เหล่าทหารกลุ่มหนึ่งเข้าโจมตีอย่างรวดเร็วดั่งสายฟ้าผ่า ทหารผู้พิทักษ์ประตูเมืองนั้นเสียชีวิตลง แม่ทัพหนานเจิงจึงรีบร้อนสั่งทหารให้ไปประจำที่ประตูเมืองเพื่อป้องกันประตูเมืองเอาไว้
การป้องกันประตูเมืองเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด ถ้าประตูเมืองขุยถูกทำลาย ในสถานการณ์เช่นนั้น ผู้บังคับบัญชาการไม่สามารถที่จะส่งทหารใหม่ออกไปสู้รบได้ แต่กลับระดมพลทหารเก่าที่มากประสบการณ์ในการรบ นำโดยรองแม่ทัพสองคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาการของแม่ทัพให้นำกำลังทหารเก่าออกไปกองเสริม
กำแพงเมืองถูกย้อมสีไปด้วยแสงเพลิงไฟจนสุดขอบปลายฟ้า ท้องฟ้าในยามราตรีราวกับถูกเพลิงไฟเผาไหม้ปกคลุมไปทั่ว เสียงร้องโห่อย่างโหดร้ายดังมาจากฝั่งตรงข้าม ทำให้เหล่าทหารใหม่ที่อยู่ในค่ายนั้นต่างก็รู้สึกตื่นตกใจหวาดกลัว
เฉินเสียนและซูเจ๋อยืนอยู่ในค่ายทหาร เงยหน้ามองเปลวไฟที่กำลังลุกวาบอยู่ สำหรับประชาชนส่วนใหญ่ของต้าฉู่แล้วนั้น นั่นคือแสงสว่างแห่งความหวังที่มาทำลายความมืดมิด
การที่กองทัพใหญ่จะเข้าโจมตีบุกทำลายเมืองขุยนั่นเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ไม่ช้าก็เร็ว ทั้งสองฝ่ายนั้นมีกองกำลังทหารที่แตกต่างกันอยู่มาก ทางฝ่ายราชสำนักเพิ่งสูญเสียนายทหารและผู้พิทักษ์เมืองไป เป็นช่วงจังหวะที่จิตใจของเหล่าทหารนั้นกำลังว้าวุ่น
แต่ทว่า เมื่อแม่ทัพหนานเจิงได้ส่งพลทหารนั้นออกไปได้ไม่นาน ก็ต้องพบกับความเสียใจ
เขาเพิ่งมาถึงที่นี่ได้ไม่นานเลยยังไม่เข้าใจกับสถานการณ์ความเป็นจริงของเมืองขุย จึงส่งเหล่าทหารนั้นออกไปตายอยู่ที่ประตูเมืองด้วยความสะเพร่า กำลังพลทหารที่มีอยู่ในมือของเขาตอนนี้เมื่อเทียบกับกำลังพลกี่แสนคนของกองทัพใหญ่ที่อยู่ด้านนอกเมือง นั่นเหมือนกับเอาไข่ไปทุบกับก้อนหินอย่างไม่ต้องสงสัย แม้จะรักษาป้องกันประตูเมืองได้อีกสักระยะหนึ่งมันจะมีประโยชน์อะไร ไม่ต้องพูดถึงการสูญเสียที่จะตามมาอย่างร้ายแรง ภายในค่ายเหลือเพียงแต่เหล่าทหารใหม่ พวกเขาจะมีกำลังแรงอะไรที่จะไปต่อต้านกับกองทัพใหญ่ได้หรือ?
เวลานั้นแม่ทัพหนานเจิงกำลังเลือดร้อน หลังจากที่ได้สติกลับมานั้น เขาก็รู้สึกเย็นวูบวาบที่หลังขึ้นมาทันที
เขาวางยุทธวิธีการรบที่ผิดพลาด——ความเร่งรีบที่อยากจะประสบความสำเร็จในระยะเวลาอันสั้น มองเห็นแก่ประโยชน์เพียงด้านเดียวเลยทำให้เกิดการสูญเสียเกิดขึ้น เมื่อเมืองขุยรับมือไม่ไหว เขาควรที่จะตัดสินใจให้ทันท่วงทีในช่วงเวลาที่วิกฤติ และไม่ควรที่จะส่งกองกำลังทหารเก่าที่มากประสบการณ์ออกไปต้านอยู่ที่ประตูเมือง คนที่ควรส่งไปนั่นก็คือเหล่าทหารใหม่
แม่ทัพหนานเจิงจึงมีคำสั่งให้รองแม่ทัพเพิ่มกำลังพลทหารใหม่ไปปกป้องที่ประตู แล้วนำพลทหารเก่ากลับมา
คำสั่งนี้แพร่กระจายอยู่ในค่ายทหาร เกิดเสียงเกรียวราวไปทั่วกองกำลังทั้งสามเหล่า
ในเวลานี้เมืองขุยไม่สามารถที่จะต่อต้านไว้ได้แล้ว การที่ส่งทหารใหม่ไปนั้นก็คือการส่งทหารเหล่านี้ให้ไปเป็นเกาะปกป้องแทนกำแพงเมือง เพื่อที่จะยืดเวลาให้กับเหล่านายทหารคนอื่นๆได้ถอยทัพได้
พูดตามตรงก็คือส่งพลทหารใหม่ให้ไปตายที่ประตูเมืองนั่นเอง
เหล่าทหารใหม่นั้นก็คิดไม่ถึง เพราะมันเป็นการออกสนามรบครั้งแรกของพวกเขา นึกไม่ถึงว่าวิธีนี้จะถูกกำหนดสถานการณ์เอาไว้อยู่แล้ว ท่านแม่ทัพไม่เคยคิดว่าชีวิตของพวกเขาเป็นชีวิต แล้วก็ไม่คาดหวังให้พวกเขาสามารถจะฆ่าศัตรูได้มากน้อยแค่ไหน เพียงแค่ในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้ ให้พวกเขาทั้งหมดไปเป็นด่านหน้า แล้วตัวเองก็ใช้ช่วงเวลานี้หนีหายไป
รองแม่ทัพรับคำสั่งแล้วสั่งการลงไปที่เหล่าทหาร ความหวาดกลัวที่สะสมอยู่ในจิตใจของเหล่าทหารใหม่ก็ได้กลายเป็นความโกรธแค้น จึงทำให้ภายในค่ายทหารนั้นเกิดความวุ่นวายเกิดขึ้น
ถ้าเกิดว่าไม่ใช้ช่วงเวลานี้ในการต่อต้าน ก็จะไม่มีโอกาสอีกต่อไปแล้ว
ซูเจ๋อพาเฉินเสียนไปๆมาๆในใช้ช่วงเวลาที่ค่ายทหารนั้นเกิดความชุลมุนวุ่ยวาย เฉินเสียนรู้ว่าจุดประสงค์ของพวกเขาทั้งสองคนนั้นยิ่งใหญ่ สำหรับซูเจ๋อแล้วมันจะเป็นอุปสรรค
เธอจึงปล่อยมือออกจากซูเจ๋อทันที ซูเจ๋อหยุดเดินแล้วหันกลับมามองเธอด้วยสีหน้าที่ตึงเครียด
เฉินเสียนเม้มปากยิ้มให้เขา แล้วพูดว่า“ท่านไปเถิด ไปทำเรื่องที่ท่านต้องการจะทำ ข้าจะอยู่ในกระโจมนี้เพื่อรอท่าน”
ซูเจ๋อขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า“ที่นี่วุ่นวายมาก ท่านคนเดียวจะไม่เกิดปัญหาอะไรหรือ?”
เฉินเสียนพูด“ ข้าจะไปเป็นภาระของท่าน จัดการปิดล้อมให้ดี ท่านรีบกลับมา ข้าจะรอท่านอยู่ที่นี่”
ช่วงเวลาเช่นนี้เฉินเสียนจะไปเป็นตัวถ่วงของซูเจ๋อได้อย่างไร เฉินเสียนรู้ว่าการที่จะทำอะไรนั้นต้องนึกถึงความสำคัญไว้ก่อนเสมอ เรื่องนี้ซูเจ๋อสามารถจัดการคนเดียวได้ ถ้าเธอตามไปด้วยมันก็จะเป็นส่วนเกิน เธอรู้ว่าซูเจ๋อนั้นไม่วางใจให้เธออยู่ในที่ที่ชุลมุนวุ่ยวายเช่นนี้ ถ้าเกิดถูกจับได้ขึ้นมา เขาคนเดียวก็สามารถที่จะหนีไปได้ง่ายกว่าที่จะพาเธอหนีไปด้วยกัน
ในกรณีที่ถ้าทั้งสองคนถูกจับได้และถูกรุมโจมตีไว้ ต้องกลายเป็นจุดเป้าหมายของทุกคนอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นพวกเขาต้องถูกกำหนดว่าเป็นใส้ศึกอย่างไม่ต้องสงสัย และเป็นไปได้ที่จะเบี่ยงเบนความขัดแย้งระหว่างทหารเก่าและทหารใหม่ ทำให้พวกเขาเปลี่ยนเป้าหมายมาที่เธอและซูเจ๋อได้
ซูเจ๋อมองใบหน้าของเฉินเสียนภายใต้แสงไฟที่ส่องสว่างเข้ามาที่ดวงตาของเขา อย่างลึกซึ้งและไร้ขอบเขต
เฉินเสียนหันหน้าไปถามเขาว่า “ทำไมยังไม่ไปอีก?ท่านคิดว่าเรื่องแค่นี้ข้าจะรับมือไม่ไหวรึ?”
ซูเจ๋อถอนหายใจต่ำ แล้วพูดว่า“ทั้งๆที่ข้ารู้ว่าท่านมีประสบการณ์มากมาย แต่ข้ากลับยิ่งไม่วางใจที่จะปล่อยมือไปจากท่าน”
เฉินเสียนฝืนยิ้ม สีหน้าดูอ่อนโยนแล้วเอ่ยว่า “ท่านอาจารย์ซู ท่านต้องเชื่อมั่นในตัวข้า”
เธอเรียกซูเจ๋อว่า “ท่านอาจารย์ซู”จนในที่สุดเขาก็พูดออกมาอย่างจำใจว่า“ถ้าเช่นนั้นท่านก็ต้องอยู่ในกระโจมนั่นเพื่อรอข้า อย่าเดินออกไหนไกล แล้วข้าจะรีบกลับมา”
เป็นเพราะในใจของเขานั้นเกิดความผูกมัด วันแล้ววันเล่าก็เขาก็ถูกครอบครองส่วนที่สำคัญที่สุดในทรวงอกของเขาได้ ดังนั้นยิ่งนานเข้าเขาก็ไม่สามารถปล่อยเธอจากไปได้
แต่เขาก็ต้องปล่อยมือเธอไปอย่างเหมาสม ในภายหน้าเธอก็ต้องเผชิญกับการอยู่คนเดียวให้ได้ เธอต้องพึ่งพาตัวเองที่จะทำให้ประชาชนนั้นมีจิตใจที่เคารพนับถือเธอได้ด้วยตัวเอง
ซูเจ๋อเชื่อมั่นว่าเธอจะทำได้ เขาเพียงแค่รู้สึกไม่อยากไป และไม่วางใจ
เฉินเสียนมองซูเจ๋อเดินหายเข้าไปในป่าอย่างรวดเร็ว เธอจึงหันหลังกลับเดินไปทางกองไฟของค่าย ยกมือขึ้นไปดึงเส้นผมออกมาเส้นหนึ่งเอาไว้ในมือ ชำเลืองมองเส้นผมที่ปลิวไปตามสายลม มองไปกระโจมที่ทอดยาวต่อกันของค่ายทหาร แล้วเอ่ยออกมาเบาๆว่า “ลมคืนนี้คงจะพัดจากทิศตะวันตกเฉียงใต้สินะ”
เหล่าทหารใหม่ที่กำลังวุ่นวายยังไม่ได้มีการถูกห้ามปรามแต่อย่างใด ก็มองเห็นค่ายทหารทางทิศตะวันตกเฉียงใต้เกิดเปลวไฟขึ้นมา
ในตอนแรกสถานการณ์เพลิงไหม้ไม่ได้ลุกลามไปมาก แต่เมื่อลมกลางคืนได้พัดเข้ามานั้น ไฟด้านบนของกระโจมหลังหนึ่งก็ลุกไปติดกับกระโจมอีกหลังหนึ่ง ไม่นานเพลิงไฟก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น
มีทหารใหม่คนหนึ่งพูดออกมาอย่างกล้าหาญว่า“ทุกคนรีบหนีไป ใครจะชนะหรือแพ้มันเกี่ยวอะไรกับพวกเรา! กองทัพที่ไม่มีความชอบธรรมเช่นนี้ มีเพียงแต่จะสั่งให้พวกเราประชาชนไปตายกันหมด สู้พวกเรายอมพ่ายแพ้เสียตอนนี้ดีกว่า!เช่นนี้ไม่ได้คำนึงถึงชีวิตของพวกเราต้าฉู่ พวกเราคงตายกันนานแล้ว ”
มีทหารนายหนึ่งยกมือขึ้นและส่งเสียงร้องดีใจ ทหารใหม่จำนวนมากต่างก็มีปฏิกิริยาตอบรับ
ดังนั้นเหล่าทหารใหม่ต่างใช้ช่วงสถานการณ์เพลิงไหม้นั้นวิ่งหลบหนีไปทุกทิศทุกทาง
เพลิงไฟที่รุนแรงนั้นไม่มีทางที่จะดับลงได้ง่ายๆ จึงมีทหารรีบวิ่งไปรายงานกับผู้บังคับบัญชาการของค่ายทหาร แต่กลับพบว่าผู้บังคับบัญชาการนั้นถูกฆ่าตายเสียแล้ว เลือดนั้นไหลนองเต็มไปทั่วกระบะทราย
กองกำลังทหารในเขตใต้โจมตีเมืองเข้ายึดเมืองได้สำเร็จ เหล่าทหารต่างก็มุ่งตรงมายังที่ค่ายทหารนี้
กองกำลังทหารและม้าเดินเข้ามาอย่างยิ่งใหญ่และเคร่งขรึม
“ผู้ใดที่ยอมแพ้ด้วยความสมัครใจ จะได้รับการยกเว้นโทษ!ทหารใหม่ที่ถูกบีบบังคับให้ร่วมเข้ากับกองทัพก็สามารถที่จะได้กลับบ้านเกิดไปอยู่กับคนที่รักอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากัน!”
เมื่อคำพูดนี้ออกมา ทำให้เหล่าทหารที่วิ่งชุลมุนไปทุกทิศทางต่างมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป สิ่งที่พวกเขาใฝ่ฝันไว้มันก็แค่การที่ได้กลับบ้านไปอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากัน
แต่ในขณะสถานการณ์ไฟไหม้ที่รุนแรงในค่ายนั้น ก็ยังมีทหารจำนวนไม่น้อยที่ยังคงต่อต้านอยู่
แม่ทัพโฮ้วเรียกกำลังทหารคนสนิทแล้วเดินหน้าเข้าไปเพื่อหยุดยั้ง
ในขณะนั้นเหลียงชิงโจวที่ขี่ม้าเข้ามาอย่างสุภาพเรียบร้อยอยู่ด้านข้างของแม่ทัพโฮ้ว สายตากำลังมองหาบางอย่างในสถานการณ์ที่วุ่นวายเช่นนี้แล้วพูดว่า“อาจารย์แล้วองค์หญิงหล่ะ ไม่ใช่ว่าอยู่ในค่ายนี้หรอกหรือ?”
ตั้งแต่ที่ซูเจ๋อจัดการกับผู้บังคับบัญชาค่ายทหารได้แล้วนั้น เพลิงไฟก็ลุกลามไปทั่วแล้ว แต่ทว่าเขากลับไม่เห็นเฉินเสียนรออยู่ด้านนอกกระโจมนั่น
ซูเจ๋อออกค้นหาทีละกระโจมแต่ละหลัง แต่สุดท้ายก็หาเธอไม่พบ
สีหน้าของเขาดูเย็นชา และมีแววตาที่ดุร้าย
บอกให้เธอรออยู่ด้านนอกกระโจม แต่เมื่อเขากลับมากลับไม่เห็นใคร เฉินเสียนบอกให้เขาเชื่อเธอ จริงๆแล้วเขาไม่ควรที่จะเชื่อเธอ ไม่ควรที่จะปล่อยมือเธอ เขาควรที่จะนำเธอมาไว้ข้างๆกายตัวเองไม่ให้เธอก้าวเท้าห่างไปไหนได้สักก้าว