เฉินเสียนกล่าวว่า “พวกท่านต่างพยายามแสวงหาสิ่งที่ดีให้ข้า ปกป้องข้า แล้วจะให้ข้ารับผิดชอบเพียงน้อยนิดได้อย่างไร ซูเจ๋อ ท่านไม่คิดอย่างนั้นหรือ นี่คือเหตุผลที่ข้ายืนกรานที่จะไป”
ในที่สุดซูเจ๋อก็กระซิบว่า “ถึงอย่างไรก็คงรั้งท่านไว้ไม่ได้ ข้าสัญญา รออีกสองวันเมื่อถึงเวลาต้องเคลื่อนทัพ ถ้ายังไม่มีผู้ที่เหมาะสม ข้าจะนำทัพไปทางเหนือกับท่าน”
เฉินเสียนเอี้ยวตัวกลับไปมองเขาด้วยแววตาที่สดใส “แต่ข้าไม่ชนะท่านนะ”
ซูเจ๋อบอกว่า “ข้ายอมให้ท่านชนะ ถ้าข้าไม่อ่อนข้อให้ ท่านคงไม่มีโอกาสเลยแม้แต่น้อย”
“ท่านสัญญากับข้าแล้ว อย่ามาเปลี่ยนใจทีหลังละ”
“ข้าไม่เคยเปลี่ยนใจ”
เฉินเสียนโน้มตัวไปจุมพิตที่แก้มของเขาหนึ่งที “ท่านใจดีจังเลย สามีของข้า”
ซูเจ๋อขมวดคิ้วและอมยิ้มเล็กน้อย
สองวันต่อมา แม่ทัพโฮ้วจัดกองกำลังทหารเตรียมเคลื่อนพลไปทางเหนือของเมืองหลวง ส่วนเฉินเสียนก็เตรียมตัวพร้อมที่จะออกเดินทางไปกับทั้งสามเหล่าทัพ
แต่ยังไม่ทันยกธงเคลื่อนพล ทันใดนั้นก็มีเสียงเกือกมากดังมาจากนอกค่าย เหล่าทหารทยอยเปิดทาง ปล่อยให้ผู้ที่ควบม้าพุ่งตรงไปยังค่ายใหญ่
เฉินเสียนออกมาจากกระโจมในขณะที่แสงอาทิตย์เรืองรองย้อมแผ่นฟ้าและส่องลงมาต้องหยาดน้ำค้าง เธอเห็นบุรุษผู้หนึ่งพลิกตัวลงมาจากหลังม้าด้วยท่าทีที่เบิกบานและกำลังเดินตรงมาทางนี้
แม่ทัพโฮ้วรีบเข้ามาดูทันทีเมื่อได้ยินข่าว เขาหัวเราะเสียงดังอย่างดีใจและตบบ่าชายผู้นั้นอยู่หลายที “แม่ทัพฉิน ไม่พบกันนานเลย สบายดีไหม!”
ฉินหรูเหลียงตอบมาว่า “แม่ทัพโฮ้ว ไม่ได้พบกันนาน”
เฉินเสียนไม่ได้มองผิดไปจริงๆ ผู้ที่ควบม้าโดยไม่หยุดพักจนมาถึงในยามรุ่งสางคือฉินหรูเหลียง เขาอยู่ในอาภรณ์สีเข้มซึ่งดูทะมัดทะแมง รูปร่างสูงใหญ่ทรงพลัง รูปงามและองอาจผึ่งผาย
แม่ทัพโฮ้วถามว่า “มือของท่านดีขึ้นหรือยัง”
ฉินหรูเหลียงขยับข้อมือเล็กน้อย เขามองไปทางเฉินเสียนกับซูเจ๋อและกล่าวว่า “หายแล้วละ โชคดีที่ได้ใต้เท้าซูช่วยรักษา”
ซูเจ๋อกล่าวว่า “แม่ทัพโฮ้ว โปรดหารือกับแม่ทัพฉินเกี่ยวกับสถานการณ์ของเหล่าแม่ทัพดูเถิด จะเหมาะสมหรือไม่หากจะให้เขานำทัพไปต่อสู้กับกองทัพจากเป่ยเจียง”
แม่ทัพโฮ้ว “เหมาะมาก! ไม่มีใครเหมาะสมไปกว่าเขาอีกแล้ว!”
ดังนั้นแม่ทัพโฮ้วจึงเล่าสถานการณ์ล่าสุดให้ฉินหรูเหลียงฟังอย่างคร่าวๆ ฉินหรูเหลียงเข้าใจสถานการณ์ในสนามรบได้อย่างรวดเร็ว เพียงแค่คำพูดแค่ไม่กี่ประโยคเขาก็วิเคราะห์สถานการณ์ได้ทันที
ไม่ว่าจะเป็นเมื่อไหร่เขาก็เหมาะกับสนามรบเสมอ
ฉินหรูเหลียงกระชับแขนเสื้อที่ข้อมือและเดินตรงไปหาเฉินเสียน เขายืนอยู่ตรงหน้าเธอ เป็นเวลาหลายเดือนแล้วที่ไม่ได้พบกัน เธอไม่ได้แสร้งทำเป็นโง่เขลาจนทำให้เขาเจ็บปวดหัวใจเหมือนตอนที่อยู่ในพระราชวังอีกแล้ว เธอในตอนนี้ยังคงมีสติสัมปชัญญะและนิ่งสงบเหมือนเช่นในวันวาน
แค่ได้เห็นว่าเธอยังปลอดภัยนั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับฉินหรูเหลียง
ดูเหมือนเขาจะเรียกร้องอะไรจากเธอน้อยลงเรื่อยๆ เมื่อการเวลาแปรผัน จนถึงตอนนี้ ขอเพียงแค่เห็นว่าเธอสบายดี เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
ทว่าตั้งแต่วันที่เธอย้ายออกไปจากเรือน ย้ายออกไปจากสวนสระวสันตฤดู ความรู้สึกที่สะสมอยู่ในใจก็มีแต่จะเพิ่มขึ้น เพียงแต่ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่จบสิ้นไปแล้วสำหรับคนนอก
ทั้งสองรู้สึกทอดทอนใจอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
ฉินหรูเหลียงเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อนว่า “พระองค์สบายดีก็ดีแล้ว ในที่สุดเขาก็พาท่านออกมาจากที่นั่นจนได้”
เฉินเสียนเงียบไปครู่หนึ่งและกล่าวอย่างจริงใจว่า “ฉินหรูเหลียง ขอบคุณนะสำหรับเรื่องเจ้าน่องน้อย”
“องค์หญิงไม่จำเป็นต้องกล่าวขอบคุณ” ฉินหรูเหลียงพูดพลางสะบัดชายเสื้อและคุกเข่าลง ชันขาข้างหนึ่งขึ้นและประสานมือคารวะ “ขอองค์หญิงโปรดประทานอนุญาตให้ข้ากระหม่อมออกศึกด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนเงียบไปครู่หนึ่งในขณะที่ทุกคนกำลังรอฟังคำสั่งของเธอ
เฉินเสียนเข้าใจชัดแจ้งแล้วว่านี่คือเหตุผลที่ซูเจ๋อขอให้เธอรออีกสองวัน แม้ว่าเขาจะสัญญากับเธอ แต่เขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะพาเธอออกศึกตั้งแต่แรก
ซูเจ๋อเคยกล่าวไว้ว่าฉินหรูเหลียงคือดาบคมแห่งสงครามทั่วสารทิศ ขึ้นอยู่กับว่าท้ายที่สุดแล้วใครจะเป็นผู้ครอบครอง
ฉินหรูเหลียงกล่าวว่า ต่อแต่นี้ไปเขาจะเป็นผู้แหวกโค่นดงหนามที่ขวางหน้าให้เธอ โดยจะไม่บ่นว่าหรือนึกเสียใจภายหลัง
ความรู้สึกนานาประการพรั่งพรูอยู่ในใจเฉินเสียน
หลังจากนั้นเธอจึงขมวดคิ้วด้วยสีหน้าจริงจัง เอ่ยเสียงดังฉะฉานว่า “ตกลง ข้าขอแต่งตั้งให้ท่านเป็นแม่ทัพเจิ้งเป่ย นำทัพทหารห้าหมื่นนายเคลื่อนพลไปสู้ศึกกับกองทัพเป่ยเจียง ในวันที่มีชัย ข้าจะไปต้อนรับที่ประตูเมือง เลี้ยงต้อนรับยามท่านกลับมา”
ฉินหรูเหลียงกลืนน้ำลายนิดหนึ่ง ค้อมศีรษะลงต่ำและกล่าวว่า “ขอบพระทัยองค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ”
ซูเจ๋อสั่งให้เหลียนชิงโจวเตรียมชุดเกราะของฉินหรูเหลียงไว้ให้พร้อมแล้ว เวลานี้เขาสวมชุดเกราะและเดินออกมาจากกระโจมอย่างองอาจห้าวหาญ เฉินเสียนพาดเสื้อคลุมผ้าสักหลาดสีดำของผู้บังคับบัญชาไว้ที่แขนเหมือนในอดีต
เธอก้าวไปข้างหน้า คลี่เสื้อคลุมออกท่ามกลางสายลม จากนั้นจึงพาดไว้บนไหล่ของฉินหรูเหลียงด้วยมือของเธอเอง เธอผูกเสื้อคลุมให้เขาพลางก้มหน้าลงและกระซิบว่า “ฉินหรูเหลียง คราวนี้ท่านต้องนำชัยชนะกลับมาให้ข้า ข้าจะรอชัยชนะของท่าน”
ฉินหรูเหลียงมองเธออย่างลึกซึ้งและตอบว่า “กระหม่อมจะไม่ทำให้องค์หญิงผิดหวัง”
หลังจากนั้นฉินหรูเหลียงจึงโบกธงรบออกคำสั่งกับทั้งสามเหล่าทัพ ยังคงไว้ซึ่งความเฉียบขาดและเต็มไปด้วยพลังที่กลืนกินได้ทั้งภูเขาและแม่น้ำ
เฉินเสียนและทุกคนมาส่งกองกำลังทหารม้า เฝ้ามองฉินหรูเหลียงควบม้าศึกนำทัพรุดไปข้างหน้า
แม่ทัพโฮ้วไม่มัวเสียเวลาและรีบจัดกองกำลังทหาร ลั่นกลองรบเสียงดังกึกก้อง เปิดฉากสู้รบอย่างเป็นทางการกับกองทัพจากชายแดนทางตะวันตกซึ่งขวางทางอยู่ นอกจากนี้ยังทำเพื่อช่วยเบี่ยงเบนความสนใจของกองทัพจากทางตะวันตก ช่วยคุ้มกันกองทัพของฉินหรูเหลียง
ขณะที่ต่อสู้กับกองทัพตะวันตก ซูเจ๋ออนุญาตให้เฉินเสียนร่วมต่อสู้ด้วย โดยที่เธอกับซูเจ๋อนำทหารจำนวนหนึ่งไปคอยสนับสนุนแม่ทัพโฮ้วจากทางด้านข้าง
เป็นทหารมีจิตวิญญาณของนักรบเต็มเปี่ยม
ในเวลากลางดึก กองทหารจากชายแดนตะวันตกซึ่งเฝ้าอยู่ที่ประตูเมืองไม่กล้าผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย
ในคืนนั้นเฉินเสียนและเหล่าทหารหาญมัดหุ่นฟางไว้จำนวนนับไม่ถ้วน จากนั้นจึงใช้ประโยชน์จากความมืดนำหุ่นฟางออกมาวางไว้ที่แนวหน้า
ทหารที่ป้องกันเมืองมองเห็นอะไรไม่ชัดเจนนัก เมื่อเห็นเงาของกลุ่มคนก็พาลนึกทันทีว่านั่นคือศัตรูที่บุกมาโจมตี เมืองแห่งนี้ง่ายต่อการป้องกันและยากต่อการโจมตี เมื่อแม่ทัพผู้ป้องกันเมืองออกคำสั่ง ลูกธนูก็ลอยลิ่วลงมาราวกับห่าฝน ทยอยทะลุลงมาบนหุ่นฟาง
จนกระทั่งทหารเหล่านั้นยิงธนูออกมาแล้วจึงพบว่าเงาเหล่านั้นไม่ล้มลงเลย หลังจากนั้นถึงเพิ่งตระหนักได้ว่าพวกเขาถูกหลอก
ในเวลานี้ไม่มีลูกธนูอีกแล้ว เฉินเสียนออกคำสั่ง หลังจากนั้นมือธนูนับสิบนายจึงเตรียมพร้อมตอบโต้ด้วยลูกธนูที่ฝ่ายศัตรูยิงมา
ตอนนี้เอง แสงเพลิงที่ประตูเมืองก็ลุกโหมซ้ำแล้วซ้ำเล่า
กองกำลังซึ่งนำโดยแม่ทัพโฮ้วคอยซุ่มซ่อนอยู่ความมืดของยามราตรี คอยเฝ้าดูเวลาที่ธงศึกจะถูกสะบัดขึ้น ทันใดนั้นเสียงตะโกนก็ดังเลือนลั่น ขณะที่ฝ่ายศัตรูกำลังโรมรันพันตูอย่างโกลาหล พวกเขาก็พยายามเต็มที่เพื่อโจมตีเมือง
ในฐานะแนวป้องกันสุดท้ายของเมืองหลวง คูเมืองแห่งนี้จึงมีที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่สูงชัน ง่ายต่อการป้องกันและยากต่อการโจมตี กองทัพจากพรมแดนตะวันตกอาศัยความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ประวิงเวลาออกไป
แต่อย่างไรก็ตาม กองทัพจากพรมแดนตะวันตกเทียบไม่ได้เลยกับกองทัพจากทางใต้ ไม่ว่าจะเป็นด้านจำนวนหรือคุณภาพของทหาร พวกเขาถอนกองกำลังมาจากซีอวี่ซึ่งเป็นการเดินทางที่ห่างไกลและหนทางก็ยากลำบาก จึงค่อนข้างเหนื่อยล้ามาแต่เดิม ยิ่งเมื่อเสบียงอาหารภายในเมืองขัดสน ขวัญกำลังใจของทหารก็ยิ่งไม่มั่นคง แม้ว่าจะมีความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ พวกเขาก็ทำได้เพียงแค่ประวิงเวลาให้นานขึ้นเท่านั้น
ยิ่งยืดเวลาออกไปก็ยิ่งทำให้พวกเขาเสียเปรียบ
ยุทธการนี้ดำเนินไปจนถึงรุ่งสาง แสงอาทิตย์ฉายขึ้นทางทิศตะวันออกและส่องสว่างลงมาบนแผ่นดินสีแดงฉาน
ประตูคูเมืองถูกทำลาย ซากศพทหารทั้งสองฝ่ายกองสุมเป็นภูเขา
นี่น่าจะเป็นการสูญเสียที่หนักหนาสาหัสที่สุดตั้งแต่กองทัพจากทางใต้เคลื่อนทัพขึ้นมาทางเหนือ ครั้งนี้ควรจะนับได้ว่าเป็นการต่อสู้ที่แท้จริงระหว่างสองกองทัพ
โชคดีที่ในที่สุดกองกำลังทหารจากทางใต้ก็ทำลายประตูเมืองและยึดเมืองได้ กองทัพจากพรมแดนตะวันตกซึ่งพ่ายแพ้มีแม่ทัพและทหารที่เหลือรอดเพียงไม่กี่คน พวกเขาถอยร่นไปตลอดทาง จนในที่สุดก็ล่าถอยเข้าไปในเมืองหลวง