เฉินเสียนกล่าวว่า “ไม่ใช่ว่ากังวลที่หาผู้ที่เหมาะสมไม่ได้หรอกรึ ไม่เช่นนั้นจะเสียแรงระดมความคิดกันทำไม”
ซูเจ๋อหลุบตามองต่ำ เขายิ้มและพูดว่า “อีกตั้งสองวันกว่าจะเคลื่อนพล ท่านกังวลอะไรรึ”
เฉินเสียนกล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่ควรชักช้า แผนการไม่ควรผิดพลาด เหตุใดจึงต้องรออีกสองวันจึงค่อยออกศึก ไม่ใช่ว่าควรเคลื่อนพลอ้อมไปทางเหนือทันทีหรอกหรือ”
ซูเจ๋อกล่าวว่า “ยิ่งเป็นแผนที่ต้องรอบคอบ ก็ยิ่งหุนหันพลันแล่นไม่ได้”
เฉินเสียนหยุดยืนอยู่ตรงหน้าซูเจ๋อ แอบเกี่ยวชายเสื้อของซูเจ๋อไว้และเอ่ยอย่างอ่อนหวานว่า “เช่นนั้นข้าจะยอมรออีกสองวันก็ได้ หลังจากครบสองวันแล้ว ถ้ายังไม่มีผู้ที่เหมาะสม ท่านต้องให้ข้าไปนะ”
ซูเจ๋อไม่ได้ยอมรับหรือปฏิเสธ เขาเพียงแต่บอกว่า “อีกสองฝันค่อยว่ากันอีกที”
เฉินเสียนรู้สึกเดือดปุดๆ เมื่อเห็นว่าเขาเดินอ้อมเธอไปโดยไม่สนใจ เธอตามไปจนทันและดึงแขนซูเจ๋อไว้ก่อนจะเอ่ยว่า “ท่านอย่าทำแบบนี้สิ สัญญากับข้าเดี๋ยวนี้นะ!”
เฉินเสียนไม่สนใจภาพลักษณ์ขององค์หญิงจิ้งเสียนและฉุดกระชากเขาเข้าไปในกระโจม
ซูเจ๋อมองเธอและเอ่ยอย่างเลี่ยงไม่ได้ว่า “อยากออกรบฆ่าฟันศัตรูขนาดนั้นเชียวรึ ท่านรู้หรือไม่ว่าในสนามรบนั้นอันตราย”
“ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ต้องการ แต่สถานการณ์ตอนนี้รุนแรงและจะอืดอาดชักช้าไม่ได้ ข้าควรทำตนเป็นตัวอย่างในการรับผิดชอบหน้าที่นี้”
“รับผิดชอบ?” ซูเจ๋อเลิกคิ้วและเอ่ยอย่างยั่วยุหน่อยๆ “ใครเป็นคนมอบความรับผิดชอบนี้ให้แก่ท่านอย่างมั่วซั่ว ความรับผิดชอบที่สำคัญที่สุดของท่านในตอนนี้คือการรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี”
ซูเจ๋อเดินไปที่หน้ากระบะทรายโดยมีเฉินเสียนคว้าชายเสื้อของเขาไว้และเดินตามไป เขาเอื้อมมือไปจับธงเล็กๆ ลากไปบนกระบะทราย “ข้าสอนกลอุบายและตำราพิชัยสงครามให้ท่าน ไม่ใช่เพื่อให้ท่านไปฆ่าศัตรู แต่เพื่อให้ท่านเข้าใจหลักการควบคุมกำลังทหารและหลักการปกครองอาณาจักร ซึ่งอาจต้องใช้ร่วมกันในบางครั้ง”
เขาหลุบตาและเหลือบมองมือที่คว้าชายเสื้อของตนเองไว้ ยิ้มจางๆ และกล่าวว่า “เลิกคิดเถิด ท่านดื้อกับข้าอีกแล้ว และข้าจะไม่ยอมรับปากท่าน ข้าว่าท่านวางมือเสียจะดีกว่า”
“ไม่”
ทันใดนั้นซูเจ๋อก็ยกเอวของเธอขึ้นและวางเธอลงบนโต๊ะ กระบะทรายเอียงจนทรายสีเหลืองเทลงมา
เขาขยับเข้าไปใกล้ หายใจรดต้นคอของเธอและเอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “แต่ก่อนเพียงแค่ข้าเข้าใกล้ท่าน ท่านก็เขินอายแล้ว แต่เดี๋ยวนี้ท่านช่างกล้าหาญ ทั้งยังกล้าดึงข้าเอาไว้ไม่ยอมปล่อย”
คอของเฉินเสียนเริ่มร้อนผ่าว ลมหายใจของเขาแทรกซึมเข้าไปในทุกอณูผิวของเธอราวกับจะสั่นสะเทือนเข้าไปถึงกระดูก
เธอได้ยินซูเจ๋อหัวเราะอีกครั้ง “ฮึ พูดแค่นี้ก็ทนไม่ไหวแล้วหรือ หูแดงหมดแล้ว”
เฉินเสียนดันหน้าอกเขาออก เธอทั้งโกรธทั้งเขิน “เห็นได้ชัดว่าข้ากำลังพูดเรื่องที่จริงจังกับท่าน ท่านช่วยจริงจังหน่อยได้ไหม”
ซูเจ๋อกล่าวว่า “แต่ข้าคิดว่าท่านกำลังมองว่ามันเป็นเรื่องเล่นๆ”
เฉินเสียนรู้สึกว่าเธอต้องการอากาศหายใจมากกว่านี้ ดังนั้นจึงพยายามดิ้นเพื่อให้เอวหลุดจากการเกาะกุม ตั้งใจว่าจะไม่ยอมให้เขายืนอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบอีกต่อไป แต่หลังจากพยายามอยู่ครู่หนึ่ง ซูเจ๋อก็จับแขนของเฉินเสียนและดึงเธอเข้ามาแนบชิด
ลมหายใจของเฉินเสียนหยุดชะงัก เธอมองข้ามหลังซูเจ๋อไปยังท้องฟ้าซึ่งยังสว่างสดใสด้านนอกกระโจมและเหมือนจะเห็นทหารเดินผ่านไปมาผ่านช่องว่างเล็กๆ ระหว่างม่าน
ทว่าเธอถูกซูเจ๋อกันไว้บนโต๊ะ ถูกกักเอาไว้ในอิริยาบถที่แนบชิด
เฉินเสียนพยายามดิ้นและเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง “ท่านปล่อยข้านะ ถ้าคนข้างนอกเห็นเข้าจะดูไม่ดี”
เสียงของซูเจ๋อดังก้องอยู่ในหูของเธอ มีเพียงแค่พวกเขาสองคนที่ได้ยิน “หากท่านลองดิ้นอีกที เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะกดท่านลงบนเตียง”
หัวใจของเฉินเสียนวูบไหว เธอละสายตาพลางเม้มปากก่อนจะเอ่ยอย่างสิ้นหวัง “ข้าละอยากจะสู้กับท่านจริงๆ”
ซูเจ๋อมีหรือจะปล่อยให้ไฟในใจของเธออัดอั้นอยู่เช่นนั้น เขาเอ่ยอย่างอบอุ่นว่า “ได้สิ ถ้าท่านเอาชนะข้าได้ ข้าจะยอมให้ท่านเป็นผู้นำทัพ”
เฉินเสียนไม่คิดว่าในที่สุดเขาจะยอม ทันใดนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นสบตาเขา “จริงนะ”
ซูเจ๋อยิ้มนิดหนึ่งและกล่าวว่า “จริงสิ”
รอยยิ้มของเขาทำให้เฉินเสียนรู้สึกเหมือนพบกับอุปสรรคอีกครั้ง “คงแปลกมากถ้าข้าเอาชนะท่านได้”
“ไม่ลองแล้วจะ…”
เฉินเสียนไม่คิดจะฟังซูเจ๋อพูดจนจบ เธอเอนตัวลงบนโต๊ะอย่างไม่ให้ทันตั้งตัวและยกขาขึ้นโจมตีไปที่เอวของเขา ซูเจ๋อพลิกตัวหลบผ่านเธอไปอย่างเฉียดฉิว
เฉินเสียนลุกขึ้นและปัดทรายออกจากเสื้อผ้า เธอไม่พูดพร่ำทำเพลงและตรงเข้าไปต่อสู้กับซูเจ๋อทั้งที่ยังอยู่ในกระโจม
ข่าวการทะเลาะกันยกใหญ่ของเฉินเสียนกับซูเจ๋อเพราะปัญหาที่ว่าใครจะเป็นผู้นำทัพแพร่กระจายไปทั่วค่ายทหารอย่างรวดเร็ว
แม่ทัพโฮ้วรีบเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ย แต่ทำไปทำมาก็เริ่มชี้แนะอยู่ข้างๆ “องค์หญิงจิ้งเสียน โจมตีที่ด้านข้างจากข้างหลัง! องค์หญิง คว้าโอกาสเอาไว้ มองหาช่องว่าง! จะใจอ่อนไม่ได้ ถ้าลังเลท่านจะแพ้ทันที!”
เหลียนชิงโจวไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ท่านแม่ทัพ ท่านมาที่นี่เพื่อช่วยไกล่เกลี่ยหรือว่ายุแยงกันแน่”
แม่ทัพโฮ้วกล่าวว่า “ทุกคนต่างรู้จักกันดีไม่ใช่รึ ความสัมพันธ์ระหว่างใต้เท้าซูกับองค์หญิงจะแตกร้าวได้อย่างไร อา ชกไปที่ไหล่ของเขาองค์หญิง!”
ในที่สุดเฉินเสียนพุ่งหมัดไปที่ไหล่ของซูเจ๋อ แต่น่าเสียดายที่เธอช้าไปหนึ่งก้าว ซูเจ๋อเอียงศีรษะหลบได้ทัน เขาฉวยโอกาสคว้าข้อมือของเฉินเสียนไว้อย่างง่ายได้ จากนั้นจึงบิดมาข้างหลัง
ซูเจ๋อเลิกคิ้ว เมื่อเห็นว่าเฉินเสียนยังพยายามต่อสู้เขาจึงโจมตีและขัดขวางการโจมตีจนหมดสิ้น จนกระทั่งในที่สุดเขาก็ไม่ทำอะไรเธออีกและไม่ยอมให้เธอสู้ต่อ จากนั้นจึงเอ่ยด้วยลมหายใจที่สงบนิ่งว่า “ตัวแม่ทัพโฮ้วเองเป็นคนทำอะไรได้เพียงครึ่งๆ กลางๆ แต่ท่านก็ยังหลับหูหลับตาฟังคำสั่งจากเขา? ถ้าท่านไม่แพ้แล้วใครจะแพ้ หากฟังความคิดตัวเองท่านอาจจะทำได้ดีกว่านี้ ตอนนี้แม้แต่ฝีมือก็ยังเทียบไม่ได้กับเมื่อก่อนเสียด้วยซ้ำ”
เฉินเสียนกัดฟันและกล่าวว่า “ลุงโฮ้ว ลุงของข้า ท่านจะอ่อนข้อเกินไปแล้ว!”
แม่ทัพโฮ้วเพิ่งจะได้สติและกล่าวว่า “อา… ข้าลืมไป ฝ่ายตรงข้ามคือใต้เท้าซู รับมือกับคนธรรมดาสำหรับข้าไม่ใช่เรื่องยาก”
ซูเจ๋อปล่อยมือและกล่าวว่า “ความตั้งใจยังไม่แน่วแน่ จิตใจโลเล เอาแต่ฟังผู้อื่น ไม่สนข้อห้ามของผู้นำ เป็นเช่นนี้ท่านจะนำทัพได้อย่างไร”
เฉินเสียนนั่งห่อเหี่ยวอยู่บนพื้นทรายและรู้สึกหดหู่ไปตลอดทั้งบ่าย
เหลียนชิงโจวปลอบว่า “องค์หญิงไม่ได้แย่ขนาดนั้น เพียงแต่ท่านอาจารย์เข้มงวดเกินไป”
เฉินเสียนเงยหน้ามองเขานิดหนึ่ง “เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าพอฟังเจ้าแล้ว ข้ายิ่งแย่รู้สึกแย่ขึ้นกว่าเดิม”
เป็นความจริงที่เธอไม่มีทางไล่ตามซูเจ๋อทันในเวลาอันสั้น พวกเขาอยู่ไกลกันมาก เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในอนาคตเธอจะมีโอกาสไล่ตามเขาทันหรือไม่
ในยามพลบค่ำ แสงอาทิตย์ยามตะวันรอนส่องลอดเข้ามาในช่องว่างระหว่างม่าน กลายเป็นลำแสงสีทองอมแดงสองเส้นซึ่งลากยาวมาจรดอยู่บนตัวเฉินเสียน
ซูเจ๋อเข้ามาในกระโจมและเห็นว่าเธอยังคงนั่งอยู่บนทรายที่กระจัดกระจายลงมาจากกระบะ
เขาเข้ามากอดเธอจากทางด้านหลัง ถอนหายใจและเอ่ยว่า “เหตุใดจึงต้องไปให้ได้รึ ท่านรู้หรือไม่ ถ้าทางราชสำนักรู้ว่าท่านจะไปรบกับกองทัพเป่ยเจียงทางตอนเหนือ พวกเขาจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อปลิดชีวิตท่าน”
“ไม่ใช่ว่าไม่มีผู้ที่เหมาะสมหรอกหรือ” เฉินเสียนหันกลับไปมองเขา เธอเห็นลำแสงสีทองส่องกระทบลงบนใบหน้าด้านข้างของซูเจ๋อ ทอดยาวไปถึงดวงตาซึ่งดูสูงสง่า ทว่ายังไม่สว่างพอที่จะทำให้มองทะลุเข้าไปในดวงตาที่ล้ำลึกของเขา
เฉินเสียนเม้มริมฝีปากก่อนจะกล่าวว่า “คิดจะส่งแม่ทัพโฮ้วไปจริงๆ หรือ เพื่อเอาชนะศึกครั้งนี้ เขาจะยอมพลีทั้งแรงกายแรงใจ ทุ่มเทจนสุดกำลังโดยไม่เอ่ยปากบ่นเลยสักคำ แต่ถ้าเขาได้รับบาดเจ็บอีกครั้งเมื่ออยู่ภายใต้ชุดเกราะล่ะ ท่านไม่รู้หรอกหรือว่าเขาอายุมากแล้ว”
ซูเจ๋อดึงเธอที่นั่งขดตัวเข้ามาไว้ในอ้อมกอดอย่างอ่อนโยน พาดคางไว้บนบ่าของเธอ