อาจจะเป็นความผิดหวังหลังจากประสบพบเจอเรื่องราวมากมาย ถึงอย่างไรเขาก็ย้อนเวลากลับไปไม่ได้แล้ว ย้อนกลับไปตอนที่เคยเข้าไปเล่นการพนันในบ่อนกับเฉินเสียน ไปดื่มสุราที่หอสุราอย่างไร้กังวล ตอนนั้นเขายังเป็นลูกหลานของตระกูลผู้มั่งคั่ง ส่วนเธอยังเป็นอดีตองค์หญิงที่ไม่เป็นที่โปรดปรานและยังไม่เป็นอันตราย
เฮ่อโยวเดินไปจนถึงประตูและหยุดอีกครั้ง
เขาหันกลับไปมองเฉินเสียนที่มีท่าทีเฉยเมยและเอ่ยอย่างเศร้าใจว่า “เฉินเสียน ข้าเฮ่อโยวไม่ใช่คนเนรคุณ ข้าไม่มีวันลืมว่าก่อนหน้านี้ท่านปฏิบัติต่อข้าอย่างจริงใจอย่างไรบ้าง”
เขายิ้มอย่างขมขื่นและพูดต่อว่า “ข้ารู้ ตอนนั้นข้าทรยศท่านและเกือบจะฆ่าท่าน ท่านคงจะเกลียดข้ามาก… ช่างเถอะ ขอเพียงข้าถามตัวเองและไม่นึกเสียใจก็พอแล้ว”
ขณะที่เขากำลังจะก้าวออกไปจากประตู เฉินเสียนก็เอ่ยขึ้นมาอย่างฉับพลันว่า “ถึงแม้จะเกือบฆ่าข้า แต่ก็แค่เกือบเท่านั้น ถ้าเจ้าคิดจะทรยศข้าจริงๆ ยาพิษในเครื่องดื่มตอนนั้นควรจะเป็นยาพิษอย่างแรงที่ทำให้ข้าถึงแก่ชีวิตในทันที เหตุใดจึงยืดเวลาไปจนถึงที่สุดจนทำให้ข้ามีโอกาสรอดมาได้ ครั้นแล้วยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นอีก”
ดวงตาของเฮ่อโยวเป็นประกาย เขาหันไปมองเฉินเสียน “ท่านรู้หมดเลยหรือ”
เฉินเสียนเอ่ยไปว่า “ข้าเพียงแค่ไม่ยอมแพ้ ยังอยากปกป้องเจ้าด้วยความหวังสุดท้ายที่เหลืออยู่ อันที่จริงหากลองคิดดูให้ดีก็ย่อมคิดได้ มีเพียงความเป็นไปได้นี้เท่านั้น ข้ายังไม่แน่ใจนักจนกระทั่งเกิดเรื่องของพระสนมฉีกับเฮ่อฟั่ง ข้าจึงมั่นใจว่าข้าคิดถูก”
เฮ่อโยวอยากจะยิ้มให้เฉินเสียนด้วยความโล่งอก แต่น่าเสียดายที่เขาพยายามแล้วแต่กลับยังยิ้มไม่ออก ก่อนหน้านี้เขาเคร่งขรึมเสมอมา ไม่ได้เป็นเหมือนเฮ่อโยวในอดีตที่พอนึกอยากจะหัวเราะก็หัวเราะออกมาเสียงดังๆ อีกแล้ว
เฮ่อโยวกล่าวว่า “พระสนมฉีมักจะหาเรื่องท่านกับเจ้าน่องน้อยยามที่อยู่ในวัง จึงถือโอกาสจัดการพร้อมกันเลยเสียทีเดียว”
เฉินเสียนมองเขาและเอ่ยว่า “เมื่ออยู่ต่อหน้าองค์จักรพรรดิในท้องพระโรง ข้าถีบเจ้าแรงพอดู”
เฮ่อโยวกล่าวว่า “ลูกถีบนั้นดีมากทีเดียว มันทำให้ทุกคนรู้ว่าท่านเกลียดข้าเข้ากระดูก”
เฉินเสียนกล่าว “จริงๆ เราวางตัวเป็นศัตรูกันมานานแล้ว เจ้าต้องทำสิ่งที่ข้าเกลียด ส่วนข้าก็ต้องมองเจ้าเป็นศัตรู วันเวลาผ่านไปนาน เมื่อต้องหันหน้าเข้าหากัน ข้าไม่รู้เลยว่าควรจะเริ่มพูดอย่างไรดี”
เฉินเสียนยิ้มและกล่าวด้วยสีหน้าที่จริงจังต่อไปว่า “เฮ่อโยว เมื่อพูดถึงเรื่องเกลียดเจ้า ความจริงข้าควรจะขอบใจเจ้ามากกว่า ขอบใจที่ช่วยชีวิตข้า ขอบใจที่ช่วยชีวิตลูกของข้า บุญคุณของเจ้าครั้งนี้ข้าจะไม่มีวันลืมเลยตลอดชีวิต และในอนาคตข้าจะต้องตอบแทนเจ้าอย่างแน่นอน”
เฮ่อโยวกล่าวว่า “ท่านไม่จำเป็นต้องตอบแทน ข้ายินดีทำสิ่งเหล่านั้นเพื่อตอบแทนบุญคุณของท่าน ในตอนแรกท่านกับข้าเป็นแค่คนที่ชอบสุราและเนื้อ ในตอนที่ข้าตกอับที่สุดอยู่บนท้องถนน มีเพียงท่านที่ยื่นมือมาช่วยเหลือ ตอนนั้นท่านยังเอาตัวเองแทบไม่รอด แต่ยังยอมเสี่ยงอันตรายพาข้าข้ามแม่น้ำไปด้วย ทำให้ข้าได้เจอกับท่านย่าเป็นครั้งสุดท้าย บุญคุณครั้งนั้นข้าจารึกไว้ในใจตลอดมา และคิดมาตลอดว่าหากมีโอกาส ข้าจะต้องตอบแทนให้ได้”
เฉินเสียนฉีกยิ้มและกล่าวว่า “ในตอนนั้นเจ้าดูน่าเวทนาจริงๆ นี่”
เฮ่อโยวเริ่มยิ้มตามและพูดว่า “เท่าที่ข้ารู้ องค์หญิงจิ้งเสียนไม่ใช่คนที่มีเมตตาขนาดนั้น”
บรรยากาศผ่อนคลายขึ้นทันตา ต่างฝ่ายต่างปล่อยวางสิ่งที่หนักอึ้ง
“บางทีข้าอาจจะแค่บังเอิญเมตตาเจ้ามาก” เฉินเสียนหรี่ตา “แต่… เจ้าเหมือนตายแล้วเกิดใหม่จริงๆ หลังจากวันนั้นก็ไม่มีใครทำให้เจ้าตกอับอยู่บนถนนได้อีก”
ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่าคนที่เคยหนีหัวซุกหัวซุน ไร้เดียงสาและตรงไปตรงมา วันนี้จะปรับตัวให้เข้ากับวงการขุนนางได้
การเป็นขุนนางจำเป็นต้องมีความสามารถ เฮ่อโยวพยายามชดเชยข้อบกพร่องในเรื่องนี้มาตลอด แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือต้องดูว่าเหมาะสมหรือไม่
เฮ่อโยวลูบจมูกและกล่าวว่า “ข้าไม่กล้ารับความดีความชอบหรอก ทั้งหมดเป็นเพราะคำสอนของท่านบัณฑิต เขาเป็นคนที่เจ้าเล่ห์ที่สุด”
เฉินเสียนหัวเราะเยาะ
เฮ่อโยวเหลือบมองเธอและกล่าวอีกว่า “ดูเหมือนเมื่อคืน ท่านกับท่านบัณฑิตจะเข้ากันได้ดีเป็นอย่างมาก เป็นอันว่าห่างกันไปไม่นาน กลับมาเจอกันยิ่งรักกันมากขึ้นไปอีก”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินเสียนหายวับไปทันที
เฮ่อโยวมองไปรอบๆ ห้องและพูดกับตัวเองว่า “อ๊ะ เอาของแต่งเรือนหอออกไปหมดแล้วเหรอ จอกสุรานั่นล่ะ อย่าให้ใครดื่มสุ่มสี่สุ่มห้านะ เดี๋ยวจะเกิดเรื่อง”
เฉินเสียนหรี่ตาจ้องมองเฮ่อโยว “เฮ่อโยว ที่เจ้าพูดหมายความว่าอย่างไร”
เฮ่อโยวชะงักงันเมื่อสบตากับเฉินเสียน เขาสะบัดชายเสื้อและแสร้งทำเป็นลุกขึ้นอย่างสุขุม จากนั้นจึงหันหลังเตรียมจะเดินออกไป “โอ้ จริงด้วย อยู่ๆ ข้าก็นึกขึ้นมาได้ว่าข้ายังมีงานราชการที่ยังทำไม่แล้วเสร็จ”
เฉินเสียนตะโกนเสียงดังจากในห้อง “อวี้เยี่ยน! มีดที่เจ้าซ่อนไว้อยู่ไหน เอาออกมาให้ข้า ข้าจะฟันเจ้าบ้านี่!”
ไม่แน่ว่ายาที่อยู่ในสุรานั่นอาจจะไม่ใช่ฝีมือของแม่สื่อ แต่เป็นฝีมือของเฮ่อโยว! แน่นอนว่าเขาไม่ใช่พวกกวนโอ๊ยระดับธรรมดาๆ!
ปกติแม่สื่อจะไม่ค่อยกล้าทำเรื่องนี้โดยพลการ แต่จะถามความเห็นของคู่บ่าวสาวก่อนจึงจะตัดสินใจว่าจะใส่ยาลงไปในสุราหรือไม่
ปรากฏว่าตอนที่แม่สื่อมาจัดเรือนหอก่อนงานมงคลสมรส นางถามเฮ่อโยวเป็นพิเศษว่าอยากให้เพิ่มสิ่งอื่นลงไปในจอกสุราหรือไม่
เฮ่อโยวคิดว่าอย่างไรเขาก็ไม่ใช่คนที่ต้องดื่ม จึงตอบไปว่า “ใส่ๆ ไปเลย”
การได้วางกับดักซูเจ๋อกับเฉินเสียนในคืนวันวิวาห์เช่นนี้ถือเป็นความสำเร็จสูงสุด
เช้าวันนั้นในเรือนจึงเกิดเสียงอึกทึกจนหมาไก่หนีกระเจิดกระเจิง ส่วนทหารอารักขาที่เฝ้าเรือนอยู่ต่างก็พากันคิดว่าองค์หญิงจิ้งเสียนคงจะเป็นบ้าขึ้นมาอีก
เมื่อถึงเวลาอาหารกลางวัน อาหารก็ถูกจัดเตรียมไว้ในห้องเรียบร้อย เมื่อไม่มีคนนอกอยู่แล้ว เฉินเสียนจึงดึงหูเฮ่อโยวและสั่งสอนเกี่ยวกับความถูกต้องให้เขา “เรื่องดีๆ ไม่เรียนรู้ จำต้องเรียนรู้เรื่องความเจ้าเล่ห์จากซูเจ๋อด้วยหรืออย่างไร”
เฮ่อโยวทอดถอนใจอย่างเจ็บปวด “ไม่ใช่ว่าข้าทำเพื่อพวกท่านหรอกรึ”
เฉินเสียนกล่าวว่า “ถ้าข้าบอกเขาเรื่องที่เจ้าวางยาเขา คอยดูเถิดว่าเขาจะจัดการกับเจ้าอย่างไร”
เฮ่อโยวเอ่ยอย่างยอกย้อน “ท่านบัณฑิตจะต้องชมว่าดีมากแน่ๆ เพราะคนที่ได้รับประโยชน์ก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นตัวเขาเอง… อ้ะ เจ็บๆๆ”
หลังจากกินอาหารกลางวัน เฮ่อโยวจึงเลิกล้อเล่นและกล่าวว่า “แม่ทัพโฮ้วจากทางใต้เริ่มทำศึกเมื่อครึ่งเดือนก่อน เชื่อว่าอีกไม่นานข่าวก็คงจะมาถึงเมืองหลวง”
เฉินเสียนไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย ในจดหมายฉบับที่แล้วเธอพูดถึงการออกศึกเมื่อเริ่มเข้าสู่วสันตฤดูของปีถัดมา เมื่อทุกอย่างถูกจัดวางไว้เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่สุกงอมพร้อมเก็บเกี่ยว
ก่อนกลับเมืองหลวง ซูเจ๋อพาเฉินเสียนเดินทางไปเตรียมการไว้ พวกเขาติดต่อกับข้าราชบริพารเก่าแห่งราชวงศ์ก่อนไว้บ้างแล้ว เชื่อว่ากว่าเมืองหลวงจะได้รับข่าว กองทัพใหญ่ทางใต้คงกวาดล้างต้าฉู่ทางตอนใต้ไปได้กว่าครึ่ง
เมื่อถึงเดือนสามในช่วงวสันตฤดู ปีแห่งการตกอยู่ในความรกร้างและความวุ่นวายของต้าฉู่จะเริ่มเปิดฉากขึ้น
ประชาชนในหลายพื้นที่ไม่ได้มีการเตรียมดินก่อนการเพาะปลูกในช่วงวสันตฤดู ไม่มีเมล็ดพันธุ์พืช ซึ่งหมายความว่าในช่วงคิมหันตฤดูและสารทฤดูจะไม่มีพืชผลทางการเกษตรให้เก็บเกี่ยว และสถานการณ์ข้าวยากหมากแพงจะดำเนินไปตลอดทั้งปี
การจลาจลจะทยอยเกิดขึ้นตามพื้นที่ต่างๆ แม้ว่าจะมีการปราบปรามอย่างรุนแรงจากราชสำนัก และเมื่อมีการก่อกบฏของกองกำลังทหารขนาดใหญ่จากทางใต้ จึงกลายเป็นว่าหนึ่งคนเรียกหา ร้อยคนขานรับ
เฮ่อโยวกล่าวอีกว่า “รออีกสองวัน ข้าจะจัดการให้เร็วที่สุด เมื่อถึงตอนนั้นใต้เท้าบัณฑิตจะพาท่านออกไปจากเมืองหลวง ไปสมทบกับกองทัพใหญ่”
เฉินเสียนถาม “แล้วเจ้าล่ะ”