อวี้เยี่ยนรีบลุกขึ้นและกล่าวว่า “เช่นนั้นองค์หญิงนอนก่อนนะเพคะ เดี๋ยวบ่าวจะไปเตรียมน้ำร้อนๆ หอมๆ มาให้สรง”
“ปล่อยม่านลง”
อวี้เยี่ยนปล่อยม่านลงมาเหมือนเดิมและเดินออกไปจากห้อง ปิดประตูไว้อย่างแน่นหนา
เฉินเสียนพักเหนื่อยอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง เธอยังงัวเงียและเหนื่อยล้า ร่างกายอ่อนเพลียเกินกว่าจะเคลื่อนไหว บนเรือนร่างยังหลงเหลือกลิ่นอายและร่องรอยที่ซูเจ๋อฝากเอาไว้เมื่อคืน
แววตาของเธอฉาบฉายไปด้วยความสุขสงบ
เจ้าน่องน้อยปลอดภัยดี เธอกับซูเจ๋อก็ปลอดภัยดี ไม่มีอะไรจะสมบูรณ์ไปยิ่งกว่านี้อีกแล้ว
ทันทีที่ขยับตัวเธอก็รู้สึกถึงความเมื่อยล้า มีความรู้สึกอบอุ่นบางอย่างที่ค่อยๆ ไหลออกมาจากหน้าท้องลงมาตามโคนขาของเธอ นี่คือหลักฐานของความบ้าคลั่งกว่าครึ่งคืนเมื่อคืนนี้
ดูถูกฤทธิ์ของสุรางานแต่งไม่ได้จริงๆ
หลังจากนั้นอวี้เยี่ยนจึงนำน้ำร้อนมาให้อาบ โดยมีคนรับใช้สองคนเทน้ำร้อนลงในถังอาบน้ำที่สะอาดและใหม่เอี่ยมซึ่งอยู่ด้านหลังฉากกั้น เติมลงไปในถังอาบน้ำจนเต็ม
หลังจากคนรับใช้กลับออกไป อวี้เยี่ยนจึงย้ายไปที่ข้างเตียงและบอกว่า “องค์หญิง สรงน้ำได้แล้วเพคะ”
เฉินเสียนลุกขึ้นอย่างไร้เรี่ยวแรง หยิบชุดแต่งงานที่อยู่ใกล้มือมาคลุมตัวไว้โดยมีอวี้เยี่ยนช่วยประคองลงจากเตียง
ของเหลวอุ่นๆ ในร่างกายยังเหนียวเหนอะอยู่เล็กน้อย ที่หว่างขาของเฉินเสียนรู้สึกชาไปชั่วขณะ และเธอก็แทบจะก้าวขาไม่ออก
ไอร้อนลอยขึ้นมาเหนือผิวน้ำในถัง เธอคลายชุดออกและปีนเข้าไปในถังน้ำด้วยความยากลำบาก จากนั้นจึงปล่อยให้ตัวเองจมลงไปในน้ำอุ่นๆ
อวี้เยี่ยนกัดกระพุ้งแก้มและเอ่ยอย่างเคียดแค้นด้วยน้ำเสียงปนสะอื้นว่า “บ่าวได้ยินมาว่าเจ้าเดรัจฉานนั่นออกไปตั้งแต่เช้าตรู่ เมื่อครู่นี้บ่าวไปที่หลังครัวและซ่อนมีดไว้หนึ่งเล่ม รอเขากลับมาบ่าวจะฟันเขาเสีย”
“ฟันใคร” เฉินเสียนรู้สึกผ่อนคลายขึ้นพอสมควร “ฟันเฮ่อโยวรึ”
อวี้เยี่ยนเอ่ยอย่างที่นางเห็น “เขาทำกับองค์หญิงเช่นนี้ ต่อให้ตายร้อยหนก็ยังไม่สากับความแค้น!”
เฉินเสียนขดตัวอยู่ในน้ำในขณะที่คางลอยพ้นน้ำขึ้นมา เธอกล่าวว่า “อ๊ะ เมื่อคืนข้าไม่เจอเขานะ”
“….” อวี้เยี่ยนงุนงง “แล้วเหตุใดองค์หญิง…”
สีหน้าของเฉินเสียนเคร่งขรึม “อวี้เยี่ยน ร่างกายของผู้หญิงเรา มีเพียงชายผู้เป็นที่รักเท่านั้นที่จะสัมผัสได้ หากใครอื่นต้องการสัมผัส แรงกายของผู้หญิงเราจะระเบิดขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัด อย่าประเมินตัวเองต่ำเกินไป หากเมื่อคืนนี้เฮ่อโยวกล้ามายุ่มย่าม ข้าจะฟาดเขาให้จมเลยทีเดียว”
เดิมทีอวี้เยี่ยนยังคงเศร้าและกลัดกลุ้ม แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่เฉินเสียนพูด ทันใดนั้นก็พลันสดใสราวกับฟ้าหลังฝน ถ้าหากเมื่อคืนไม่ใช่เฮ่อโยว ก็ต้องเป็นใต้เท้าซูที่มาที่นี่
อวี้เยี่ยนเกือบลืมไปว่าองค์หญิงของนางไม่ใช่คนที่จะถูกรังแกได้ง่ายๆ เพียงแค่ชั่วขณะหนึ่งตอนที่เฉินเสียนยังไม่ได้สติ อวี้เยี่ยนจึงพาลนึกย้อนไปถึงในอดีตที่เธอถูกรังแก
อวี้เยี่ยนดีใจจนแทบบ้า นางกล่าวว่า “องค์หญิงแจ่มใสดีแล้วหรือเพคะ”
เฉินเสียนยิ้มน้อยๆ และตอบว่า “อา หลังจากหลับไปหนึ่งตื่นก็ค่อยแจ่มใสขึ้น”
อวี้เยี่ยนกล่าวว่า “ใต้เท้าซูมีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ คิดไม่ถึงว่าแค่นอนหลับก็รักษาอาการป่วยได้!”
เฉินเสียน “…..”
อวี้เยี่ยนยังไม่รู้เรื่องเจ้าน่องน้อย ตอนที่อยู่ในพระตำหนักไท่เหอ แม้แต่เฉินเสียน แม่นมซุยยังไม่ยอมบอกอะไรสักอย่าง แล้วนับประสาอะไรกับอวี้เยี่ยน
ชีวิตของเจ้าน่องน้อยตกอยู่ในอันตราย ตอนนั้นการที่เขาจะออกไปจากวังได้อย่างราบรื่นหรือไม่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด ดังนั้นยิ่งคนรู้น้อย ความเสี่ยงก็ยิ่งน้อยลงไปด้วย
ทันทีที่ออกมาจากวังแม่นมซุยก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ในเวลานี้นางน่าจะพาเจ้าน่องน้อยออกจากเมืองหลวงไปไกลแล้ว
ตราบใดที่เจ้าน้องน้อยหลุดพ้นไปจากสถานที่แห่งความขัดแย้งได้ ต่อจากนี้ก็ไม่มีอะไรที่เธอจะต้องกลัวอีกต่อไป
เฉินเสียนสัมผัสได้ถึงกลิ่นยาจางๆ ในน้ำที่อาบอยู่ จึงถามอวี้เยี่ยนว่า “ในน้ำใส่สมุนไพรไปด้วยหรือ”
อวี้เยี่ยนกล่าวว่า “มีหรือเพคะ บ่าวไม่เห็นได้กลิ่น แต่ว่าตอนที่ไปถึงหลังครัว บ่าวก็เห็นพวกเขาต้มน้ำนี้ไว้แล้ว บอกว่าเป็นน้ำสำหรับให้องค์หญิงสรง”
เฉินเสียนพินิจอย่างรอบคอบอีกครั้งและค่อยเบาใจลง
กลิ่นสมุนไพรอ่อนๆ นี้หลังจากลองจำแนกดูแล้วจึงพบว่าเป็นสมุนไพรบำรุงกำลังซึ่งช่วยบำรุงร่างกาย
อวี้เยี่ยนยังกล่าวอีกว่า “แปลกนะเพคะ พวกเขารู้ได้อย่างไรว่าองค์หญิงจะอยากสรงน้ำตั้งแต่เช้าหลังจากตื่นบรรทม”
เฉินเสียนยิ้มน้อยๆ โดยไม่ออกความเห็น ถ้าเป็นคนทั่วไป เกรงว่าคงจะไม่มีการเตรียมน้ำต้มสมุนไพรเช่นนี้ไว้
หลังจากอาบน้ำเสร็จ ชุดเครื่องนอนก็ถูกเปลี่ยนใหม่ และเฉินเสียนก็สั่งให้คนมาขนของสำหรับจัดเรือนหอออกไป
เธอพักผ่อนอยู่ในห้องโดยที่คนใช้สองสามคนที่อยู่ในเรือนไม่มารบกวนเธอเลย อวี้เยี่ยนเดินวนไปวนมารอบๆ เรือน แสงอาทิตย์อันอบอุ่นของยามวสันตฤดูปกคลุมลงมาที่ลาน นางวิ่งเหยาะๆ กลับไปและบอกว่า “บ่าวไปสังเกตมาเพคะ คนรับใช้ที่เพิ่งมาใหม่ต่างยังไม่คุ้นเคยกับที่นี่ จะคุยยังแทบไม่คุยกันเลย ที่ประตูใหญ่ด้านหน้าและประตูข้างๆ ต่างมีทหารอารักขาคอยเฝ้าอยู่ เกรงว่าต่อให้องค์หญิงอยากจะออกไป พวกเขาคงไม่ปล่อยให้ผ่านไปง่ายๆ”
หลังจากพ้นช่วงเช้าไป เฮ่อโยวก็กลับมา
เขาเพิ่งจะเข้ารับตำแหน่งอาลักษณ์ องค์จักรพรรดิทรงเห็นใจว่าเขาเพิ่งแต่งงาน ดังนั้นจึงให้เขาลาพักได้สามวัน แม้จะบอกว่าเห็นใจ แต่กลับอยากให้เฮ่อโยวกำราบองค์หญิงจิ้งเสียนผู้เสียสติให้สงบเสียก่อนแล้วค่อยว่ากันต่อ
เรื่องงานมงคลสมรสใหญ่เมื่อวานนี้ เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนักอดไม่ได้ที่จะหยิบยกขึ้นมาพูดคุยเป็นการส่วนตัว
เฉินเสียนกับเฮ่อโยวยังไม่ทันทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดินจนจบ เฉินเสียนก็คลั่งขึ้นมากลางคัน ว่ากันอย่างจริงจังตามประเพณีของแม่สื่อ พวกเขายังไม่ถือว่าเป็นสามีภรรยากันอย่างเป็นทางการ
เพียงแต่ทุกคนได้แต่พูดเรื่องนี้กันเป็นการส่วนตัวเท่านั้น
เฮ่อโยวยังคงสวมชุดพิธีการของขุนนางขั้นสองระดับสูงขณะที่ก้าวเข้าไปในเรือนแห่งนี้
อวี้เยี่ยนยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูห้องอย่างระวังตัว ไม่ยอมให้เขาเข้าใกล้
มีเสียงเรียบๆ ของเฉินเสียนดังมาจากด้านในว่า “อวี้เยี่ยน ให้เขาเข้ามา”
อวี้เยี่ยนไม่กล้าผ่อนคลายลงแม้แต่น้อย เมื่อเฮ่อโยวเข้าไป นางก็เอ่ยอย่างเอาเรื่องว่า “ถ้าท่านกล้ายุ่มย่ามละก็ ข้าจะเอามีดที่ซ่อนไว้มาฟันท่านซะ!”
เมื่อเฮ่อโยวเดินเข้าไปในห้องและเงยหน้าขึ้นมอง เขาก็เห็นเฉินเสียนเอนกายอยู่บนเก้าอี้นวมตัวยาวข้างหน้าต่าง เธอห่มผ้าห่มคลุมกายและหลับตาพักผ่อน
แสงแดดจากนอกหน้าต่างส่องลงมากระทบใบหน้าของเธอเล็กน้อย ขับให้ผิวที่ซีดเซียวของเธอยิ่งดูโปร่งใส
คราวนี้เมื่อพบเจอกันและกัน เฉินเสียนนิ่งสงบ ไม่ได้ตีโพยตีพายหรือทะเลาะวิวาทกับเขาเหมือนครั้งก่อน
เฮ่อโยวลูบจมูกของตนเองและไม่รู้จะพูดอะไรอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
พวกเขาอยู่ในฐานะศัตรูมานานจนไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่สงบเช่นนี้มานานแล้ว
เฮ่อโยวยืนอยู่ที่กลางห้องครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “ที่นี่ไม่ได้หรูหราเหมือนในวัง และก็ไม่ได้มีการดูแลอย่างทั่วถึงเหมือนที่จวนแม่ทัพ ท่านต้องการอะไรก็บอกบ่าวในเรือน พวกเขาจะช่วยตระเตรียมให้ท่านเอง”
เฉินเสียนหลับตาและไม่ตอบเขา
เฮ่อโยวจึงกล่าวอย่างไตร่ตรองอีกว่า “อยู่ๆ เมื่อวานท่านก็ทำลายโถงแต่งงานเสียจนราบ บอกตามตรงว่าข้าโล่งใจจริงๆ”
เฉินเสียนลืมตา
แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาในดวงตา จนดวงตาของเธอดูเหมือนแก้วอำพันที่ตกตะกอน
ได้ยินเฮ่อโยวเอ่ยอีกว่า “เราไม่ได้กราบไหว้ฟ้าดินเป็นสามีภรรยา ข้าไม่ได้เข้ามาในเรือนหอ ดังนั้นการแต่งงานครั้งนี้จึงถือเป็นโมฆะ หลังจากทุกอย่างสงบลงแล้ว ข้าจะเป็นฝ่ายชี้แจงเรื่องนี้เอง ถ้าท่านไม่ไว้ใจข้า จะเขียนหนังสือหย่าร้างไว้ก่อนก็ได้”
เฉินเสียนชำเลืองมองเขาอย่างเฉยเมยและกล่าวว่า “ในเมื่อพิธียังไม่สิ้นสุด เจ้ากับข้าไม่ใช่สามีภรรยากัน แล้วเหตุใดข้าจะต้องเขียนหนังสือหย่าร้างด้วย”
เฮ่อโยวพยักหน้าและกล่าวว่า “ก็ใช่ ถ้าเช่นนั้นท่านพักผ่อนเถิด ข้าไปก่อนละ”
ทันทีที่พูดจบเขาจึงตระหนักได้ถึงความผิดหวังบางอย่างที่อธิบายไม่ได้
ผิดหวังอะไรกัน?