แต่เป็นเธอผู้เดียวที่หน้าแดงใจเต้นระรัว กระสับกระส่าย ก็ไม่ถูกต้องเท่าไหร่นะ
ยังพูดไม่ทันจบ เฉินเสียนก็เบิกตาโพรงขึ้น เธอถูกซูเจ๋อยกมือประคองที่ท้ายทอย แล้วกดลงที่แผ่นอกของตัวเอง
ภายในห้องเงียบไร้เสียงชั่วขณะ
ซูเจ๋อกล่าวว่า “ท่านฟังดู”
ภายในแววตาของเฉินเสียนค่อยๆเปล่งประกายออกมา เขากล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำอย่างอบอุ่นว่า “ได้ยินหรือไม่ อัตราการเต้นของหัวใจข้า”
อัตราการเต้นของหัวใจเขา มันเร็วมาก
ซูเจ๋อกล่าวว่า “ไม่ใช่ท่านผู้เดียวที่รู้สึกจิตใจว้าวุ่นราวกับเสียวซ่าน ข้าก็ยากที่จะคุ้นชิน แต่ข้าไม่ต้องการที่จะคุ้นชินกับมัน”
ซูเจ๋อก้มศีรษะลง ริมฝีปากบางแฉลบผ่านข้างหูของเธอ แล้วจูบสัมผัสลงที่จอนผมของเธอ และกล่าวว่า “ท่านอาจจะไม่รู้ ท่านอยู่ภายในห้องของข้า นอนบนเตียงของข้า มันทำให้ข้าตื่นเต้นอย่างไม่สามารถหยุดยั้งได้เลย”
บนใบหน้าของเฉินเสียนค่อยๆร้อนวูบขึ้นมา
“เมื่อก่อนข้าตัวคนเดียว ตอนนี้เป็นสองคนแล้ว” ซูเจ๋อกล่าว “ข้าไร้ประสบการณ์ ตอนนี้ข้ายังไม่เชี่ยวชาญว่าทั้งสองคนควรจะเข้าหากันอย่างไร แต่ถึงอย่างไรก็ไม่สามารถแยกจากกันได้ นอกจากนี้เพื่อที่จะดูแลท่านให้ดี ข้าต้องเก็บอารมณ์อาการที่ตื่นเต้นกระสับกระส่ายนี้ไว้ ไม่อย่างนั้นท่านจะคิดว่า ชายหนุ่มที่มีความรู้สึกต่อหญิงสาวเป็นเช่นไร”
เขาดมกลิ่นหอมที่คอของเธอ กล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “นั่นเป็นเพราะทุกเวลาข้าต้องการกดท่านลงที่เตียงแล้วนอนด้วยกัน หากข้าไม่สงบจิตสงบใจ ท่านยังจะสามารถลงจากเตียงได้หรือ? ”
อัตราการเต้นของเขาทำให้เฉินเสียนสั่นไหวจนในสมองอื้ออึงมึนงง
ซูเจ๋อกล่าวว่า “ข้ามิได้เฉยชาอย่างที่ท่านคิดหรอก หากท่านมิได้ฟังด้วยตัวเอง ท่านก็มิอาจรู้ได้ว่าภายในใจของข้านั้นมีคลื่นพัดซัดโหมกระหน่ำอย่างไร ตอนที่ท่านเข้าใกล้ข้า ข้าก็มีความรู้สึกประหม่าตื่นเต้นเช่นกัน หัวใจของข้าก็เต้นระรัว เพราะฉะนั้นประสบการณ์ที่ท่านมีนั้น ข้าก็มีมันเหมือนกับท่านมี”
เฉินเสียนกอดที่เอวของเขาไว้แน่น มุดศีรษะอยู่ที่ชุดของเขา ยิ้มที่มุมปากแล้วกล่าวอย่างกลัดกลุ้มใจว่า “รู้สึกได้ว่าเราทั้งสองคนนั้น คล้ายดั่งคนโง่เขลาเลย”
นอกเหนือจากตัวพวกเขาทั้งสองคนแล้ว เรื่องความรู้สึกในโลกนี้ล้วนว่างเปล่า
แต่ความรู้สึกที่รักคนผู้หนึ่งเป็นเช่นนี้ ข้ารักท่าน แน่นอนว่าก็ปรารถนาให้ท่านรักข้าด้วย เวลามีความสุขโมโหเศร้าสลดใจของข้าล้วนมีท่านเป็นส่วนเกี่ยวข้อง และข้าก็ปรารถนาว่ามีความสุขโมโหเศร้าสลดใจของท่านล้วนจะมีข้าเป็นส่วนเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน
แขกที่มาบนเรือเมื่อคืนนี้ จนถึงตอนสุดท้ายล้วนไม่มีผู้ที่รอดชีวิตมาได้เลย แม้แต่เรือก็ถูกไฟเผาไหม้จนเหลือไว้เพียงซากสีดำขลับ ลอยแตกกระจายอยู่บริเวณใกล้คลองเรียบแม่น้ำหยางชุน
พอถึงวันนี้ เหล่าอาณาประชาราษฎร์ล้วนรู้เรื่องนี้โดยทั่วกัน แต่ไม่มีผู้ใดรู้เลยว่าไฟที่แผดเผาไหม้ผู้คนจำนวนมากนี้ แท้ที่จริงแล้วสาเหตุเกิดจากอะไร
แขกบนเรือไม่น้อยเป็นลูกหลานครอบครัวของคนร่ำรวย ในนั้นก็มีลูกหลานข้าราชการขุนนางด้วย เวลานี้ภายในเมืองหลวงได้มีการไว้อาลัยเศร้าโศกกัน
เมื่อคืนนี้กลางดึก รอหลังจากแม่น้ำหยางชุนสงบลงแล้ว องครักษ์หลวงกับทหารรักษาพระองค์ก็ได้เดินทางกลับเข้าไปรายงานในพระราชวัง
องค์หญิงจิ้งเสียนกับบุคคลชุดดำที่จับตัวเธอไป เมื่อคืนนี้อยู่บนเรือนั่นจริง นักดาบหลวงที่อยู่บนเรือพบเห็นเสื้อเปื้อนเลือดของคนชุดดำ เวลานั้นเรือกำลังเตรียมขับลงแม่น้ำ เพื่อหลบหนีออกจากเมืองหลวงไป
แต่การปฏิบัติงานร่วมมือกันขององครักษ์หลวงกับทหารรักษาพระองค์ ทุกคนที่อยู่บนเรือทั้งหมดที่เป็นพยานล้วนไม่เก็บไว้ทั้งสิ้น เรือลำนั้นก็เลยถูกเผาไหม้วอดวายด้วย
ก็หมายความว่า องค์หญิงจิ้งเสียนกับบุคคลชุดดำนั่นก็ถูกไฟแผดเผาตายอยู่บนเรือ
องค์จักรพรรดินั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร นอนไม่หลับมาตลอด สีหน้าแปลกใจ พระองค์เงียบอยู่เป็นเวลานาน
บรรยากาศในท้องพระโรง เวลาต่อมาพระองค์ประคองที่หน้าผาก โบกมือเพื่อส่งสัญญาณให้ทหารองครักษ์กับทหารรักษาพระองค์ออกไปได้แล้ว
จิ้งเสียนตายแล้ว แม้ว่าจะไร้หนทางชี้แจงอย่างชัดเจนต่อเป่ยเซี่ย แต่ทหารที่ก่อการกบฏก็ไม่สามารถใช้นามขององค์หญิงจิ้งเสียนในการก่อกบฏได้อย่างต่อเนื่องแล้ว
พระองค์ต้องสงบความวุ่นวายภายในของต้าฉู่ก่อน ค่อยไปเจรจากับเป่ยเซี่ย
องค์จักรพรรดิกล่าวอย่างเศร้าโศกว่า“รอหลังจากฟ้าสางแล้ว ประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่าองค์หญิงจิ้งเสียนได้สิ้นพระชนม์แล้ว”
กงกงกล่าวถามด้วยความสงสัยว่า “องค์จักรพรรดิ เวลานี้หากว่าประกาศเรื่องที่องค์หญิงจิ้งเสียนชิ้นพระชนม์ออกไปให้ทราบโดยทั่วกันแล้ว เกรงว่าไม่นานเป่ยเซี่ยทางด้านนั้นก็จะทราบเรื่องนะพ่ะย่ะค่ะ หากเวลานี้เป่ยเซี่ยออกทัพบุกล่วงล้ำดินแดน……………………”
องค์จักรพรรดิได้สติกลับมา กล่าวว่า “ใช่ เวลานี้ไม่สามารถบอกให้ทราบโดยทั่วกันได้ ข้าเลอะเลือนชั่วขณะเสียแล้วนี่”
“องค์จักรพรรดิ สุขภาพสำคัญที่สุด หลังจากกลับไปพักผ่อนแล้ว ค่อยคิดช้าๆเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ครั้นแล้วองค์จักรพรรดิก็ได้ลุกขึ้น เดินออกนอกท้องพระโรง กล่าวถามว่า “สถานการณ์ของเฮ่อโยวเป็นอย่างไรบ้าง?”
“หมอหลวงไปดูแล้วพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ยังไม่ฟื้นเลย แต่โชคดีที่ไม่ได้บาดเจ็บตรงจุดสำคัญพ่ะย่ะค่ะ”
เป็นเพราะคิดว่าองค์หญิงจิ้งเสียนกับบุคคลชุดดำถูกเผาในแม่น้ำนั้นด้วยกันแล้ว แม้วันนี้ช่วงกลางวันที่เมืองหลวงออกบังคับใช้กฎอัยการศึกทั้งเมือง แต่ก็ไม่ได้มีเสียงโวยวายจอแจอึกทึกคึกโครม และก็ไม่มีแต่ละเรือนมาทำการค้นหาตรวจสอบ
เป็นผลให้เฉินเสียนอยู่ในเรือนของซูเจ๋อ มีเวลาว่างจนครึ่งค่อนวัน
เธอกับซูจ๋อนั่งโต๊ะเดียวกันอยู่ในเรือน มองเขาผึ่งอบชุดให้เธออยู่เงียบๆ ก่อนที่เธอจะตื่นมาในตอนเช้าตรู่ ชุดได้ถูกซูเจ๋อซักให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้กำลังผึ่งอบแห้งแล้วครึ่งหนึ่ง
คางของเฉินเสียนเกยอยู่บนเขา กล่าวถามว่า “สถานการณ์ทางด้านนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”
“พวกเขาคิดว่าท่านได้ตายไปแล้ว ตอนนี้ท่านพักอยู่กับข้าที่นี่นับว่าสงบสุขร่มเย็นล่ะ”
“เมื่อคืนนี้ผู้คนบนเรือจำนวนมาก ทั้งหมดล้วนล้มตายหมด”เฉินเสียนกล่าวอย่างราบเรียบว่า “คิดไม่ถึงเลยว่า แม้แต่บุคคลธรรมดาทั่วไปคนเดียวพวกเขาก็ไม่ได้ปล่อยให้รอดพ้น”
ซูเจ๋อกล่าวอย่างราบเรียบว่า “ราชสำนักก็เป็นเช่นนี้แหละ เพื่อที่จะบรรลุจุดมุ่งหมาย ไม่ได้สนใจว่าจะใช้กลอุบายใด หากว่าปล่อยให้ผู้คนบนเรือรอดชีวิตมา ทำให้ท่านหนีได้อย่างสะดวกราบรื่น เช่นนั้นผลลัพธ์ก็อาจจะหนักกว่ามาก แต่พวกเขานั้นโชคไม่ดี ไม่ว่าจะสังหารบุคคลเหล่านั้นหรือไม่ พวกเราล้วนหนีออกมาแล้ว”
เฉินเสียนกล่าวว่า “ไม่รู้ว่าพวกเขานับว่าถูกพวกเราทำให้ติดร่างแหด้วยหรือไม่”
บนมือซูเจ๋อแผ่มุมกระโปรงชุดของเธอออกแล้ววางบนเตาผิงเพื่อผึ่งอบ แล้วกล่าวว่า “ท่านอยากอยู่บนสงครามนั่น สงครามนั้นจะมีคนล้มตายจำนวนนับไม่ถ้วน เลือดอาบนองทั่วแม่ธรณี การรัฐประหารไม่ต้องสงสัยเลยคือการใช้ชีวิตกับเลือดเนื้อกองสุมกัน พวกเขาต้องใช้ซากกระดูกของตนเองเพื่อนำท่านส่งขึ้นไปบนตำแหน่งที่สูงส่ง ปรารถนาว่าต้าฉู่จะสามารถเปลี่ยนแปลงบนมือของท่านได้ อาเสียน ท่านต้องมองคือสิ่งนี้”
เฉินเสียนกล่าวว่า “ข้ารู้”แม้ว่าภายในใจรู้ แต่ก็แบกรับไว้เหมือนเดิม
ซูเจ๋อกล่าวว่า “ตั้งแต่อดีตเป็นต้นมา ราชวงศ์ล้วนนำชีวิตเหล่าทหารมาเป็นกองกำลังทหารปกป้องบ้านเมือง สำหรับพวกเขา กองกำลังทหารปกป้องบ้านเมืองนั้นไม่ใช่ชีวิตคน แต่เป็นเพียงเครื่องมือที่แสวงหาเพื่อให้ได้อำนาจมา แต่ทหารในกองกำลังทหารปกป้องบ้านเมืองทุกคน ก็เป็นอาณาประชาราษฎร์ผู้หนึ่งของบ้านเมือง ท่านไม่อยากเป็นเหมือนจักรพรรดิที่ไร้หัวใจความรู้สึก เพราะว่าท่านเจ็บปวดใจดังนั้นเลยเห็นอกเห็นใจ เพราะว่าพวกเขาสละชีพดังนั้นเลยซาบซึ้งในบุญคุณ เพราะฉะนั้นท่านทำได้เพียงใช้ความสามารถของตัวเองที่มีทั้งหมดทำให้ทหารและอาณาประชาราษฎร์ของบ้านเมืองนี้ สามารถใช้ชีวิตที่สงบและมีความสุข นอกเหนือจากนี้ ท่านไม่มีวิธีการอื่นแล้วนะ”
เฉินเสียนได้ฟังแล้วรู้สึกได้รับการสั่งสอน เธอเอียงศีรษะมองเขา เห็นสีหน้าที่เรียบเฉย ในแววตาราวกับจะมีเปลวไฟปะทุอยู่บ้างเล็กน้อย มีความรู้สึกที่ทำให้ผู้คนพละกำลังที่กล้าหาญแข็งแกร่ง
คำพูดเล็กน้อยของเขา มักจะสามารถขจัดเหมอกหนาทึบที่ทำให้หลงทางตรงหน้าของเฉินเสียนได้ ปลุกเร้าความกล้าหาญทำให้เธอยึดหยัดเดินหน้าต่อไปได้
คนผู้นี้ไม่เพียงเป็นผู้ที่เธอรักอย่างสุดซึ้ง เขายังเป็นราชครูที่ดีของเธอ
เฉินเสียนกล่าวว่า “ประวัติศาสตร์ของต้าฉู่ มีหญิงที่เป็นองค์จักรพรรดิมาก่อนหรือไม่?”
ซูเจ๋อกล่าวว่า “ไม่เคยนะ”
เฉินเสียนยิ้มอย่างเย็นชาแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าจะได้ ท่านรู้ได้อย่างไรอีกว่า บนพื้นพิภพนี้จะมีผู้อนุญาตให้หญิงนั่งตำแหน่งนั้นล่ะ”