แค่เพียงว่าชิงเหลียนโจวก็ได้เรียนรู้ว่า อย่าได้ตกหลุมรักใครง่าย ๆ แค่ได้เห็นซูเจ๋อและเฉินเสียน เขาก็รู้สึกเหนื่อยากลำบาก
วันต่อมา อาการเมาค้างของเฉินเสียนทำให้ปวดหัวหนักมาก และเธอก็นั่งบนทางเดินด้วยอาการมึนงงและทำสมาธิอยู่ครู่หนึ่ง ซูเจ๋อนำน้ำชามาให้เธอ เมื่อเห็นเธอนั่งเหม่ออยู่ เขาหรี่ตาลงและกล่าวว่า “ลืมเรื่องเมื่อคืนแล้วหรือ?”
เฉินเสียนรับน้ำชาไว้ในมือและจิบน้ำชา กล่าวว่า “ทุกคำพูดที่ข้าพูดกับท่าน หากข้าลืม มันจะไม่รับผิดชอบเกินไปหรือ”
ซูเจ๋อพยักหน้า “ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น”
เฉินเสียนยกน้ำชาจิบอีกครั้ง และกล่าวว่า “ข้าก็แค่กำลังคิดว่า ข้าแปลกใจตัวเองว่าทำไมข้าถึงพูดเรื่องพวกนั้นกับท่าน”
ซูเจ๋อพูดอย่างเคร่งขรึม “อาจเป็นเพราะท่านดื่มมากไปหน่อย เลยทำให้ท่านมาสาบานกับข้า”
เฉินเสียนสำลัก “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก”
ซูเจ๋อยกคิ้วขึ้น และกล่าวว่า “ทำไมจะไม่ขนาดนั้นล่ะ ลงไม้ลงมือกับข้า แถมยังบอกว่าจะทำตัวดี ๆ กับข้า”
เฉินเสียนพูดไม่ออก “ข้าดูแย่ขนาดนั้นเลยหรือ”
ซูเจ๋อมองเธอ “คิดว่าท่านจะจำอะไรไม่ได้แล้วเสียอีก”
เฉินเสียนจับหน้าผากและนวดไปบริเวณขมับ และกล่าวว่า “เหล้าของเหลียนชิงโจวช่างอันตรายเสียจริง ผู้หญิงแดงอะไรนั่นมีอายุกี่ปีมาแล้วนะ?”
“ยี่สิบปี” ซูเจ๋อตอบ “ท่านดื่มไปแค่จอกเดียว ก็พอ ๆ กับดื่มเหล้าสับปะรดแท้ของเย่เหลียงสิบจอก”
เฉินเสียนยังคงนั่งอยู่ที่ระเบียงเงียบ ๆ พักหนึ่ง จู่ ๆ ก็ถามขึ้นมาว่า “แต่วันนี้ที่ตื่นขึ้นมาเสื้อผ้าก็ยังอยู่ครบปกติดี ร่างกายก็ไม่ได้รู้สึกผิดปกติแต่อย่างใด ท่านแน่ใจหรือว่าท่านไม่ได้โกหกข้า?”
ซูเจ๋อกล่าว “ก็แน่นอนล่ะ ข้าจะยอมให้คนขี้เมาสำเร็จได้อย่างไรกัน”
เฉินเสียนที่กำลังทุกข์ใจกับการดื่มเหล้าของเธอ เธอบังเอิญเห็นดวงตาใสเปล่งประกายและรอยยิ้มของซูเจ๋อ และตกใจชะงักอยู่ชั่วขณะ และกล่าวว่า “ซูเจ๋อ ท่านกำลังแกล้งข้าหรือเปล่า?”
ซูเจ๋อสีหน้าเคร่งขรึม “ใช่หรือ?”
“เมื่อกี้ข้ายังเห็นท่านยิ้มอยู่เลย” เฉินเสียนเหล่มอง
ซูเจ๋อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และเขาก็หัวเราะออกมา แววตาของเขานุ่มนวลขึ้น และกล่าวว่า “เมื่อกี้ท่านคงดูผิดน่ะ ต้องเป็นแบบตอนนี้ถึงจะเรียกว่ายิ้ม”
”โอ๊ย ท่านแกล้งข้าจริง ๆ ด้วย!” เฉินเสียนรู้สึกตัวและใบหน้าของเธอร้อนผ่าว และในวินาทีต่อมาเธอก็โน้มเข้าใส่ซูเจ๋อ
ซูเจ๋อไม่ได้หลบ และเฉินเสียนโน้มตัวเข้ามาเต็มอกของเขา และล้มลงที่ระเบียง
เฉินเสียนปกป้องเขา รีบยกมือขึ้นไปรองศีรษะเขาเพื่อไม่ให้กระแทกพื้น
สมองของเฉินเสียนยังไม่ทำงานดีมากนักภายหลังการดื่มเหล้า ทันใดนั้นก็สบตากับซูเจ๋อในระยะที่ใกล้ชิดขนาดนี้ ในขณะที่เธอยังไม่ตอบสนอง หัวใจของเธอก็เต้นเร็วและแรงขึ้น
ผ่านไปครู่หนึ่ง ซูเจ๋อยิ้มที่มุมปาก และเอามือไปลูบริมฝีปากของเฉินเสียน ดวงตาของเขาดูลึกและเขากล่าวพึมพำ “เสียงฝีเท้าจากข้างนอกใกล้เข้ามาแล้ว หากยังไม่รีบลุกขึ้น ท่านอาจจะถูกจับได้นะ หากท่านยังอยากกระโดดใส่ข้าอีก เดี๋ยวเรากลับเข้าไปในห้องกัน”
เฉินเสียนรีบลุกขึ้นจากบนร่างกายของเขา และจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทาง ในมือก็ถือถ้วยน้ำชาอยู่และจิบอยู่สองสามจิบใบหูของเธอก็เริ่มแดง และกล่าวว่า “กลางวันแสก ๆ ข้าไม่กลับไปในห้องกับท่านหรอก”
ซูเจ๋อหรี่ตาและมองไปที่หูของเธอ เขาก้มศีรษะและปัดที่มุมเสื้อผ้าของเขาและหัวเราะเบา ๆ
ก่อนที่เฉินเสียนจะพูดออกไป ก็มีเงาของใครคนหนึ่งเดินเข้ามาในเรือน
คือแม่ทัพโฮ้ว
เมื่อมองเห็นแม่ทัพโฮ้ว เรื่องในใจทั้งหมดก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า ซูเจ๋อยกถ้วยน้ำชาออกไป และกล่าวกับเฉินเสียนว่า “ดูท่าอาการเมาค้างของท่าน ยังต้องการน้ำชาเพิ่มอีก”
เฉินเสียนมองไปที่ถ้วยน้ำชาที่ยังเหลืออยู่ครึ่งหนึ่ง แต่ถูกซูเจ๋อยกออกไป
เฉินเสียนโบกมือทักทายแม่ทัพโฮ้ว “แม่ทัพโฮ้ว เชิญเข้ามานั่งก่อน”
แม่ทัพโฮ้วเดินเข้ามา ยกเสื้อคลุมของเขาและนั่งลงที่ระเบียงกับเฉินเสียนอยู่ครู่หนึ่ง
ทั้งสองคนดูเหมือนสมองไม่ค่อยสั่งการได้ดีเท่าไรนัก ซึ่งยังคงเมาค้างอยู่
เฉินเสียนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง และกล่าวว่า “ทำไมวันนี้แม่ทัพถึงมีเวลาว่างมานั่งเหม่อลอยเป็นเพื่อนข้าล่ะ?”
แม่ทัพโฮ้วกล่าว “ไม่รู้สิ รู้สึกสมองว่างเปล่า ปวดหัวหน่อย ๆ ไม่อยากจะทำอะไรทั้งนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียน “บังเอิญจัง ข้าก็เป็นเหมือนกัน คงเป็นผลสืบเนื่องจากอาการเมาค้างน่ะ ไม่อย่างนั้นข้าให้ซูเจ๋อยกน้ำชาแก้อาการเมาค้างมาให้ท่าน”
แม่ทัพโฮ้ว “ไม่เป็นไร ข้านั่งอีกสักพักก็น่าจะดีขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
และจากนั้นเฉินเสียนก็นั่งเหม่อเป็นเพื่อนแม่ทัพโฮ้วต่ออีกสักพัก
จู่ ๆ แม่ทัพโฮ้วก็รู้สึกตัวขึ้น และกล่าวว่า “อ้อใช่ ข้าไม่ได้มานั่งเหม่อลอย แต่ข้ามีอะไรจะพูดกับองค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ”
เแินเสียนพูดอย่างจริงจังทันที “แม่ทัพพูดมาเลย”
“เมื่อตอนที่องค์จักรพรรดิองค์ก่อนยังมีชีวิตอยู่ ข้าได้ติดตามรับใช้อย่างใกล้ชิด ข้าก็ไม่กล้าพูดโอ้อวดต่อหน้าองค์หญิง แต่ข้าอยากให้ท่านฟังที่ข้าจะพูด” แม่ทัพโฮ้วกล่าว “เมื่อคืนที่ข้าได้พูดกับองค์หญิงไปทั้งหมดนั้น…องค์หญิงคิดเช่นไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ?”
เฉินเสียนนึกคิด “แม่ทัพพูดอะไรไปบ้างหรือ?”
แม่ทัพโฮ้ว “ก็เรื่องที่เกี่ยวกับใต้เท้าซูยังไงพ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องที่เกี่ยวกับซูเจ๋อ?” เฉินเสียนเคาะศีรษะของเธอ และจู่ก็มีแรงบันดาลใจขึ้น “แม่ทัพโฮ้ว ท่านเล่าเรื่องแย่ ๆ ของซูเจ๋อให้ข้าฟังใช่ไหม? ถึงว่าทำไมเขาถึงบอกว่าข้าลากเขาไปสาบาน ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด ข้าจะทำแบบนั้นทำไมกัน?”
ตราบใดที่ไม่มีซูเจ๋ออยู่ตรงนั้น ใบหน้าของเฉินเสียนก็ยังหนาทึบอยู่
สีหน้าของแม่ทัพโฮ้วดูซับซ้อนเล็กน้อย “องค์หญิงกับเขามีหรือ…โอ๊ย! เรื่องที่ข้าพูดไปเมื่อคืน ก็แค่ต้องการให้องค์หญิงรู้แน่ชัดว่าแท้จริงแล้วใต้เท้าซูเป็นคนเช่นไร จากเดิมจนมาถึงวันนี้ได้ ไม่เพียงแค่พึ่งความรู้ของเขาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความไร้มนุษยธรรม เขาไม่ได้เป็นคนที่เรียบง่าย เหมือนที่เห็นอยู่ภายนอกหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนลูบหน้าผากของเธอและกล่าว “ข้ารู้ คนคนนี้ไม่เพียงแต่รู้วิชา รูปหล่อ แถมยังมีวิชาต่อสู้ และมีจิตใจที่เด็ดเดี่ยว คนที่ตายด้วยมือของเขาก็ไม่รู้กี่คนต่อกี่คน”
แม่ทัพโฮ้วกล่าวด้วยความตกใจ “องค์หญิงรู้เรื่องพวกนี้ งั้นก็น่าจะเข้าใจว่าเขาเป็นนักดาบสันโดษ ดาบที่คมและอันตราย องค์หญิงสามารถใช้เขาเพื่อเรียกคืนราชบัลลังก์ แต่องค์หญิงจะรักเขาไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนถอนหายใจและกล่าวว่า “แม่ทัพโฮ้วและพ่อของข้าสนิทสนมกันมาทั้งชีวิต แน่นอนว่าท่านก็คือผู้ใหญ่ที่ข้าเคารพ คำพูดของท่าน ตามเหตุผลแล้วข้าก็ควรจะฟัง”
เธอหันศีรษะไปมองแม่ทัพโฮ้ว และกล่าวอีกว่า “แต่น่าเสียดายท่านพูดช้าเกินไป ข้าตกหลุมรักเขาแล้ว ทำอย่างไรดี?”
แม่ทัพโฮ้วกล่าวอย่างเฉียบขาด “ยังไม่สายที่จะตัดไฟแต่ต้นลม น้อยคนนักที่จะต้านทานการยั่วยุของอำนาจกษัตริย์ได้ หากเขามีความทะเยอทะยานที่มิอาจหยั่งรู้ได้ เมื่อองค์หญิงได้กลับมามีอำนาจ เขาจะเข้าควบคุมราชสำนักอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นก็สายไปแล้วที่จะมานั่งเสียใจพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนครุ่นคิดและกล่าวว่า “งั้นท่านคิดว่า หลังจากที่ข้ามีอำนาจ ข้าควรจะจัดการกับเขาอย่างไรดี?”
แม่ทัพโฮ้วดูเหมือนจะทนไม่ได้ แต่เขาก็ยังกล่าวออกมาว่า “ราชวงศ์กษัตริย์ไม่สามารถใช้ชีวิตอิสระได้ จะต้องปกป้องดูแลรับใช้อาณาจักร บางครั้งพวกเขาต้องละทิ้งเรื่องที่ไม่จำเป็นลงพ่ะย่ะค่ะ”