พยายามเงยหน้าขึ้นกลั้นน้ำตา เพื่อไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมา : “ตอนนี้เขาอยู่ไหน? ตัวเขายังหนาวเย็นอยู่หรือเปล่า? ซูเจ๋อ เขาสบายดีไหม?”