ตามความเป็นจริงการที่เดินทางมากับกองกำลังทหารไปทางใต้นั้นเป็นหนทางที่ได้เปรียบที่สุด เฉินเสียนบอกว่านั่นไม่ใช่การเสื่อมเสียเกียรติ แต่ก็มีข้อเสียอย่างคือการอยู่ในค่ายทหารนั้นมันไม่สะดวกและลำบาก แล้วก็เสียเวลาอย่างมาก
เมื่อถึงช่วงเวลากลางคืนก็ตั้งกระโจมกองทหาร ทหารที่อยู่ชั้นล่างสุดก็ถูกจะแบ่งออกเป็นกลุ่มเล็กๆแล้วให้นอนเบียดในอยู่ในกระโจม
ภายในกระโจมนั้นมีเตียงอยู่สามเตียง ทหารใหม่ที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันก็จะนอนอยู่บนเตียงสองเตียงนั้น เฉินเสียนได้นอนเตียงเดียวกับซูเจ๋อ
ในหุบเขานั้นเงียบสงัดมาก ภายนอกได้ยินแต่เสียงร้องของแมลง เสียงกองไฟที่จุดอยู่ในค่าย แล้วก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของทหารที่เดินลาดตระเวน
หลังจากการเดินทางในช่วงกลางวัน เหล่าทหารนั้นต่างก็ไม่ได้มีพฤติกรรมที่น่ากลัวแต่อย่างใด เมื่อร่างกายได้สัมผัสกับเตียงไม้ก็มีเสียงกรนดังไปทั่วทิศ
เฉินเสียนนอนตะแคงข้างหันไปหาซูเจ๋อ เสียงกรนดังเหล่านั้นทำให้เธอนอนไม่หลับ เธอจึงนอนพิงอยู่ในอ้อมกอดของซูเจ๋ออย่างไม่สนใจอะไร ใช้นิ้วลูบไล้ไปตามเสื้อผ้าของเขา
ซูเจ๋อกระซิบที่ข้างหูของเธอว่า “เหนื่อยหรือไม่?”
เฉินเสียนเม้มปากยิ้ม แล้วตอบว่า “อย่างอื่นก็ไม่เป็นไร มีแค่รู้สึกเมื่อยที่เท้านิดหน่อย รอพรุ่งนี้ก็คงจะหาย ”
แต่ก่อนเฉินเสียนเคยเดินทางเท้าไกลขนาดนี้ที่ไหนกัน ยิ่งเดินด้วยรองเท้าของทหารที่ทั้งบางและทั้งแข็ง การเดินทางนั้นก็ยิ่งลำบากมาก ตอนนี้เธอไม่ใช่เพียงแค่เมื่อย แต่ยังมีการปวดเท้านิดหน่อย
เพียงแต่เธอยังสามารถอดทนกับความปวดนี้ได้
ซูเจ๋อไม่ได้พูดอะไร แต่ช่วงเวลานั้นเขาก็ยื่นมือไปจับที่ข้อเท้าของเฉินเสียน
เฉินเสียนสะดุ้งแล้วถามว่า “ท่านคิดจะทำอะไร?”
“ข้าแค่จะนวดให้ท่านเฉยๆ”
เฉินเสียนทำตัวไม่ถูก เริ่มขัดขืนเบาๆแต่ข้อเท้าของเธอก็อยู่ในมือของเขาเรียบร้อยแล้ว เขาไม่ยอมปล่อยเท้าของเธอให้หลุดออกไปได้
เธอพูด “ไม่ต้อง ข้าได้พักผ่อนเดี๋ยวก็จะดีขึ้นเอง”
ซูเจ๋อถอดถุงเท้าของเธอออก ใช้มือไปจับที่ฝ่าเท้าของเธอ มือที่อ่อนโยนของเขาราวกับได้สัมผัสกับผ้าไหม ทั้งเบาและอบอุ่น ทำให้ใบหน้าของเฉินเสียนนั้นรู้สึกร้อน
ตามหลักแล้วเธอไม่ควรที่จะสงวนตัว แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันเป็นครั้งแรกที่เธอถูกผู้ชายสัมผัสเท้าเช่นนี้
เฉินเสียนจับไปที่ไหล่ของซูเจ๋อ พยายามดึงเท้าตัวเองออกมาจากมือเขา พูดอย่างเขินอายว่า “อย่าทำแบบนี้ ถ้าเกิดพวกเขาตื่นขึ้นมาเห็นว่าผู้ชายสองคนกำลังอะไรกันเช่นนี้อยู่มันจะไม่ดูแปลกหรือ……”
“เพียงแค่ท่านไม่ขยับร่างกายมาก ก็ไม่ทำเสียงดังให้พวกเขาตื่นแล้ว” ซูเจ๋อยังจับข้อเท้าของเฉินเสียนไว้ ลูบอย่างเบามือ แล้วกระซิบว่า “เป็มตุ่มพุพองหมดแล้ว ถ้าเกิดไม่จัดการ วันรุ่งจะเดินทางต่อไปอย่างไร?”
จากนั้นเธอก็รู้สึกแสบร้อนที่ฝ่าเท้า เขานำยาขี้ผึ้งเย็นที่ติดตัวมาค่อยๆลูบไปที่ฝ่าเท้าของเธอ ซูเจ๋อนวดลงไปที่ฝ่าเท้าของเธออย่างอ่อนโยนสลับกับลงแรง เธอรู้สึกเจ็บที่ฝ่าเท้าอย่างมากแต่เธอกลับรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
เฉินเสียนพ่นลมหายใจออกมาอยู่ไม่กี่ที
ซูเจ๋อถามเสียงสูงว่า“สบายหรือไม่?ไม่อยากให้ข้าแตะต้องไม่ใช่หรือ”
เฉินเสียนกัดฟันตอบว่า “คำพูดสองแง่สองง่ามของเจ้า มันจะทำให้คนอื่นเข้าใจผิดได้ง่าย”
ซูเจ๋อพูด“ท่านไม่พูดเตือนข้าก็ไม่ได้คิดอะไร แต่กลับมันทำให้คนสามารถจินตนาการไปได้ไกล ”
เวลาพูดที่ซูเจ๋อพูดอะไรที่ลามกเช่นนี้เขาก็จะจริงจังขึ้นมาทันที เฉินเสียนตระหนักได้ว่าถ้าคิดจะเถียงกับเขาต่อไปก็คงไม่มีทางจะชนะเขาแน่นอน ดังนั้นเธอจึงเลือกที่จะไม่พูดอะไรต่อ
ซูเจ๋อกำลังนวดเท้าให้เฉินเสียนอีกข้างหนึ่งอยู่ เวลานั้นก็มีทหารคนหนึ่งก็ลุกขึ้นมาเพราะปวดปัสสาวะกลางคืนกะทันหัน จึงลุกขึ้นมาจากที่นอนอย่างงุนงง
เขาขยี้ตาภายใต้แสงไฟจากกองไฟค่ายที่จุดอยู่ด้านนอก เมื่อเห็นว่าอีกฝั่งมีทหารสองคนที่ตกดึกแล้วยังไม่นอน และกำลังนั่งอยู่บนเตียงทำให้คนตกใจ หนึ่งในนั้นเหมือนกับกำลังจับไปที่เท้าของอีกคน มองแล้วมันรู้สึกแปลกแล้วยังดูสนิทสนมกันอย่างบอกไม่ถูก
“พวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน?”เขาถาม
ซูเจ๋อหยุดการกระทำอยู่ครู่หนึ่ง เฉินเสียนตกใจจึงรีบดึงเท้ากลับ เพียงแต่เขากลับดึงเท้าเธอเอาไว้ในมือไม่ให้เธอดึงกลับไป
ซูเจ๋อตอบกลับไปอย่างเบาๆว่า “เมื่อตอนกลางวันเท้าของน้องชายข้าได้รับบาดเจ็บ ข้ากำลังจัดการตุ่มพุพองให้อยู่”แม้แต่ศรีษะเขาก็ไม่เงยขึ้นมอง แล้วพูดน้ำเสียงที่เรียบเฉยว่า“เกิดอะไรขึ้น ไปรบกวนการนอนของเจ้าหรือ?”
ทหารใหม่คนนั้นพูดอย่างสะลึมสะลือว่า“อ่อ อย่างนั้นเท้าของน้องชายเจ้าคงจะบอบบางมาก”พูดจบเขาก็ลุกขึ้นออกไปปัสสาวะแล้วกลับมานอนต่อ
เมื่อเท้าทั้งสองข้างของเฉินเสียนได้ถูกนวดและใส่ยาแล้ว เธอจึงรู้สึกว่าเท้านั้นมีความอุ่นร้อนๆ เมื่อยเบาๆ ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางในตอนกลางวันก็เริ่มพรั่งพูออกมา เมื่อรอซูเจ๋อกลับมาจากห้องน้ำแล้วนอนลง เธอก็ซุกเข้าไปในอ้อมกอดของซูเจ๋อแล้วนอนหลับอย่างสบายใจ แม้แต่เสียงกรนของทหารใหม่ก็ไม่สามารถรบกวนเธอได้
กองกำลังทหารที่อยู่ตามเขตการปกครองต่างๆรอบเมืองหลวงต่างก็ทยอยเคลื่อนทัพลงสู่ทางใต้อย่างต่อเนื่อง โดยแบ่งกลุ่มออกเป็นตามเขตการปกครอง แล้วค่อยมาเข้ารวมกับกองกำลังใหญ่ในระหว่างทาง
ก่อนที่กองกำลังทหารที่เฉินเสียนและซูเจ๋ออยู่จะมาถึงสนามรบ ได้ยินมาว่ามีกองกำลังทหารกว่าสามหมื่นคนที่ไปถึงแล้ว เพียงเพื่อต่อสู้กับกองกำลังทหารในเขตใต้ในครั้งเดียว
เป็นผลให้ถูกตีอย่างราบคาบ จนในที่สุดต้องกลับไปตั้งหลักที่เมืองก่อน เพื่อรักษาชีวิตที่เหลือไว้แล้วรอกองกำลังเสริมมาช่วย
ในเวลานั้นกองกำลังทหารในเขตใต้ได้ยึดครองเมืองเจียงหนานไว้เรียบร้อยแล้ว เทียบเท่ากับได้ยึดครองอาณาจักรของต้าฉู่ไปแล้วถึงครึ่งหนึ่ง
ลักษณะภูมิศาสตร์ของเมืองเจียงหนานนั้นได้เปรียบอย่างมาก เส้นทางทางน้ำและทางบกสะดวกสบาย ง่ายต่อการขนส่งเสบียงอาหารและสินค้าอื่นๆ
กองกำลังทหารของเฉินเสียนและเหล่าทหารนี้คือกองกำลังเสริมจากราชสำนัก ต่อมาก็เร่งฝีเท้าในการเคลื่อนกองทัพให้เร็วขึ้น เพียงแต่ว่าเมื่อยิ่งเดินเข้าไปใกล้มากขึ้นเท่าไร จิตใจของเหล่าทหารก็ยิ่งว้าวุ่นมากขึ้นเรื่อยๆ
เพราะว่าเรื่องเสบียงอาหารและหญ้าเลี้ยงม้าที่ขาดแคลนถูกเปิดเผยออกมาให้ได้รู้กัน
ในตอนแรกเหล่าทหารต่างก็ยังได้กินข้าวกันอยู่บ้าง แต่ต่อมาก็ไม่มีข้าวอยู่บ่อยครั้ง มีหลายครั้งที่ต้องกินผักป่าและรำข้าวเพื่อประทังชีวิต
หลังจากที่เข้ามาในคูเมืองมาได้แล้ว เพื่อรักษาความอยู่รอดชีวิตของเหล่ากองทัพทหารนั้น เหล่านายทหารและนายทหารชั้นสูงได้มีการบังคับด้วยกฏหมายให้ประชาชนมีการส่งเสบียงอาหารมาให้ มีแม้กระทั่งเหตุการณ์ที่ไปแย่งชิงอาหารจากประชาชนที่อยู่ข้างถนน เข้าไปบุกรุกถึงในบ้านของประชาชนอย่างเลวร้าย
เฉินเสียนและซูเจ๋ออยู่ในกองกำลังทหารที่กำลังเดินลาดตระเวนอยู่ เป็นการเดินลาดตระเวนที่ต้องคอยมองว่าร้านอาหารตามท้องถนนนั้นมีสิ่งของอะไรให้ได้หยิบกลับมาได้บ้าง
ทหารเก่าของกองกำลังทหารพาทหารใหม่เดินออกไปลาดตระเวน จึงไปที่ร้านขายธัญพืชเป็นที่แรก
เฉินเสียนที่ยืนอยู่ด้านนอกร้านขายธัญพืช มองไปเห็นป้ายที่เขียนหน้าร้านว่า “ร้านธัญพืชเหลียนจี้” ทันใดนั้นก็เกิดความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ตอนนั้นซูเจ๋อก็ได้เดินเข้าไปข้างในร้านแล้ว
ร้านขายธัญพืชร้านอื่นเมื่อได้ยินข่าวลือต่างก็พากันปิดหมด แต่ร้านร้านธัญพืชเหลียนจี้ยังคงเปิดอยู่ เปิดเพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้ามาปล้นสะดมจนหมดหรือ?นั่นก็คงจะไม่ใช่
คงต้องรอให้ทั้งสองคนปรากฎตัวขึ้นมาสินะ ซูเจ๋อและเหลียนชิงโจวนั้นเตรียมการกันมาอย่างยาวนาน ดังนั้นจึงมีวิธีการที่จะติดต่อกันได้อยู่แล้ว
ผลสุดท้ายทหารก็ได้ธัญพืชทั้งหมดของร้านร้านธัญพืชเหลียนจี้มา เพียงแต่ได้มาแค่นิดหน่อย เพราะว่ายุ้งข้าวนั้นว่างเปล่าแต่เดิมอยู่แล้ว เลยจึงไม่พบธัญพืชส่วนที่เหลือ
คืนนั้นถึงคราวที่เฉินเสียนและเหล่าทหารในกระโจมนั้นต้องเดินออกลาดตระเวน กองทหารลาดตระเวนนั้นประกอบไปด้วยทหารสองโจมอยู่ด้วยกัน ต้องเดินลาดตระเวนกันเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์
เฉินเสียนกับซูเจ๋อนั้นเดินอยู่ท้ายสุด เมื่อเดินไปได้ครึ่งทางก็ไม่เห็นซูเจ๋อเดินลาดตระเวนแล้ว
เมื่อตอนที่เดินลาดตระเวนเสร็จสิ้นต่างคนต่างเดินก็กลับค่ายทหารกัน เขาที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ไหนก็ปรากฏตัวอย่างเงียบๆ
เมื่อทั้งคู่กำลังจะนอนลง ก็ได้ยินเสียงจากด้านนอกว่ามีนักฆ่า
เฉินเสียนนอนตะแคงหันข้างไปทางซูเจ๋อ บิดไปที่เสื้อเขาอย่างเคยชิน แล้วถามเบาๆว่า “ท่านไปทำอะไรมา?”
“เรื่องเล็กๆน้อยๆ”
ขณะที่ไฟด้านนอกกระโจมนั้นเริ่มสว่างมากขึ้น เฉินเสียนกัดริมฝีปากแล้วพูดว่า“การก่อกวนจิตใจของเหล่าทหาร มันเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือ”เธอถามขึ้นมาอย่างไม่ได้ใส่ใจ“หรือว่านายทหารจะถูกลอบฆ่า?”
ซูเจ๋อพูด“ใครจะไปรู้”